แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 616 ต่างคนต่างความคิด
ในเกสต์เฮาส์เก่าๆ หลังนี้ หลิงม่อหาสิ่งของบางอย่างเจอจริงๆ
ในโกดังเก็บของห้องหนึ่งที่อยู่บนชั้นสาม พอเปิดประตูเข้าไปก็มีแต่กลิ่นเหม็นอับ รวมถึงกองฝุ่นมากมาย
บนกล่องเก็บของจำนวนหนึ่งที่กองไว้ในห้องเต็มไปด้วยรา บางจุดถึงขนาดมีวัตถุเม็ดเล็กๆ สีดำน่าสงสัยกองไว้ด้วย
ทว่าหลังจากมองข้ามรายละเอียดเหล่านี้ไป แล้วมองแค่เครื่องดื่มเพิ่มพลังงานและอาหารที่หลิงม่อเลือกหยิบออกมาได้ ก็ถือว่าน่าดึงดูดไม่น้อย
“แถมยังไม่หมดอายุด้วย!”
การค้นพบนี้ทำให้มู่เฉินที่ตอนแรกอารมณ์หงุดหงิดนำพลันเปลี่ยนเป็นกระโดดโลดเต้นขึ้นมา จนถึงขั้นเลือกที่จะเมินคำพูดของหลิงม่อที่ว่า “นายรู้ใช่ไหมว่าของพวกนี้ไม่ใช่ของนาย?”
“ในนี้มีอีกตั้งหลายกล่อง พวกนายเปิดดูหรือยัง?” หลังจากที่มู่เฉินยัดของทุกอย่างใส่กระเป่าเสร็จแล้ว เขาก็ตาแหลมเหลือบไปเห็นมุมห้องมุมหนึ่ง
ในห้องนี้นอกจากกล่องเก็บของที่กองกันเต็มไปหมดแล้ว ยังมีเตียงสปริงอยู่อีกหนึ่งหลัง แค่เห็นผ้าห่มและเบาะรองสกปรกๆ ที่อยู่บนเตียงก็รู้แล้วว่า เมื่อก่อนห้องนี้ต้องเป็น “ห้องพัก” ของพนักงานแน่นอน
“น่าจะมีแต่อุปกรณ์อาบน้ำนะ พวกที่ใช้กันในโรงแรมน่ะ” หลิงม่อเดินเข้าไปพลิกเปิดดูเล็กน้อย จากนั้นก็พูดอย่างไม่ค่อยสนใจว่า “ของแบบนี้นิพพานของพวกนายก็คงจะไม่ขาดแคลนหรือเปล่า?”
“ไม่ขาด…” มู่เฉินตอบทันที “ความจริงของประเภทแป้งฝุ่นทาตัวจะได้รับความนิยมมากหน่อย นายเข้าใจใช่ไหม”
“พูดถึงนิพพาน…สำนักงานใหญ่ของพวกนายอยู่ที่ไหนล่ะ?” จู่ๆ หลิงม่อก็ถามขึ้นมา
คำถามนี้ทำเอามู่เฉินค้างเติ่งทันที เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็โยนสบู่ก้อนเล็กๆ ที่เขากำลังสังเกตดูอย่างละเอียดในมือทิ้งไป “ฉันเองไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“ปฏิเสธได้ไร้ความซื่อสัตย์มาก” หลิงม่อส่ายหน้า
“แฮ่ๆ รอให้นายทำงานกับเราจนคุ้นเคยกันก่อนเถอะน่า ไม่แน่นายอาจกลายเป็นผู้ร่วมงานกับสำนักงานใหญ่ของพวกฉันด้วยก็ได้นะ” มู่เฉินหัวเราะเก้อๆ
“เรื่องนั้นน่ะ…ไว้ว่ากันทีหลังเถอะ” หลิงม่อตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจ
“ใช่สิ” หลิงม่อเพิ่งจะเงียบไปได้ไม่ถึงสองวินาที ก็เปิดปากถามอีกครั้ง “คิดไว้หรือยังว่าจะบอกกับสาขาย่อยของพวกนายว่ายังไง?”
