แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 615 ฉันมีแผน
ในห้องแคบๆ ที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอนี้ คนสองคนกำลังจ้องตากันอย่างเงียบงัน
ทันใดนั้น ซย่าจื้อเม้มปากเล็กน้อย แล้วเหล่มองมู่เฉินอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ยื่นมือไปทางกลอนประตูอย่างรวดเร็ว
“อย่า!”
มู่เฉินรีบคว้าแขนของซย่าจื้อไว้ทัน “ไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ!”
ขณะนั้นเอง เสียงเด็กสาวก็ดังเข้ามาจากข้างนอก ฟังจากเสียงแล้วน่าจะอยู่ตรงหน้าประตูนี้เอง
“เอ๋ แล้วพวกนั้นล่ะ?”
เสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งดังปะปนกับเสียงพูดคุยฟังไม่ได้ศัพท์ตามติดๆ
และตอนนี้มู่เฉินก็กำลังยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูกซย่าจื้อเอาไว้ มืออีกข้างก็กำแขนเขาไว้แน่น แล้วยังใช้ร่างตัวเองดันตัวเขาให้ติดกับผนังอีกต่างหาก
ตัวเขาเองก็กลั้นหายใจตามไปด้วย แล้วเงี่ยหูฟังเสียงเคลื่อนไหวด้านนอกอย่างตั้งใจ
“พวกนั้นขึ้นไปข้างบนแล้วมั้ง? ก็ที่นี่ไม่มีอะไรนี่…” เสียงของหลิงม่อดังเข้ามา
ไม่นาน เสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนก็ดังขึ้น
มู่เฉินที่กำลังตึงเกร็งพลันโล่งใจทันที เขากำลังจะปล่อยมือ แต่ทันใดนั้นบานประตูห้องเก่าๆ บานนั้นกลับดัง “โครม”
เหตุการณ์กะทันหันนี้ทำเอามู่เฉินตกใจจนหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ พลางก้าวถอยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
กลอนประตูทรงกลมสไตล์เก่าๆ นั่นเริ่มบิดช้าๆ สายตาของมู่เฉินตวัดมองไปทางกลอนประตูนั้นทันที
เมื่อกี้เขา…ได้ล็อกกลอนหรือเปล่า?!
แต่ที่น่าเศร้าก็คือ เขากลับจำไม่ได้แล้ว!
แต่ถ้าหากเข้าไปดันประตูไว้ตอนนี้ล่ะก็ เกรงว่าจะไม่ได้ผล…
ในตอนนั้นเอง เสียงร้องเรียกจากที่ไกลๆ ก็ดังขึ้น “พี่เย่เลี่ยน เร็วเข้า!”
“อ้อ…” เสียงตอบนิ่มนวลดังมาจากนอกประตู
กลอนประตูหยุดหมุนแล้ว ยานประตูเองก็ไม่โยกแล้วเหมือนกัน
แต่มู่เฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งกลั้นหายใจไม่อยู่แล้ว ถึงได้พ่นลมหายใจออกมายาวๆ ในที่สุด
ความจริงแค่ถูกเย่เลี่ยนพบเข้าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ปัญหาก็คือหลิงม่ออยู่ใกล้ๆ น่ะสิ…
“อื้อ อื้อ!”
