แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 622 เข้าใจเชิงลึก
“เอาเถอะ ผมจะพูดง่ายๆ แล้วกัน…”
สุดท้าย ชายคนนั้นก็ยังคงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อสายตาที่จับจ้องมาของอวี่เหวินซวน ถูกคนบ้าจ้องไม่วางตาขนาดนี้ ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก
“เพราะสถานการณ์๘องเราแตกต่างกันมาก ดังนั้นทิศทางวิวัฒนาการ และลักษณะเด่นของซอมบี้ ล้วนมีจุดที่แตกต่างกัน แต่ข้อแตกต่างเหล่านี้หากไม่มีข้อมูลเปรียบเทียบที่แน่ชัด ก็จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ เพราะหากพูดกันถึงที่สุดแล้วพวกมันล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เดียวกัน การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นหากไม่มีตัวอย่างเปรียบเทียบชัดเจน ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้” ชายคนนั้นพูดต่อ “อีกอย่างพวกเราจะให้พวกคุณไปเฉยๆ ก็คงไม่ได้ ในเมื่อร่วมมือกันแล้ว ก็ควรแสดงความจริงใจต่อกันทั้งสองฝ่ายถึงจะถูก”
“แล้วคุณต้องการอะไร?” จางอวี่ถาม
“พวกคุณต้องให้ข้อมูลที่ครบถ้วนกว่านี้กับพวกเรา ต้องละเอียดกว่าข้อมูลที่พวกคุณเอาออกมาตอนนี้ พูดตามตรง สิ่งที่พวกคุณให้มาในตอนนี้มันไม่ละเอียดมากพอ การกลายสภาพของอวัยวะ การกลายสภาพของแขนขา พฤติกรรมความเคยชินของฝูงซอมบี้…เรื่องพวกนี้แค่ตรวจสอบดูหน่อยก็รู้แล้ว สิ่งที่พวกเราต้องการคือข้อมูลเชิงลึก อะไรที่เหมือนกับจิตวิทยาของซอมบี้ หรือไม่ก็ชีววิทยาชองซอมบี้” ชายคนนั้นพูดอย่างรวดเร็ว
“นั่นมันก็…” จางอวี่ทำหน้าลำบากใจ
คิดว่าใครๆ ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องซอมบี้รึไงวะ!
คนส่วนมากแค่รู้ว่าจะหลบซอมบี้พ้นอย่างไรก็พอแล้ว แต่เรื่องอย่างความสนใจ งานอดิเรก และแนวโน้มการเลือกคู่ของซอมบี้ เรื่องพวกนี้…ใครจะไปสนกัน?
“พูดถึงเชิงลึก…” อวี่เหวินซวนจับปากกาด้ามหนึ่งขึ้นมา แล้วใช้นิ้วควงไปมา พลางพูดขึ้นอย่างใช้ความคิด “ผมมีตัวเลือกที่ดีอยู่คนหนึ่ง”
พอเขาพูดออกไป ทุกคนในที่ประชุมต่างหันไปมองเขาเป็นตาเดียว
มีคนอย่างนี้อยู่จริงๆ หรอ? ใครกัน?
แม้แต่ชายคนนี้ที่เสนอข้อเรียกร้องนี้ออกมาก็ยังอึ้ง “มีจริงๆ?”
“อื้ม!” อวี่เหวินซวนพยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ
ถูกต้องแล้ว คนที่เขานึกถึง ก็คือน้องเขยของเขานั่นเอง…
หากจะแข่งเรื่องความเข้าใจเชิงลึกที่มีต่อซอมบี้ จะมีใครสู้หลิงม่อได้อีก
“แต่มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง…ผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน” อวี่เหวินซวนขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา” ชายคนนั้นหันหน้ากลับไปมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังตัวเอง “เธอคนนี้คือผู้เชี่ยวชาญด้านการตามหาคน”
“สามารถให้ข้อมูลอะไรฉันได้บ้าง? ชื่อแซ่ รูปร่างหน้าตา เมื่อก่อนเคยไปที่ไหนมาบ้าง สถานที่ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะไป?”