“แล้วนายล่ะคิดไว้หรือยัง…ว่าหลังไปถึงที่นั่นแล้ว จะจัดการยังไง?” มู่เฉินใจเต้น “ตึกตัก” แต่เขากลับอดถามกลับไม่ได้
เขาถามออกไปอย่างไม่ค่อยกลัว โดยเฉพาะเมื่อเขาบอกแผนการของตัวเองกับซย่าจื้อไปแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตอนนี้ตัวเองมีทางหนีทีไล่แล้ว
ก็แค่ถามคงไม่ถึงขั้นรนหาที่ตายหรอก ยิ่งรู้ข้อมูลมาก ก็ยิ่งทำให้คนที่จะหนีไปมีความมั่นใจมากขึ้น
ทว่าหลิงม่อกลับเหมือนไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย เพียงยิ้มบางๆ แล้วบอกว่า “นายไม่มีคำตอบในใจบ้างหรอ?”
“ก็เพราะไม่มีถึงได้ถามนายนี่ไง!”
ความตื่นเต้นและคาดหวังในใจของมู่เฉินหายวับไปกับตา แต่เขาก็ไม่ได้บ่นอะไรออกไป
ตอนนี้คือช่วงเวลาสำคัญ จะปล่อยให้เขาดูถูกไม่ได้
“ฮะๆ…” มู่เฉินหัวเราะเบาๆ
คำตอบอย่างนี้ น่าจะถือว่าชัดเจนยิ่งกว่าพูดออกมาตรงๆ แล้วมั้ง…เขาแอบคิดในใจ
แต่สิ่งที่น่าหงุดหงิดคือ เขายังคงไม่สามารถล้วงความลับอะไรจากหลิงม่อได้เลย
พอเห็นว่าหลิงม่อหยุดตั้งคำถามในที่สุด มู่เฉินก็ลอบถอนหายใจโล่งอก แต่ขณะเดียวกันก็แอบกลอกตามองบนไม่ได้ “คิดแต่จะล้วงความลับจากฉันอยู่เรื่อย แต่พอถามอะไรหน่อยกลับไม่ยอมบอกอะไรเลย…”
จากนั้นเขาก็ทำหน้าบูดหน้าบึ้งอย่างอดไม่ได้ เขาแบกกระเป่าเป้ใบใหญ่อย่างยากลำบาก พลางเหล่มองไปทางพวกหลิงม่อ
บอกซย่าจื้อไปแล้วว่าให้เวลา 27 ชั่วโมง แต่จะถ่วงเวลาพวกเขาไว้ยังไงดีล่ะ…
และความจริงเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่มากพอ เพราะเขาได้รวมเวลาในการคัดเลือกคนหนีรวมไว้ในนี้แล้ว!
“ใช่สิ ถ้าตอนนี้ฉันบอกว่าฉันปวดท้อง จะถ่วงเวลาไว้ได้ซักสองชั่วโมงไหมนะ?” มู่เฉินครุ่นคิด พลางเบนสายตามองไปที่กล่องเก็บของที่ถูกเปิดทิ้งไว้ข้างๆ ตัว
ในกล่องเก็บของที่เต็มไปด้วยรอยกัดแทะนั่น พายกรอบที่ถุงบรรจุภัณฑ์ฉีกขาดหลายถุงถูกวางทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวตรงนั้น…
มู่เฉินจ้องมองอยู่นานสองนาน จากนั้นก็ยืดคอกลืนน้ำลายดังเอื้อก “ไม่เอาดีกว่า!”
……….