เสียงร้องอู้อี้เสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน ทำให้มู่เฉินตกอกตกใจอีกครั้ง
ทว่าไม่นานเขาก็ค้นพบว่า เสียงนี้จริงๆ แล้วเป็นเสียงที่ดังออกมาจากปากของซย่าจื้อเอง
ซย่าจื้อที่ไม่ได้เตรียมตัวเลยถูกอุดปากอุดจมูกนานขนาดนี้ หน้าของเขาเริ่มซีดเหมือนแผ่นเหล็กแล้ว
“อ๊ะ…ขอโทษที” มู่เฉินรีบปล่อยมู่เฉินออก
ซย่าจื้อยกมือขึ้นกุมลำคอและหายใจอยากยากลำบาก พลางยืนพิงผนัง
“เมื่อกี้เหตุการณ์มันฉุกละหุกไปหน่อย ฉันตื่นเต้นไปนิด…” มู่เฉินอธิบายเล็กน้อย แต่หลังจากพบว่าซย่าจื้อไม่ได้ฟังอยู่ เขาจึงเปลี่ยนเข้าเรื่องสำคัญอย่างกระอักกระอ่วน “ความจริงแล้ว ที่ผ่านมาฉันมองหาจังหวะดีๆ ที่เราสามคนจะหลบหน้าพวกหลิงม่อ แล้วคุยกันตามลำพังมาโดยตลอด”
“แต่นับตั้งแต่ที่ถูกพวกนั้นตลบหลังในกองกำลัง F เขาก็ไม่เปิดโอกาสให้พวกเราเลย แต่ยังโชคดี พอหลายวันผ่านไป บวกกับเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ในที่สุดเขาก็ลดการระวังตัวลงซักที”
หลังพูดเสร็จ มู่เฉินก็พบว่าสีหน้าของซย่าจื้อดูตื่นตะลึงมาก แล้วยังเบิกตากว้างจ้องเขาด้วย
“…เอาเถอะ ต้องมาคุยเรื่องนี้ในห้องน้ำอย่างนี้ ไม่ถือว่าเขาลดการระวังตัวจริงๆ แต่ฉันก็แค่ทำไปเพื่อหาโอกาสนี่นา!” มู่เฉินโวยอย่างไม่พอใจ “ตอนนี้นายวางใจได้รึยัง? ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ใช่อย่างที่นายคิด จะซื่อบื้อก็ควรมีขีดจำกัดบ้างนะ!”
ซย่าจื้อส่ายหน้ายิ้มๆ อย่างไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ทำให้มู่เฉินอดเคืองขึ้นมาไม่ได้
ทว่าเขาถลึงตาโตไม่พอใจอยู่ครู่เดียว แต่สุดท้ายก็ข่มกลั้นเพลิงโทสะเอาไว้ แล้วบอกว่า
“ตอนแรกฉันอยากเรียกสวี่ซูหานเข้ามาด้วย แต่อยู่กันสามคนอาจกลายเป็นจุดสังเกตที่ใหญ่เกินไป เวลาก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว ดังนั้นพวกเรารีบหน่อยแล้วล่ะ”
“ตลอดทางมานี้ฉันพยายามลองติดต่อหมายเลข 0 อย่างเต็มที่ แต่กลับทำไม่สำเร็จเลยซักครั้ง ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือไอ้บ้าหลิงม่อนั่นคนเดียว ดังนั้นจนกระทั่งตอนนี้ ทางสาขาย่อยจึงยังไม่รู้ว่าฝั่งพวกเราสถานการณ์เป็นอย่างไรแล้วบ้าง ซึ่งก็หมายความว่า ข้อตกลงที่เราทำร่วมกับหลิงม่อ เป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นลับหลัง เราไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่าจะได้รับการยอมรับจากสาขาไหม”
มู่เฉินถอนหายใจ แล้วบอกว่า “หลิงม่อไม่มีทางที่จะไม่คำนึงถึงจุดนี้ แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยพูดถึงเลยล่ะ? เพราะความจริงเขากำลังใช้พวกเราเป็นตัวประกันไงล่ะ สำหรับเขา พวกเราคือหลักประกันว่าข้อตกลงจะได้ผล เรื่องนี้ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ คงไม่ต้องให้ฉันพูดอะไรมาก แต่ปัญหาคือ ทางสาขาจะตัดสินใจอย่างไร นายจะมั่นใจได้หรอ? ฉันคิดว่าพวกเราไม่ว่าใครก็ต่างไม่สามารถ…อีกอย่าง สิ่งสำคัญคือ พวกเราไม่ควรถูกหนีบไว้ตรงกลางโดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนี้! ดังนั้นต่อไปนี้คือแผนของฉัน…”
“ให้คนสองคนเบี่ยงเบนความสนใจจากพวกหลิงม่อไว้ แล้วให้อีกหนึ่งคนที่เหลือฉวยโอกาสหนีกลับไป ทำอย่างนั้นพวกเราจะได้ไม่ตกเป็นฝ่ายถูกควบคุมอีกต่อไป นายคิดว่าไงบ้าง?” มู่เฉินถามความเห็นเขา
ซย่าจื้อเหมือนจะตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินแผนของเขา เขาจ้องมุมผนังด้วยสายตามึนงง เหมือนกำลังพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก
มู่เฉินเองก็ไม่ได้เร่งเร้าเขา เพราะแผนการนี้แม้จะฟังดูง่ายมาก แต่มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง ที่ค่อนข้างรับมือยาก
ใครจะอยู่? ใครจะไป?
