My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 86
ลี่ฉิงสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บที่ลอยมาตามอากาศ ในตอนนี้เขากำลังถือธนูไว้ที่มือข้างซ้ายก่อนที่จะใช้มือขวาของตัวเองเปลี่ยนพลังลมปราณที่มีให้กลายเป็นลูกธนูไป การใช้ธนูอย่างเชี่ยวชาญแบบนี้แสดงให้เห็นถึงฝีมือที่แท้จริงของชายคนนี้ การเคลื่อนไหวของชายคนนี้ดูราบรื่น เป็นธรรมชาติ และดูแม่นยำมาก
โชคไม่ดีเท่าไหร่นักที่ไม่มีทางที่จะหยุดฝ่ามือแห่งความยิ่งใหญ่ไร้ปรานีได้
ลูกธนูที่ลี่ฉิงยิงออกไปได้แตกสลายออกไปทีละเล็กทีละน้อยต่อหน้าพลังฝ่ามือ มันแตกสลายออกจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย พลังลูกธนูลมปราณถูกพลังฝ่ามือดูดซับเอาไว้ได้
“เป็นไปได้ยังไงกัน? ” ดวงตาของลี่ฉิงเบิกกว้าง ดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตอนแรกตอนนี้ได้ถูกแทนที่ด้วยความกลัวและความสิ้นหวัง
พลังอันทรงพลังของฝ่ามือได้แผดเผาร่างกายของลี่ฉิงราวกับเป็นพลังความร้อนที่มาจากเปลวไฟ
ไม่มีใครเห็นชัดๆ ว่าลี่ฉิงได้พ่ายแพ้ไปยังไง พลังฝ่ามือแห่งความยิ่งใหญ่ไร้ปรานีได้ทำให้ทุกคนสูญเสียทัศนวิสัยไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้
จุดที่ลี่ฉิงเคยยืนอยู่ในตอนนี้กลับมีเพียงที่อันว่างเปล่า ไม่มีใครเห็นลี่ฉิงได้อีกต่อไป
ลมที่พัดผ่านไปตอนนี้ได้นิ่งสงบไปเป็นที่เรียบร้อย
ฝานซุยเหวินไม่มีเวลาแม้แต่จะใช้พลังร่างอวตารของเขาเพื่อช่วยชีวิตอัศวินดำคนนี้ได้ ลี่ฉิงเป็นลูกน้องที่แสนซื่อสัตย์ เขาเป็นเหมือนกับผู้ช่วยที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเขา นี่ข้าเสียลี่ฉิงไปง่ายๆ แบบนี้เลยอย่างงั้นหรอ? ความพยายามที่จะต้านพลังฝ่ามือของลู่โจวนั้นไม่มีผลอะไร ฝานซุยเหวินทำได้เพียงเฝ้ามองอย่างหมดหนทางในระหว่างที่ฝ่ามือได้เข้าปะทะเข้ากับร่างกายของลี่ฉิง ดูเหมือนว่าปรมาจารย์มหาวายร้ายแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจีเทียนเด๋า ในตอนนี้ได้แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน ฝานซุยเหวินรู้สึกตกตะลึงจนยากที่จะยอมรับได้
ในตอนนั้นเองเสียงการต่อสู้ของด้วนมู่เฉิงกับอัศวินดำทั้งสองคนก็ดังไปถึงหูของทุกคน
‘นี่คือพลังที่แท้จริงของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? ความจริงแล้วตาแก่นี้น่าจะมาถึงขีดจำกัดแล้วนิ ด้วยอายุของเขาที่เพิ่มมากขึ้นพลังวรยุทธที่มีก็ต้องเสื่อมถอยลง…’ ฝานซุยเหวินไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย ‘ตาแก่นี่ฆ่าลี่ฉิง มือธนูอัจฉริยะที่มีวรยุทธระดับมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยกระบวนท่าเดียว ดูเหมือนจีเทียนเด๋าคนนี้จะยังมีพลังสูงสุดอยู่! ‘
“ท่านอาจารย์ ความแข็งแกร่งของท่านอาจารย์ไม่มีใครเทียบเคียงได้เลย! ” หยวนเอ๋ออุทานออกมาด้วยความประหลาดใจก่อนที่จะปรบมือให้ยกใหญ่ เสียงนั้นเองได้ทำลายความสงบในห้องโถงอีกครั้ง หลังจากนั้นหยวนเอ๋อก็ได้ชี้ไปทางฝานซุยเหวิน “ท่านอาจารย์ มีใครอีกคนที่จะต้องโดนจัดการด้วย! “