ในซอยเล็กๆ เส้นหนึ่งที่อยู่ด้านข้างของเกสต์เฮาส์ หมีแพนด้าที่ขนาดตัวใหญ่ผิดปกติกำลังเดินเบียดอยู่ระหว่างกำแพงสองด้านอย่างยากลำบาก และบนหัวของมัน มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนอนพิงอยู่ในสภาพอารมณ์ที่เหมือนเบื่อหน่ายสุดขีด
ห่างออกไปจากพวกเขาไม่ไกลมาก มีซอมบี้สิบกว่าตัวยืนอยู่ตรงนั้น แต่เด็กสาวตัวเล็กกลับทำเหมือนมองไม่เห็นซักนิด
เธอกำลังงับก้อนเหนียวหนืดไว้ในปากก้อนหนึ่ง และจ้องไปยังประตูเหล็กเก่าๆ ที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้า
ประตูเหล็กบานนั้นเกือบจะปิดสนิท เหลือไว้เพียงช่องเล็กๆ ข้างล่างที่กว้างประมาณฝ่ามือหนึ่ง และจากทิศที่เธออยู่ก็มองไม่เห็นอะไรเลย
ทว่าหลังจากที่เส้นไหมสีเงินยื่นออกไปจากคอเธอเส้นหนึ่ง เด็กสาวตัวเล็กคนนี้ก็ทำหน้าผิดหวังทันที “อ้าว เป็นมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นซะงั้น”
“แบ๊!” หมีแพนด้ากลายพันธุ์เองก็ยกหนังตาขึ้น สภาพเหมือนไม่ค่อยมีแรง
“จะว่าไป เสี่ยวป๋าย ตกลงว่าร่างกายภายในของแกเป็นไงบ้างแล้ว?” เด็กสาวตัวเล็กพลันชะโงกตัวไปด้านหน้าหมีแพนด้ากลายพันธุ์ เพื่อมองหน้ากับมันตรงๆ “แกจะกลายเป็นเหมือนกัน หรือเหมือนเฮยซือ? หรือว่าจะกลายเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดตัวเล็กที่แพร่เชื้อใส่แกนั่น?”
เสี่ยวป๋ายส่ายหัวไปมา แล้วร้องไม่พอใจ “แบ๊…”
“ในเมื่อเป็นถึงสมบัติของชาติ ทำไมแกถึงได้กลายพันธุ์ช้าขนาดนี้ล่ะ? ไม่น่าล่ะถึงได้อยู่ในสภาพอย่างนี้ทั้งปีทั้งชาติ…ขนาดติดเชื้อไวรัสแล้วก็ยังเปลี่ยนไปแค่สีขน”
พูดไป ดวงตาของซอมบี้โลลิก็ประกายแดงอ่อนๆ ขึ้นมาชั่วขณะ จากนั้นก็ถอนหายใจ “ถึงจะย้อมขนแล้วก็ยังดูออกว่าแกเป็นหมีแพนด้า”
“แบ๊…” คราวนี้เสียงร้องของเสี่ยวป๋ายเริ่มฟังดูน้อยอกน้อยใจ…
………..
สวี่ซูหานในตอนนี้ไม่มีทางรู้เลยว่านอกประตูใหญ่บานนั้น มีดวงตาสามคู่กำลังจ้องมองตัวเองอยู่
ทว่าถึงแม้เธอจะเป็นคนเสนอตัวเดินดูบริเวณรอบๆ เอง แต่เธอกลับไม่ได้มีความคิดที่จะหนีเลยแม้แต่น้อย
ในกลุ่มสามคน เธอเป็นคนที่เคลื่อนไหวน้อยที่สุด เรี่ยวแรงก็น้อยที่สุดด้วย
และหากคิดดูดีๆ ถ้าเธอหนีไม่แน่ว่าเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนที่เหลืออาจเข้าร่วมการไล่ล่าเธอด้วย
สวี่ซูหานมองเรื่องนี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้เธอก็ยังคงรู้สึกแปลกๆ อยู่เล็กน้อย
“พวกนั้นไว้ใจฉันกันจริงๆ…” สวี่ซูหานนั่งอยู่บนจักรยาน เธอจ้องมองประตูใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปมองบนเกสต์เฮาส์
ในสวนหน้าเกสต์เฮาส์ ตอนนี้มีเธออยู่แค่คนเดียวเท่านั้น
“หลิงม่อ…นึกว่าเขาจะยืนจ้องฉันจากบนนั้นซะอีก” พอไม่เห็นอะไร เธอก็ก้มหน้าลงมา พร้อมกับอดประตุกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ “นี่ฉันเป็นอะไรของฉัน ไม่ถูกจ้องแล้วไม่ชอบงั้นหรอ? ไม่ได้ๆ จะเป็นอย่างนี้ไม่ได้นะ…”
แต่หลังจากที่เธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง กลับมองเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตูเกสต์เฮาส์
“ซย่าจื้อ?” เธอมองเขาอย่างแปลกใจ จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน “พวกนายกำลังหาของอยู่ไม่ใช่หรอ?”