สองคนที่อยู่ต่ออาจไม่ถูกหลิงม่อฆ่าทิ้งหลังจากความแตกก็จริง แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะว่าพวกเขายังมีประโยชน์อยู่
ทว่านั่นกลับไม่ได้เป็นหลักประกันได้ว่าพวกเขาจะปลอดภัยไปตอลด ถ้าหากทางสาขาปฏิเสธข้อเสนอจากหลิงม่อ เมื่อถึงเวลานั้นความเป็นความตายของสองคนที่เหลือคงเป็นเรื่องยากจะคาดเดา
สรุปแล้วก็คือ ทันทีที่ตัดสินใจอยู่ต่อ ก็แสดงว่าชีวิตของพวกเขาจะอยู่ในกำมือของนิพพานสาขาย่อยและหลิงม่อต่อไป ความเป็นความตายล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสองฝ่ายนั้น
ความรู้สึกที่เหมือนชีวิตตัวเองขึ้นอยู่กับคนอื่น ไม่ว่ากับใครย่อมไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี
และอีกหนึ่งคนที่หนีไป ก็ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่ต้องฝ่าฝูงซอมบี้เพื่อกลับไปให้ถึงนิพพานเพียงลำพัง รวมถึงการสอบสวนทุกรูปแบบจากสาขาย่อยที่จะต้องเจอ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คนคนนี้ต้องแบกรับชีวิตของอีกสองคนที่อยู่ต่อไว้บนบ่า จะสามารถเกลี้ยกล่อมนิพพานได้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับคนคนนี้
ดังนั้นปัญหาใหม่จึงเกิดขึ้นตามมา ในสามคนนี้ ใครกันที่จะได้รับความไว้วางใจจากอีกสองคนที่เหลือ?
ซย่าจื้อคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นทำภาษามือ
มู่เฉินกระพริบตาปริบๆ แล้วบอกว่า “ให้หนีไปทั้งสามคนงั้นหรอ?…อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า”
ซย่าจื้อก้มหน้าลงอย่างหดหู่ หากเทียบกับข้อเสนอของเขา แผนการของมู่เฉินดูจะเป็นไปได้มากกว่าจริงๆ
พลังของพวกเขาสามคนเมื่อเทียบกับพวกหลิงม่อแล้ว เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนเกินไป
อยากหลบหนีกันสำเร็จทั้งสามคน ความเป็นได้ต่ำเกินไป
และทันทีที่พวกเขาเผยพิรุธ เป็นไปได้มากว่าหลิงม่ออาจจะทำการสังหารล้างบางทันที
จากที่อยู่ด้วยกันมาในระยะที่ผ่านมานี้ พวกเขาเองก็พอเข้าใจพื้นฐานนิสัยของหลิงม่อบ้างแล้ว
ถึงแม้ในเวลาปกติคนคนนี้มักจะยิ้มอย่างผ่อนคลาย นอกจากเรื่องหมกมุ่นในทรัพย์สินเป็นพิเศษโดยรวมก็ถือว่าเป็นคุยง่ายคนหนึ่ง แต่ทันทีที่ทำให้เขาโมโห เขาจะไม่ออมมือเลยแม้แต่น้อย
สมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนสามารถใจไม้ไส้ระกำและกระทำต่อกันอย่างอำมหิตได้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำ
ลองหนีดูก่อน หากถูกจับได้แล้วค่อยร้องขอชีวิต เรื่องอย่างนี้ขนาดใช้นิ้วเท้าคิดยังรู้เลยว่ารนหาที่ตายชัดๆ
“ฉันจะถ่วงเวลาเขาไว้หนึ่งวัน ก็น่าจะ…” มู่เฉินมองนาฬิกาบนข้อมือ แล้วบอกว่า “หากเริ่มนับตั้งแต่ตอนนี้ อย่างมากก็มีเวลา 27 ชั่วโมง ในช่วงเวลานี้ คิดให้ดีก็แล้วกัน”
สุดท้าย มู่เฉินพูดเสริมอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “ฉันเชื่อใจพวกนายทั้งสองคนมาก ถึงแม้ทั้งนายกับสวี่ซูหานจะไม่เคยเรียกซักครั้ง แต่ว่า…ถึงยังไงฉันก็เป็นหัวหน้าทีม ฉันจะเคารพการตัดสินใจของพวกนาย”
ซย่าจื้อยังไม่ทันได้พูดอะไร มู่เฉินก็ยกมือขึ้นเกาเท้าทอยอย่างเก้อเขิน แล้วบอกว่า “คำพูดเป็นการเป็นงานอย่างนี้ พูดออกไปแล้วก็น่าอายเหมือนกันแฮะ…”
หลังจากผลักประตูออกอย่างระมัดระวัง มู่เฉินยื่นหัวออกไปดูข้างนอกก่อน พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ เขาจึงรีบปลีกตัวออกจากที่นั่นอย่างเบามือเบาเท้า
แต่เพิ่งจะเดินไปถึงบริเวณบันได เสียงตะโกนเรียกที่ดังขึ้นกะทันหันทำเอาวิญญาณของเขาแทบจะหลุดออกจากร่าง “นี่!”
มู่เฉินตัวแข็ง พลางชะงักเท้าหยุดทันที จากนั้นก็ค่อยๆ หันหน้าไป “ทำไม?”
ซย่าน่ายืนอยู่บนขั้นไดพร้อมกับเคียวดาบคู่ใจที่ดูมีเอกลักษณ์มากของเธอ เธอกำลังมองลงมาจากข้างบน “นายไปไหนมา? แล้วคุณลุงน้ำเต้าหน้าตายล่ะ?”
“ฉัน…พวกฉัน…” มู่เฉินอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดโพล่งออกไป “ซย่าจื้อบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ!”
“อา…นายก็เลยไปดูเขาเข้าห้องน้ำ?” ซย่าน่าพยักหน้า
“เปล่าๆๆ!” พอเห็นซย่าน่าทำสายตาดูถูกและประเมินเขา มู่เฉินก็สติหลุดทันที “ไม่ใช่…ฉัน…”
“ไม่ต้องมาอธิบายกับฉันหรอก ไม่มีประโยชน์” ซย่าน่าสะบัดเสียง จากนั้นก็หันหน้าเดินขึ้นไปข้างบน
“ฉัน…คือว่า…” มู่เฉินเกาหัวแรงๆ “ใช่แล้ว! ฉันจะไปอธิบายให้เธอฟังทำไมเนี่ย!”
“นี่ ไหนบอกว่าตามหาน้ำไง? พวกเราเจออยู่ที่ชั้นบนแล้ว รีบขึ้นมายกสิ” เสียงซย่าน่าดังมาแต่ไกล
มู่เฉินน้ำตาไหลอาบแก้ม “ที่แท้ก็มาหาฉันเพื่อหวังจะใช้แรงงาน ฉันก็ว่าอยู่ว่าทำไมถึงได้เป็นฝ่ายมาคุยกับฉันก่อน…”
—————————————————————————–