โจวจี้เฟิงและฝานซงรู้สึกตกใจเช่นกัน พวกเขาไม่ตกใจเท่าฝานซุยเหวินเพราะพวกเขาทั้งสองได้ยินเรื่องการต่อสู้มาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งเรื่องพลังร่างอวตารทั้งเก้าแห่งร้อยวิถี พลังสูงสุดที่จีเทียนเด๋าได้ใช้ปราบปรามเหล่าศัตรูของเขาอย่างนับไม่ถ้วน การโจมตีทั้งหมดของจีเทียนเด๋าล้วนแต่เป็นเคล็ดวิชาขั้นสุดยอดทั้งหมด พลังที่ผ่านมาของเขามันน่ากลัวยิ่งกว่าพลังอันน่าตกตะลึงเมื่อครู่นี้อย่างพลังฝ่ามือแห่งความสุดยอดไร้ปรานี
ยี่เทียนซินในตอนนี้ได้ถอยกลับกลับไป ด้วยร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงและพลังยุทธทำให้ตัวเธอไม่อาจที่จะต้านทานพลังจากการต่อสู้ได้ ถ้าหากเหล่าลูกน้องของเธอไม่ได้ช่วยเธอไว้ ในตอนนี้ก็คงจะไม่มีใครที่จะช่วยเธออีกแล้ว
ใบหน้าของฝานซุยเหวินเปลี่ยนสีไปภายใต้หน้ากากสีดำที่กำลังสวมใส่อยู่ แต่จากท่าทียืนตรงโดยไม่ถอยหนีแสดงได้เห็นถึงความโกรธแค้นได้ หลังจากนั้นฝานซุยเหวินก็ได้พูดออกมาอย่างกัดฟัน “ข้าจะไม่ถือโทษโกรธท่านเลยถ้าหากท่านสังหารอัศวินดำคนอื่นๆ ไป แต่ใครก็แล้วแต่ที่มากล้าแตะต้องสี่อัศวินดำ ข้าจะถือว่ามันผู้นั้นเป็นศัตรูทั้งหมด”
ทุกๆ คนหันกลับมาจ้องมองฝานซุยเหวินอีกครั้ง ครั้งนี้คำพูดของเขาไม่มีซึ่งความเคารพอีกต่อไป เขาไม่ได้พูดกับลู่โจวอย่างเคารพนับถืออย่างในตอนแรกแล้ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าชายคนนี้โกรธขึ้นมาจริงๆ แล้วนั่นเอง
ลู่โจวยังคงจ้องมองการต่อสู้ที่ด้านนอกห้องโถงต่อ
ด้วนมู่เฉิงยังคงต่อสู้อย่างกล้าหาญกับเหล่าอัศวินดำทั้งสอง ยิ่งไปกว่านั้นความชำนาญในการใช้หอกราชันของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงแรกนั้นอัศวินดำทั้งสองมีแต้มต่อที่เหนือกว่าด้วนมู่เฉิง แต่ในตอนนี้พวกเขาทั้งสองกำลังถูกบีบให้ถอยกลับ ในตอนนี้ดูเหมือนว่าการต่อสู้ดูสูสีขึ้นมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปด้วนมู่เฉิงจะต้องคว้าชัยมาได้อย่างแน่นอน
สำหรับหมิงซี่หยินลู่โจวเองก็ไม่ได้เป็นห่วงเลยเช่นกัน ยังไงซะการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งหมิงซี่หยินก็คงจะไม่แพ้ง่ายๆ แน่
ภูเขาทองนั้นเป็นอาณาเขตของศาลาปีศาจลอยฟ้า ดินแดนแห่งนี้มีม่านพลังป้องกันคอยขวางกั้นไม่ให้คนนอกย่างกายเข้ามา และเหล่าสาวกเองก็ไม่กล้าที่จะเดินออกไปด้านนอกม่านพลังเช่นกัน ดังนั้นเหล่าศิษย์สาวกทั้งหลายจึงใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนที่อยู่บนภูเขาลูกนี้ สำรวจทุกอย่างทุกซ้อนทุกมุม ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะไม่รู้เกี่ยวกับภูเขาลูกนี้
ลู่โจวรู้ดีว่าหมิงซี่หยินต้องการที่จะใช้ความได้เปรียบในเชิงพื้นที่นี้ล่อลวงศัตรูจนทำให้ศัตรูเสียท่าไป
ลู่โจวที่หมดห่วงได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะมองไปยังฝานซุยเหวิน “ท้ายที่สุดแล้วเล่งลั้ว เจ้าน่ะประเมินพลังของตัวเองเอาไว้สูงจนเกินไป…”
ฝานซุยเหวินในตอนนั้นชูมือขึ้นมา ตอนนั้นพลังลมปราณภายในร่างกายของเขาก็เริ่มไหลเวียนไปทั่วฝ่ามือ
คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นได้ถอยกลับหลังไป พวกเขารู้ดีว่าฝานซุยเหวินกำลังจะเคลื่อนไหวในไม่ช้านี้
