แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 634 เหยี่ยวคลุ้มคลั่งไล่จับลูกไก่
พอเห็นเฉินเล่อถูกกระชากลากถูกลับมาในสภาพนั้น มู่เฉินถึงกับตะลึงค้าง
ถูกจับง่ายๆ อย่างนี้เลย? ทั้งที่เมื่อกี้อวดเก่งขนาดนั้นเนี่ยนะ?
พอได้สติ มู่เฉินก็รู้สึกสะใจนัก
ฮ่า ใครใช้ให้แกโรคจิต ใครใช้ให้แกอวดดีเล่า!
ตอนนี้เขาเริ่มชอบหลิงม่อขึ้นมาหน่อยแล้ว ถึงแม้เมื่อไม่นานนี้เขายังเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าจะเอาชนะคนคนนี้ได้ด้วยวิธีไหน แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นทั้งเพื่อนและศัตรูกับหลิงม่อขึ้นมาบ้างแล้ว
อย่างน้อยเมื่อเทียบกับซย่าจื้อและเฉินเล่อที่พร้อมจะหักหลังโดยไม่ลังเลแล้ว อยู่กับคนอย่างหลิงม่อที่มีจุดยืนชัดเจนยังสบายใจซะกว่า
“ถุยๆๆ หมอนั่นจะดีขึ้นมาได้ยังไง!” มู่เฉินดึงสติตัวเอง แล้วรีบส่ายหน้าไปมา ผลปรากฏว่าถูกซย่าน่ามองด้วยสายตาที่เหมือนกำลังมองคนโง่
หลิงม่อมองไปทางปากถนน ก็พบว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นยังคงวิ่งไล่กวดอยู่กับสองสาวซอมบี้อยู่
สองสาวซอมบี้สลับหน้าที่กันดึงดูดความสนใจจากมัน และกระตุ้นให้มันโมโหอย่างต่อเนื่อง และพอมันสติแตก พวกเธอก็ถอยไปอีกทาง แล้วพาสัตว์ประหลาดตัวนั้นวิ่งอ้อมไปอ้อมมาอยู่อย่างนั้น
เดิมความเร็วของพวกเธอก็ไม่ด้อยกว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้สภาพของมันแย่ลงเรื่อยๆ พวกเย่เลี่ยนก็ยิ่งรับมือง่ายขึ้นเรื่อยๆ
พอเวลาผ่านไป ท่าทางพวกเธอสองคนกลับเหมือนเจอกิจกรรมให้ความบันเทิงรูปแบบใหม่ เหมือนกับว่าพวกเธอกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น
นับว่าสัตว์ประหลาดโชคร้าย ถ้ามันเจอซอมบี้ธรรมดา อีกฝ่ายจะต่อสู้ระยะประชิดจนตายกันไปข้าแล้ว
ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร อย่างน้อยมันก็ยังได้ผลพลอยได้เล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นเนื้อซักก้อนสองก้อน หากโชคดีหน่อยก็อาจจะได้แขนของอีกฝ่ายมาซักข้างสองข้าง
และถ้าหากเป็นมนุษย์ธรรมดา ยิ่งไม่มีทางปะทะหน้ากับมันอย่างนี้ได้
การทำเรื่องอันตรายอย่างใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ และเล่นเกมเหยี่ยวไล่จับไก่กับสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่ง มีไม่กี่คนที่กล้าทำเรื่องบ้าคลั่งอย่างนี้
ถ้าหากเป็นอย่างนั้น มันในฐานะสัตว์ประหลาด ก็คงไม่ถูกเด็กสาวสองคนปั่นหัวจนต้องวิ่งวนไปมาอย่างนี้
ส่วนเฉินเล่อที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในสายตา ก็รู้สึกได้ว่าความหวังสุดท้ายได้พังทลายหายไปในพริบตาแล้ว
สภาพเอน็จอนาถของหมายเลข 1 เขาไม่อาจทนมองตรงๆ ได้ด้วยซ้ำ…
“ปึง!”
ระหว่างที่กำลังวิ่งไล่หลี่ย่าหลินอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดหมายเลข 1 ก็ล้มหน้าคะมำลงไป เป็นประกาศให้ทุกคนรู้ว่ามันหมดแรงแล้ว
หลังจากที่มันล้ม เย่เลี่ยนก็รีบวิ่งเข้าไปตรงหน้ามัน จากนั้นก็ยกเท้ากระทืบลงไปบนศีรษะด้านหลังของมันเต็มแรง
“นั่นจะทำอะไรน่ะ?” มู่เฉินเบิกตากว้าง
พอเย่เลี่ยนลากร่างเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นเข้ามาทางนี้ สมองของมู่เฉินและเฉินเล่อก็มึนตึ๊บราวกับว่าหยุดทำงานไปแล้ว
ที่แท้พวกเธอไม่ได้ทำไปเพื่อฆ่ามัน แต่เพื่อจับเป็น!