เด็กสาวคนนั้นก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยกมือขึ้นดันปีกหมวกแก๊ปขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเย็นชาคู่นั้นจ้องไปที่อวี่เหวินซวน
“เอ่อ…ชื่อหลิงม่อ” อวี่เหวินซวนบอก
“ห๊ะ?” เด็กสาวคนดังกล่าวอึ้งไปทันที……
ตอนนี้หลิงม่อไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังโดนใครบางคนหมายหัวอยู่ ความสนใจทั้งหมดของเขาในตอนนี้ กำลังพุ่งเป้าไปยังซอมบี้ยักษ์หญิงที่คลุ้มคลั่งไปแล้วตัวนี้
ความสูงสามเมตรทำให้มันใช้ได้แต่มือและเท้า แต่กลับไม่สามารถจำกัดขอบเขตการเคลื่อนไหวของมันได้ ตอนนี้มันเหมือนกอริลลาตัวใหญ่ที่กำลังไล่ตะปบไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง
แต่เมื่อกอริลลาตัวนี้มีทั้งร่างกายที่กำยำแข็งแรงและความเร็วที่น่ากลัว มันก็ได้กลายร่างไปเป็นรถถังทำลายร้างในร่างสัตว์
ความสามัคคีของซย่าน่าและหลิงม่อสามารถทิ้งรอยแผลไว้บนร่างของมันสิบกว่ารอย แต่ด้วยความเหนียวแน่นของกล้ามเนื้อและขนาดร่างกายของมัน ล้วนเป็นสิ่งรับประกันว่าบาดแผลเหล่านี้จะไม่ส่งผลอันตรายถึงแก่ชีวิตแน่นอน
ตรงกันข้าม เลือดสดๆ และความเจ็บปวดยังกลับไปกระตุ้นมัน และกระตุ้นคู่ครองของมันด้วย
ทุกครั้งที่ซอมบี้ยักษ์หญิงได้รับบาดเจ็บ ซอมบี้ยักษ์ชายก็จะพยายามกระโจนเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
แต่การกระทำอย่างนั้นของมันกลับทำให้ตัวเองตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของอันตราย ทุกครั้งที่เป็นอย่างนี้ พฤติกรรมไม่กลัวตายของมันจะทำให้รอยแผลบนตัวมันเพิ่มขึ้นเสมอ
และการบาดเจ็บของมัน ก็จะกลับไปกระตุ้นซอมบี้ยักษ์หญิงด้วยเช่นกัน
“วงจรอุบาทว์ชัดๆ…”
หลิงม่อสังเกตเห็นจุดนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทว่าพอพวกมันอาละวาดไปมาอย่างนี้ สภาพของชั้นสามก็ถูกพังแทบจะไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
เสียงอึกทึกครึกโครมขนาดนี้แต่กลับไม่มีซอมบี้ธรรมดาถูกดึงดูดเข้ามาซักตัว นั่นเป็นเพราะกลิ่นอายอันน่ากลัวของซอมบี้ชนชั้นสูงสามตัวและซอมบี้เจ้าเมืองอีกสองตัว
การต้องต่อสู้กับพวกเดียวกันที่อยู่ในระดับเจ้าเมือง ทำให้พวกเย่เลี่ยนตอนนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ทั้งตื่นเต้นและมีความสุข
โชคดีที่พวกเธออยู่กับหลิงม่อมานานแล้ว และมีสายสัมพันธ์ทางจิตของหลิงม่อคอยควบคุม ถ้าไม่อย่างนั้นเดาว่าเหตการณ์ในตอนนี้คงจะต้องนองเลือดขึ้นอีกร้อยเท่า
“ทำได้เพียงทำสงครามเผาผลาญพลังงานแล้วล่ะ ประเด็นคือจะให้พวกมันกลับมาอยู่รวมกันไม่ได้” หลิงม่อร่วมต่อสู้กับซย่าน่าไปพลาง คิดในใจไปพลาง “จุดเด่นของพวกมัน คือจุดอ่อนของพวกมันในขณะเดียวกัน”
ทว่าการร่วมมือกันอย่างนี้ของซอมบี้ผัวเมียคู่นี้ กลับทำให้หลิงม่อประทับใจเล็กน้อย
เรียกว่า…ความเป็นซอมบี้หรือเปล่านะ?