“ถ้าหากศาลาปีศาจไม่แสดงความรับผิดชอบต่อการตายลี่ฉิง พี่น้องเหล่าอัศวินของพวกเราและทางพระราชวังจะไม่มีวันปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแน่! ” ฝานซุยเหวินพูดออกมาในระหว่างที่รวบรวมพลังทั้งหมดไปด้วย พลังของเขาแข็งแกร่งมากขึ้น มากขึ้นไปอีก
ในตอนนี้ลู่โจวก็ยังคงสงบนิ่งเหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เขาไม่ได้คิดที่จะโจมตีฝานซุยเหวินในทันที เขาอยากจะรู้ฝีมือของอดีตคู่ต่อสู้ของเขา ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยมีชื่ออยู่บนอัญชีดำระดับสูงสุด ลู่โจวอยากรู้ว่าอะไรทำให้ฝานซุยเหวินมั่นใจถึงกับมาที่นี่ได้
ในตอนนี้พลังลมปราณของฝานซุยเหวินได้พุ่งออกไปทั่วตัวก่อนที่จะมีพลังร่างอวตารขนาดมหึมาปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา
ถ้าหากศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ได้ถูกสร้างมาอย่างมั่นคงมากพอและเสริมพลังการป้องกันเอาไว้ดูการสร้างแบบพิเศษจนป่านนี้การใช้พลังร่างอวตารก็คงจะทำลายศาลาปีศาจลอยฟ้าให้พังทลายย่อยยับไปแล้ว
“ปะ…แปดกลีบ…” โจวจี้เฟิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นพลังร่างอวตาร ตัวเขารู้สึกตกใจมากเมื่อเห็นพลังที่แท้จริงของชายคนนี้
ถ้าหากพวกเขาไม่เคยเห็นร่างอวตารดอกบัวทั้งเก้าแห่งร้อยวิถีของลู่โจวมา พวกเขาทุกคนคงจะรู้สึกกลัวมากกว่านี้
แม้ว่าพลังอวตารดอกบัวทั้งแปดจะยังด้อยกว่าพลังอวตารทั้งเก้าแห่งร้อยวิถี แต่มันก็ยังมีจุดแข็งด้านอื่นอยู่
จีเทียนเด๋าได้ใช้พลังร่างอวตารทั้งแปดแห่งร้อยวิถีได้เมื่อราวๆ 300 ปีก่อน ในตอนนั้นตัวเขามีชื่ออยู่บนอันดับสูงสุดของบัญชีดำ ในตอนนี้ตัวเขามีพลังร่างอวตารทั้งเก้าแห่งร้อยวิถีแล้ว
ลู่โจวที่เห็นพลังของฝานซุยเหวินได้ลูบเคราของตัวเอง เขาไม่คิดเลยว่าฝานซุยเหวินจะเป็นภัยร้ายแรงอะไรกับตัวเขาได้ ในตอนนั้นลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเริงร่า “เล่งลั้ว นี่คือทั้งหมดที่เจ้ามีแล้วอย่างงั้นหรอ? “
ฝานซุยเหวินตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา พวกเรายังคงมีฝีมือที่สูสีมาโดยตลอด…ข้าไม่คิดหรอกว่าจะเอาชนะเจ้าได้ในตอนนี้ แต่ข้าสามารถทำให้มันเสมอกันได้! ” ทันทีที่พูดจบเขาก็เริ่มขยับตัวอีกครั้ง ในตอนนั้นเองห้องทั้งห้องก็ได้เต็มไปด้วยภาพลวงตา
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็สะดุดถอยหลังกลับไป
เป้าหมายของฝานซุยเหวินก็คือลู่โจว ผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของศาลาปีศาจลอยฟ้า ลู่โจวได้สะบัดแขนเสื้อของเขา ในตอนนั้นเองตาข่ายพลังอันใหญ่ยักษ์ก็ได้พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ มันเป็นตาข่ายที่ปกป้องตัวเขาเอาไว้นั่นเอง ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่คิดอยู่ในใจขณะที่ลูบเคราไปด้วย ‘นี่มันเคล็ดวิชาเต๋าล่องหนอย่างงั้นหรอ? ‘ ในตอนแรกลู่โจวคิดว่าจะต้องเสียการ์ดป้องกันไร้ที่ติไปซะแล้ว แต่ดูเหมือนว่าการใช้การ์ดผนึกกักขังของเขาจะเพียงพอแล้ว ‘โอกาสสำเร็จอยู่ที่ 30% งั้นสินะ มันจะสำเร็จไหม? แม้ว่าจะไม่โดนเล่งลั้วแต่ถึงแบบนั้นมันก็พอจะเบี่ยงเบนความสนใจของเขาได้ล่ะนะ’
ตาข่ายพลังได้เปล่งแสงสีทองออกมาก่อนที่จะขยายขนาดใหญ่ขึ้น!