แต่ว่า…พวกเขาจะเอาสัตว์ประหลาดอย่างนี้ไปทำอะไร? ถ้าหากยังอยู่ในยุคสงบสุข ก็ยังจับขังในกรงแล้วเปิดให้เข้าชมได้…
เฉินเล่อกลับคิดได้ไกลกว่าหน่อย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองเข้าใจจุดประสงค์ของหลิงม่อแล้ว
ในเมื่อมีจุดประสงค์ เรื่องก็ง่ายขึ้นหน่อย…
“ว่ามา” หลิงม่อพูดขัดจังหวะเฉินเล่อที่กำลังวางแผนในใจอยู่
เฉินเล่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็กัดฟันพูดว่า “ถูกต้อง มันไม่ใช่ซอมบี้ธรรมดาจริงๆ”
“ไม่ใช่แค่ไม่ธรรมดามั้ง” หลิงม่อบอก
“อื่ม นอกจากนี้มัน…มันไม่ใช่ซอมบี้ตั้งแต่แรก” เฉินเล่อพยักหน้าตอบ
“อะไรนะ?!”
มู่เฉินที่เพิ่งได้สติ ช็อกค้างไปอีกครั้ง
ซย่าน่าเองก็ทำหน้าเหมือนสนอกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอใช้เท้าเขี่ยร่างของหมายเลข 1 ให้พลิกหงาย สูดดมสองสามที จากนั้นก็หันไปมองหลิงม่ออย่างสงสัย
ก็ไม่แปลกที่เธอจะสงสัย มีกลิ่นเชื้อไวรัส รูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นซอมบี้ชัดๆ
ความจริงแล้ว สภาพของหมายเลข 1 คือซอมบี้ไม่ผิดแน่ แต่จากผลการสังเกตของหลิงม่อ เรื่องไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้
ซย่าน่าเองก็เป็นคนบอกเอง ว่าเชื้อไวรัสที่สวี่ซูหานติดมา ไม่ใช่เชื้อไวรัสธรรมดา…
“มันเป็นหนูทดลองตัวใหม่ที่คิดค้นโดยสำนักงานใหญ่ และมันยังเป็นหนึ่งในหนูทดลองที่ใกล้เคียงกับร่างสมบูรณ์มากที่สุด ตัวตนของมันก่อนหน้านี้ คือผู้มีความสามารถพิเศษคนหนึ่ง…”
คำพูดของเฉินเล่อ ทำให้ทุกคนในที่นั้นนิ่งอึ้งไปทันที
ตอนแรกมันเป็น…ผู้มีความสามารถพิเศษงั้นหรอ?
“นายดูออกอยู่แล้วไม่ใช่หรอ?” เฉินเล่อถามหลิงม่อ
เฉินเล่อยังไม่ลืมหยั่งเชิงเขา แม้หลิงม่อจะรู้สึกว่าน่าขำ แต่ก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด “วิธีการโจมตีของมัน ไม่เหมือนวิธีการที่ซอมบี้ทั่วไปจะสามารถทำได้ และทุกครั้งที่เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่ง เรี่ยวแรงของมันก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว อาการอย่างนั้น…”
“นั่นเป็นอาการที่มีเฉพาะผู้มีความสามารถพิเศษจริงๆ อาการอย่างนั้นจะเกิดตอนใช้ความสามารถพิเศษ” มู่เฉินพูดต่อพร้อมทำท่าครุ่นคิด
“ถูกต้อง” หลิงม่อพยักหน้า
เฉินเล่อมองหลิงม่อด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง แค่เรื่องนี้ เขากลับสามารถคาดเดาได้ถึงความจริง…
สำหรับมนุษย์แล้ว ซอมบี้ยังคงเป็นเผ่าพันธุ์ที่ลึกลับมาก แม้จะพบเจอซอมบี้ที่พิสดารมากแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ
เพราะถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่น่าพิศวงอยู่แล้ว…
แต่คนคนนี้ ทำไมจู่ๆ ถึงได้คิดไปถึงเรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างนั้นได้ล่ะ?