ถึงแม้พวกมันจะแสดงออกผ่านความโหดร้ายและการนองเลือด แต่พอลองนึกถึงอวี๋ซือหรานและป้านเยว่ในตอนแรก ก็เหมือนว่าพวกเธอจะใส่ใจกันและกันอยู่
แต่พอหลิงม่อเผลอคิดเรื่องอื่นไปแวบเดียว เปียโหนหลังนั้นก็ลอยข้ามหัวเขาไปอย่างเฉียดฉิว
หลิงม่อที่หยังศีรษะชาสบถออกมาอย่างเดือดดาล “ชิบ!”
และมู่เฉินในตอนนี้ก็กำลังคิดอะไรบางอย่างในใจเหมือนกัน แต่เรื่องที่เขาคิดกลับเป็น…
ไหนล่ะสัญญาณที่ตกลงกันไว้?
ตั้งแต่เมื่อกี้เขาก็ไม่เห็นเงาของซย่าจื้ออีกเลย แต่สัญญาณดังกล่าวก็ยังไม่ถูกส่งมาจนถึงตอนนี้
ถึงแม้จะดูใจแคบไปบ้าง…แต่ตอนนี้คือโอกาสที่ดีที่สุดในการหนี
ถึงเขาจะรู้ว่าหลิงม่อไม่มีทางนั่งดูพวกเขาหนีไปต่อหน้าต่อตาแน่นอน และเรื่องอย่าง “เขากำลังถูกซอมบี้รั้งไว้อยู่ ดังนั้นฉันจะหนีไปจากที่นี่อย่างสบายๆ” ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอัตราความสำเร็จในตอนนี้สูงกว่าเวลาไหนๆ
ส่วนเรื่องใจแคบ…
ก่อนที่จะไล่ล่าพวกเขา พวกหลิงม่อต้องหนีจากซอมบี้สองตัวนี้ไปให้ได้ก่อน เท่านี้ก็ถือว่าใจกว้างมากพอแล้วในสายตามู่เฉิน
ความจริงพวกเขาไม่ค่อยเข้าใจพวกหลิงม่อนัก ตอนนี้พวกเขาแสดงออกชัดเจนเลยว่าต้องการจะฆ่าซอมบี้สองตัวนั้น
ฆ่าซอมบี้ระดับสูง? ทำอะไรเกินกำลังตัวเองชัดๆ!
คนทั่วไปหากไม่ใช่ว่าถูกบีบบังคับให้ต้องสู้ แม้แต่ซอมบี้พวกเขาก็ยังไม่อยากหาเรื่องเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซอมบี้ระดับสูง
อันตรายที่ทั้งสองฝ่ายต้องแบกรับไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยแม้แต่น้อย!
สู้ตายกับซอมบี้ แถมยังไม่ได้อะไรตอบแทนอีก นี่เขาคิดดีแล้วหรอ!
ขณะเดียวกับที่บ่นในใจ มู่เฉินก็กำลังคิดว่า อย่างไรหลังจากนี้เจาก็ไม่มีทางหนีรอดจากเงื้อมมือหลิงม่อได้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาควรทำตัวให้กวนประสาทน้อยลงหรือไม่?
อย่างเช่น อีกเดี๋ยวพอสัญญาณถูกส่งมา เขาก็ต้องวางแผนรั้งพวกหลิงม่อไว้ ขณะเดียวกันก็เลือกเส้นทางที่มีซอมบี้น้อยหน่อย เพื่อช่วยพวกหลิงม่อให้หนีจากสัตว์ประหลาดสองตัวนี้…
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ร่างกายของมู่เฉินก็ค้างแข็งไป
เขารู้สึกเหมอนตรงเอวของเขาถูกอะไรบางอย่างจี้ไว้…
“อย่าขยับ”
เสียงนิ่งๆ ดังมาจากด้านหลัง ทำให้สีหน้าของมู่เฉินที่เดิมตกใจมากอยู่แล้วประหลาดยิ่งกว่าเดิม
“ซย่าจื้อ?”
มู่เฉินกำลังคิดจะหันกลับไป ก็รู้สึกเหมือนถูกต่อยเข้าที่เอวแรงๆ หนึ่งครั้ง
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้เขาตัวสั่นเทิ้ม ขณะเดียวกันมีดในมือของเขาก็ถูกแย่งไปด้วย
การกระทำที่ชัดเจนนี้ทำให้เขาเข้าใจอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายไม่ได้กำลังล้อเล่น
แต่ว่า…นี่มันเรื่อง XX อะไรวะ?!
ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งของร้านกาแฟก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นทันใด และเสียงที่ดังปนมา คือเสียงกรีดร้องของสวี่ซูหาน
“อ๊าาาาา…”
สีหน้าของมู่เฉินดูแย่ลงกว่าเดิมทันที เขายังไม่ทันพูดอะไร ก็รู้สึกเหมือนถูกดึงแขนไปไพร่หลังแล้ว จากนั้นเขาก็ถูกลากให้ถอยหลังไปยังช่องบันได
“ซย่าจื้อ นายอยากตายรึไงวะ!”
มู่เฉินคำรามเสียงต่ำ ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือหลิงม่อที่กำลังถูกซอมบี้ยักษ์หญิงวิ่งไล่อยู่ กำลังวิ่งไปทางมุมนั้น…
………..
“แม่ง นายทำบ้าอะไรวะ!”
ขณะเดียวกับที่ถูกลากให้เดินลงข้างล่าง มู่เฉินตะคอกเดือดดาลไปด้วย
“โอ๊ย!”
แผ่นหลังเขาถูกทุบอย่างแรงกอีกครั้ง ทำให้มู่เฉินอดร้องเจ็บปวดออกมาไม่ได้
ต่อมาเขาก็ถูกกดตัวไว้กับผนังอย่างแรง ซย่าจื้อพุ่งเข้ามาประชิดด้านหน้า และยัดปืนเข้าไปในปากเขา
“ฉันเกลียดเวลาแกพูดที่สุด หุบปากซะ ทุกครั้งที่ฉันได้ยินแกพูด ฉันก็ยากจะระเบิดหัวแกซะให้รู้แล้วรู้รอด”
ซย่าจื้อยังคงทำหน้าตายไร้อารมณ์เหมือนเดิม เวลาพูดน้ำเสียงก็ไร้คลื่นอารมณ์
แต่เนื้อหาที่เขาพูดออกมา กลับทำให้มู่เฉินช็อกค้างไปเรียบร้อยแล้ว
“นาย…”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้จะทำอะไร” ซย่าจื้อกระตุกมุมปาก “ฉันแค่อยากจะหนีเท่านั้นเอง แต่น่าเสียดาย ที่นี่ไม่ใช่แผนโง่ๆ ของนาย”
“อย่าทำหน้าแบบนี้สิ ฉันก็แค่ทำไปเพื่อมีชีวิตรอด จะบอกว่าเพื่อชีวิตที่ดีกว่าก็ได้” ซย่าจื้อส่ายหน้าไปมา แต่สีหน้าของเขากลับยากจะดูออกว่าเขากำลังยิ้มหรือไม่
“ถ้าหากไม่ใช่ว่าพวกหลิงม่อแกร่งเกินไป แล้วพวกแกดันอ่อนแอเกินไปล่ะก็ ฉันคงไม่ต้องทำแบบนี้แล้ว ที่เหลือก็ต้องรบกวนแกด้วยแล้วกันนะ”
ซย่าจื้อกระชากผมของมู่เฉินอย่างแรง มู่เฉินถูกเตะเข่าใส่ท้องอย่างจังทำเอาเขาขาอ่อนทรุดลงกับพื้น
“เคร้ง!”
ซย่าจื้อโยนมีดทิ้งลงไปตรงมุมเลี้ยวบันไดของชั้นล่าง จากนั้นเขาก็วิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว
ทว่าก่อนที่เขาจะวิ่งลงไปตรงทางเลี้ยวบันได จู่ๆ เขากลับหยุด แล้วหันมาชูมือให้มู่เฉิน
ชูสองนิ้ว แล้วยังใบหน้าเรียบเฉยนั่นอีก
จากนั้นเขาจึงค่อยวิ่งลงไปอย่างบ้าคลั่ง และหายตัวออกไปจากครรลองสายตาของหลิงม่อ
“แม่เอ็งเถอะ…”
มู่เฉินนอนขดตัวอย่างเจ็บปวด เขาค่อยๆ ลากสังขารไปทางบันได
—————————————————————————–