“นี่มันเคล็ดวิชาอะไรกัน? ” ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นพลังที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ไม่มีเคล็ดวิชาไหนในโลกยุทธภพดูคล้ายกับเคล็ดวิชาแบบนี้
ฝานซุยเหวินที่เห็นแบบนั้นก็ตะโกนกลับมา “เจ้าไม่คิดว่าประเมินตัวเองสูงไปเหมือนกันอย่างงั้นหรอ? เจ้าคิดว่าพลังแค่นี้พอที่จะหยุดพลังร่างอวตารที่ใช้เคล็ดวิชาเต๋าล่องหนได้จริงๆ อย่างงั้นหรอ? “
พรึ๊บบ! พรึ๊บบ! พรึ๊บบ!
ฝานซุยเหวินได้พุ่งเข้าหาตาข่ายพลังอย่างรวดเร็ว
สิบเมตร, สามเมตร, หนึ่งเมตร…
แคล๊ง!
ก่อนที่ฝานซุยเหวินจะมาถึงตัวลู่โจว ในตอนนั้นตาข่ายพลังก็ได้ลอยลงสู่พื้นก่อนที่จะกลายเป็นกรงขนาดใหญ่ส่องแสงสีทองออกมาแทน กรงขนาดใหญ่กรงนั้นกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของห้องโถงใหญ่ไป
ตู๊ม!
ฝานซุยเหวินที่ใช้เคล็ดวิชาเต๋าล่องหนพุ่งเข้าใส่กรงไม่สามารถที่จะหยุดตัวเองเอาไว้ได้ทัน
“ติ้ง! คุณจับตัวผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ คุณได้รับรางวัลเป็น 200 แต้มบุญ”
กรงผนึกกักขังถูกใช้แล้ว!
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจ ‘ยังงี้นี่เอง คำว่ากรงที่อยู่ในชื่อของมันคือแบบนี้เองสินะ ฉันคิดว่ามันจะเป็นแค่ตาข่ายซะแล้ว ของชิ้นนี้มีประโยชน์ที่ตัวฉันคิดเอาไว้มาก’ ลู่โจวในตอนแรกรู้สึกเสียดายที่จะต้องใช้แต้มบุญไปกับของอะไรแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าถ้าหากเขาไม่ได้ของสิ่งนี้มาบางทีตัวเขาอาจจะถูกยอดฝีมืออย่างฝานซุยเหวินฆ่าตายไปแล้วก็เป็นได้ ในตอนนี้ลู่โจวสามารถจับตัวฝานซุยเหวินได้ แต่ถึงแบบนั้นแต้มบุญที่ได้รับกลับมากลับมีน้อยกว่าแต้มบุญในตอนที่จับตัวลุูกศิษย์ผู้คิดทรยศได้ บางทีกรงผนึกกักขังคงไม่อาจที่จผนึกฝานซุยเหวินไว้ได้ตลอด
ฝานซุยเหวินพยายามใช้พลังของตัวเองกระแทกไปที่กรงเหล็กที่ดูบางๆ เพื่อที่จะพยายามหนีออกมา
ลู่โจวได้เอามือไขว้หลังอีกครั้งก่อนที่จะถามออกมา “เล่งลั้ว ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ใครเป็นผู้บงการเบื้องหลังของเหตุสังหารหมู่ในหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์กันแน่? “
ในตอนนั้นกรงขนาดใหญ่ก็เริ่มหดตัวลง มันหดตัวเข้าหาจุดศูนย์กลางของมันเรื่อยๆ
ฝานซุยเหวินได้ถอยหลังกลับไป เขายังไม่คิดจะตอบคำถามของลู่โจว เขามองไปรอบๆ กรงก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำออกมา “ท่านคิดว่าจะขังข้าไว้ด้วยของพรรค์นี้ได้หรอ? “