สำนักงานใหญ่หวังไว้ว่าอาวุธมีชีวิตชิ้นนี้จะต้องให้ผลที่น่าทึ่งราวกับปาฏิหาริย์แน่ ถ้าหากพวกเขารู้ว่าสัตว์ประหลาดที่พวกเขาให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดตัวนี้ กลับถูกคนอื่นเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงได้ตั้งแต่การต่อสู้จริงครั้งแรก ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะโมโหจนกระอักเลือดไปเลยหรือเปล่า…
หลิงม่อไม่รู้ว่าเฉินเล่อกำลังคิดอะไรอยู่ แม้ว่าเรื่องที่เขาพูดออกมาจะเป็นจุดที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุด แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่เขาสังเกตเห็น
และเรื่องเหล่านั้น คนธรรมดาไม่มีทางสังเกตเห็นแน่นอน ถึงจะรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก็อาจคิดไปว่าเกิดซอมบี้สายพันธุ์ใหม่ขึ้นอีกแล้ว
แต่สำหรับหลิงม่อ เขานั้นใช้ชีวิตอยู่กับซอมบี้…
ไม่ว่าซอมบี้จะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใด แต่ที่สุดแล้วสัญชาติญาณพื้นฐานก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป
และเรื่องนี้คนอื่นๆ ทั้งไม่รู้ และไม่อยากจะทำความเข้าใจด้วย มีเพียงคนอย่างหลิงม่อที่เริ่มใช้ชีวิตกับซอมบี้ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นระดับล่าง และอยู่ข้างๆ คอยดูพวกเธอวิวัฒนาการไปทีละก้าวๆ จนถึงตอนนี้เท่านั้น ถึงจะสังเกตเห็นได้อย่างหูตาไว
ทว่าเรื่องเหล่านี้ เขาย่อมไม่มีทางพูดออกมาอยู่แล้ว…
“เปลี่ยนผู้มีความสามารถพิเศษให้กลายเป็นซอมบี้…ฟังดูคุ้นๆ นะ” หลิงม่อนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างตกตะลึง จากนั้นก็พูดอย่างตกตะลึง “เจ้าเจี้ยนฉีนั่น ก็กำลังวิจัยเรื่องนี้ไม่ใช่หรอ?”
“เจี้ยนฉี? อ้อ…สมาชิกระดับเก้าที่ถูกนายฆ่านั่น…” มู่เฉินพยักหน้าอย่างฉุกคิดขึ้นได้ จากนั้นก็ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ใช่มั้ง เขากำลังวิจัยว่าจะทำให้ผู้มีความสามารถพิเศษแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไรต่างหาก เป้าหมายสูงสุดคือทำให้ศักยภาพร่างกายอยู่ในระดับเดียวกับซอมบี้ให้ได้ เรียกว่าอะไรแล้วนะ…”
“ร่างสมบูรณ์” หลิงม่อให้คำตอบ
“จะเอามาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?” เฉินเล่อพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ “การวิจัยของหมอนั่นไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จด้วยซ้ำ และถึงจะสำเร็จ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อนิพพานอยู่ดี”
“มันก็ถูก ถ้าหากไม่ใช่ว่าหมายเลข 0 ถูกนายทำร้าย ไม่แน่พวกเราก็อาจไม่อยากเข้ามายุ่งด้วยซ้ำ” มู่เฉินเห็นด้วย
เดิมหลิงม่อยังไม่ค่อยเข้าใจที่พวกเขาพูดนัก แต่พอคิดดูอีกที เขาก็นึกออกทันที
การทดลองร่างสมบูรณ์ ทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคล สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ ก็คือบุคลใดบุคคลหนึ่ง
ถึงแม้ว่ามันจะมีส่วนช่วยให้พลังโดยรวมของนิพพานยกระดับขึ้น แต่ก็ยังคงมีปัจจัยไม่มั่นคงที่แฝงอยู่อีกหลายประการ
แต่หมายเลข 1 นั้นต่างออกไป มันแข็งแกร่ง ฟังคำสั่ง และฟังจากลำดับการเรียกชื่อ บวกกับสิ่งที่เฉินเล่อพูดอีก ชัดเจนว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตอย่างนี้อยู่อีกจำนวนหนึ่ง…
นี่มันอาวุธมีชีวิตชัดๆ!
ทว่าสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ความจริงทฤษฎีการทดลองของเจี้ยนฉีนั้นมีความเป็นไปได้อยู่
และตัวอย่างความสำเร็จของทฤษฎีนั้น ก็คือหลิงม่อที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขานั่นเอง…
“พูดให้ชัดเจนหน่อย หมายเลข 1 ถูกสร้างขึ้นมาไดอย่างไร?” หลิงม่อขมวดคิ้วถาม เขารู้สึกต่อต้านการกระทำอย่างนี้ของนิพพานมาก พวกเขาใช้เพื่อนร่วมสายพันธุ์เป็นหนูทดลอง ช่างเป็นการกระทำที่น่าหวาดกลัวเหลือเกิน
“ขั้นตอนการทดลองฉันเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้แค่ว่าน่าจะมีตัวแม่อยู่ด้วย” เฉินเล่อบอก
“ตัวแม่คืออะไร?” คำศัพท์นี้กระตุกต่อมสนใจของหลิงม่อทันที
ก่อนหน้านั้นที่เขาเจอศพน้ำในห้างสรรพสินค้าใต้ดิน พวกมันก็มีตัวแม่เหมือนกัน เพียงแต่มันได้จากไปนานแล้ว
และราชินีแมงมุมเอง ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นตัวแม่เหมือนกัน…
“ต้องดูดกลืนเชื้อไวรัสจากร่างของตัวแม่ พวกมันจึงจะกลายพันธุ์ได้อย่างปลอดภัย” เฉินเล่อพยักหน้าแล้วบอก
มู่เฉินแค่นเสียง “กลายพันธุ์ยังจะมีความปลอดภัยอยู่อีกหรอ?”