ซย่าจื้อยังคงอยู่ในสภาพสะบักสะบอม ทว่าเขาเองก็มองตามสายของสวี่ซูหานขึ้นไปข้างบนเหมือนกัน
“ทำไม นายมีเรื่องจะพูดกับฉันหรอ?” สวี่ซูหานถามอย่างสงสัยเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นดึงหูฟังออก
ซย่าจื้อมองหน้าเธอ แล้วเม้มปาก แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าไปมา
สวี่ซูหานหัวเราะขึ้นมา แล้วบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามู่เฉินทำตัวน่ารำคาญอีกแล้วใช่ไหม?”
ครั้งนี้ซย่าจื้อกลับพยักหน้า จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน
“ฉันเองก็รำคาญเขามากเหมือนกัน แต่นายไม่รู้สึกหรอ ว่าเจ้าหลิงม่อนั่นก็พูดมากเหมือนกันนะ?” สวี่ซูหานถาม “ฉันน่ะชินบ้างแล้วล่ะ ความจริงแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ รู้สึกไม่กดดันเท่าไหร่”
“นายฟังอยู่หรือเปล่า?” สวี่ซูหานถามขึ้นอีก
ซย่าจื้อที่กำลังเงยหน้ามองข้างบนค่อยๆ ก้มหน้าลงมา แล้วหันไปพยักหน้าให้สวี่ซูหาน
สวี่ซูหานกลับไม่ได้มองขึ้นไปข้างบน เธอเริ่มคุยจ้อต่อพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
แต่ถ้าหากเมื่อกี้เธอเงยหน้าขึ้น เธอก็จะพบว่าม่านหน้าต่างกำลังสั่นไหวเบาๆ
“ใช้ให้ซย่าจื้อผู้มีตัวตนและบทบาทน้อยที่สุดไปเป็นคนส่งข่าว ช่างเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดจริงๆ!”
ด้านหลังม่านหน้าต่างมู่เฉินกำลัแอบงลิงโลดอยู่เงียบๆ “ถ้าเปลี่ยนเป็นฉันไปคุยกับสวี่ซูหาน พวกหลิงม่อต้องสงสัยอย่างแน่นอน”
ถึงแม้ว่าวันนี้เขาต้องเลือกซย่าจื้อเข้ามาปรึกษาด้วยเพราะไม่มีทางเลือกอื่น แต่การลอบสังเกตการณ์ของพวกหลิงม่อก็ถือว่ามีส่วนสำคัญเหมือนกัน
ในด้านนี้ ซย่าจื้อมีข้อได้เปรียบที่มีมาตั้งแต่เกิด
ความจริง แม้แต่มู่เฉินซึ่งเป็นพวกเดียวกันกับเขา ก็ยังลืมว่ามีซย่าจื้ออยู่ด้วยบ่อยครั้ง กลับเป็นหลิงม่อซึ่งมักจะมองเห็นภาษามือและสีหน้าของเขา ทำให้มู่เฉินและสวี่ซูหานอึ้งไม่น้อย
แต่ว่า…คงจะไม่ถูกสงสัยมากไปหรอกมั้ง?
“ซย่าจื้อเอ๋ย นายช่างเป็นสิ่งมีชีวิตพิสดารที่ควรมีติดตัวไว้จริงๆ!” มู่เฉินหัวเราะคิกคัก
“ปังๆ!”
เสียงทุบประตูดังออกมาจากด้านหลัง ทำเอามู่เฉินสะดุ้งตกใจจนตัวสั่น
“เฮ้ย นายใช้เวลานานเกินไปแล้วมั้ง ท่อปัสสาวะมีปัญหารึไง?” เสียงของหลิงม่อดังมาจากด้านนอก
มู่เฉินกระแอมทันที เขาขมวดคิ้วแล้วเดินอ้อมกะโหลกคนที่วางไว้ตรงมุมห้องน้ำ พลางตะโกนเสียงดัง “นายลองมาโดนคนตายจ้องไหมล่ะ? ฉันจะพลาดบ้างไม่ได้รึไง!”
—————————————————————————–