“มีสิ ขั้นตอนการกลายพันธุ์นี้จะช้ากว่าการติดเชื้อทั่วไปมาก สภาพดวงจิตของพวกนั้นจะค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิดๆ”
เฉินเล่อมองไปที่สวี่ซูหาน แล้วบอกว่า “แต่กรณีอย่างเธอ อีกไม่กี่นาทีก็ต้องกลายเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว ฉันขอเตือนพวกนายไว้ก่อน จัดการเธอซะตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า อย่าเสี่ยงเลย เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่ติดเชื้อ ในเล็บของหมายเลข 1 มีแต่เลือด ถ้าพวกนายยังไม่ลงมือตอนนี้ แล้วยืนมองเธอค่อยๆ กลายพันธุ์ จะไม่รู้สึกแย่ยิ่งกว่าหรอ?”
“รู้สึกแย่?” มู่เฉินเบิกตากว้าง จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล กระโจนเข้าใส่เฉินเล่อแล้วยกมีดขึ้น “แกยังมีหน้ามาพูดอย่างหน้าตาเฉย! ก็ฝีมือแกไม่ใช่หรอไง! แม่งเอ๊ยฉันจะเชือดคอแกซะ!”
“เดี๋ยวก่อน” หลิงม่อกระชากตัวเฉินเล่อหลบออกไปด้านข้าง และเฉินเล่อที่หลบไปได้อย่างหวุดหวิด ก็หน้าซีดไปทันที
มู่เฉินมองหลิงม่อด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่สุดท้ายก็ยอมลดมีดลงแต่โดยดี
“เรื่องที่ไม่ควรพูด ก็อย่าพูดอีก” หลิงม่อหันไปพูดกับเฉินเล่อด้วยสายตาเย็นชา
เฉินเล่อได้ยินก็เหงื่อท่วมหัว เขาพยักหน้ารัวๆ แต่ปากก็ยังแก้ต่างให้ตัวเอง “ก็แค่เตือนในฐานะสมาชิกด้วยกัน…”
“หุบปากซะ ฉันจะถามนายดีๆ สภาพเธอตอนนี้หมดทางช่วยเหลือแล้วหรอ? ระหว่างการทดลองน่าจะมีกรณีคล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นบ้าง พวกนายแก้ปัญหาอย่างไร?” หลิงม่อถาม
“ฉันจะไปรู้ได้ไง ฉันไม่ใช่คนในกลุ่มทดลองนะ…ถึงฉันจะมากับหมายเลข 1 แต่ฉันก็เป็นแค่คนสั่งการของมันเท่านั้นนะ” เฉินเล่อบอก
พอเขาพูดอย่างนี้ มู่เฉินก็แสดงสีหน้าผิดหวังสุดขีดออกมา
สวี่ซูหานกลับเหมือนไม่ได้ยินที่พวกเขาคุยกันเลยแม้แต่น้อย เธอเอาแต่นั่งพิงกำแพง แล้วทอดสายตามองออกไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย
ความรู้สึกที่ต้องนั่งรอความตายมาเยือนอย่างช้าๆ คงจะทำให้เธอสิ้นหวังที่สุด
กลับเป็นซย่าน่าที่หันไปมองสวี่ซูหานเป็นพักๆ สีหน้าออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง
หลิงม่อขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นว่า “ตัวแม่นั่น ก็เป็นซอมบี้แบบนี้ใช่ไหม?”
“เหมือนจะ…ใช่นะ” เฉินเล่อพยักหน้า
“ฉันเข้าใจแล้ว บางทีอาจมีวิธีหนึ่งสามารถลองได้ แต่เดาว่าคงทำได้แค่ยืดเวลาออกไปอีกช่วงเดียวเท่านั้น” หลิงม่อบอก
“วิธีอะไร!” มู่เฉินถามอย่างตกตะลึง
สถานการณ์อย่างนี้ ยังมีวิธียืดเวลาออกไปอีกหรือ?
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่าว่าแต่ยืดเวลาได้แค่ช่วงเดียวเลย ถึงจะยืดเวลาได้แค่ไม่กี่นาที ก็ถือเป็นเรื่องดีแล้ว!
“นายจะทำอะไรได้?” เฉินเล่อถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
—————————————————————————–