แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 635 หนึ่งในของคู่กายของโรคจิตก็คือไดอารี่
“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ ให้ฉันคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนว่าควรจะทำอย่างไร”
หลิงม่อส่งสายตาให้เย่เลี่ยน ให้เธอลากหมายเลข 1 ไปอีกทางหนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางเฉินเล่อ “จัดการเรื่องนายก่อนแล้วกัน”
พอรู้สึกได้ว่าสายตาของหลิงม่อดูไม่เป็นมิตร เฉินเล่อก็กระโดดโหยงขึ้นมา “ไม่นะๆๆ…พวกเราตกลงกันแล้วนะ! นายจะฆ่าฉันไม่ได้ ฉัน…ฉันมีประโยชน์กับพวกนายหลายเรื่อง…โอ๊ย! เดี๋ยวก่อน! นาย…นายไม่อยากรู้หรอว่าฉันควบคุมหมายเลขหนึ่งได้อย่างไร?”
เบี้ยต่อรองนี้เขากะไว้ว่าจะเอาไว้ใช้ทีหลัง คิดไม่ถึงว่าหลิงม่อจะเปลี่ยนสีหน้าเร็วขนาดนี้
หรือว่าตัวเองคาเดาผิด? ที่หลิงม่อเก็บหมายเลข 1 ไว้ ไม่ได้เป็นเพราะอยากได้ความสามารถด้านนี้ของตัวเองหรอกหรอ? ไม่…เป็นไปไม่ได้! ควบคุมซอมบี้ แค่ฟังก็ดึงดูดใจมากแล้ว! แม้ซอมบี้จะน่ากลัว ทำให้คนหวาดผวา แต่ถ้าหากข้างกายมีซอมบี้ที่เชื่อฟังคำสั่งติดตามอยู่หนึ่งตัว ความสามารถในการเอาตัวรอดก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เรื่องดีๆ อย่างนี้ ไม่มีใครไม่อยากได้หรอกมั้ง?
หลิงม่อมองหน้าเฉินเล่อ จากนั้นก็เปิดปากพูดท่ามกลางสีหน้าหวาดวิตกของเฉินเล่อ “พูดสิ”
หัวใจที่หล่นไปอยู่ตรงตาตุ่มของเฉินเล่อกลับสู่ตำแหน่งเดิมชั่วคราว “ฉันจะบอกนายฟรีๆ ไม่ได้ นายต้องให้หลักประกันกับฉันก่อน”
“อยากแลกชีวิต? ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นความสามารถส่วนตัวของนาย ที่คนอื่นเรียนรู้ไม่ได้หรือเปล่า?” หลิงม่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เฉินเล่อนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างสุดแรง “เมื่อกี้ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรอ? ฉันเป็นแค่คนสั่งการหมายเลข 1 นี่ไม่ใช่ความสามารถพิเศษที่เป็นของใครคนใดคนหนึ่งนะ!”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องพิสูจน์” หลิงม่อยังคงพูดอย่างเรียบเฉย
เฉินเล่อความคิดขัดแย้งกันขึ้นมาทันที ที่หลิงม่อพูดมาก็ไม่ผิด ถึงแม้เขาจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีความสามารถพิเศษที่สามารถควบคุมซอมบี้ได้ แต่เขาก็ไม่มีทางคาดเดาความคิดของหลิงม่อได้เหมือนกันนี่! แถมดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ นี่คือทางเดียวที่จะทำให้เขามีชีวิตรอดแล้ว
“ก็ได้…” เฉินเล่อกัดฟัน “นี่ไม่ใช่ความสามารถเฉพาะบุคคลจริงๆ…พวกนายเองก็รู้แล้ว ว่านี่ไม่ใช่ซอมบี้ธรรมดา เมื่อก่อนพวกมันล้วนเป็นมนุษย์ และขั้นตอนการกลายพันธุ์ของพวกมันก็เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก ไม่เหมือนซอมบี้ทั่วไป ในระหว่างนั้น ก็แค่ต้องฝึกมันเหมือนฝึกสัตว์ป่าเท่านั้น…”
“แล้วเสียงผิวปากของนายนั่น เป็นคำสั่งที่ทำให้มันค่อยๆ คุ้นเคยในระหว่างฝึกอย่างนั้นหรอ?” หลิงม่อตัดบทเขา ด้วยการถามแทรก
เฉินเล่อพยักหน้าช้าๆ “ถูกต้อง”
“ขั้นตอนการฝึกคงไม่ง่ายสินะ?” หลิงม่อถามอีกครั้ง
สีหน้าของเฉินเล่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าท่ามกลางสายตากดดันของหลิงม่อเขากลับต้องพยักหน้าตอบอย่างจำใจ “ใช่…”
“ฉันก็คิดอย่างนั้น” หลิงม่อพูดเสียงเย็น
ไม่ว่าจะเป็นการทุบตีหรืออะไรก็ตาม ระหว่างที่หมายเลข 1 ค่อยๆ กลายพันธุ์เป็นซอมบี้ ต้องได้รับการทรมานอย่างถึงที่สุดมาแล้วแน่นอน
“ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่ความสามารถเฉพาะบุคคล อย่างน้อยก็ต้องมีฝีมือในระดับหนึ่ง อีกอย่าง หมายเลขหนึ่งก็ได้ถูกฝึกฝนมาแล้ว…”
หลิงม่อเพิ่งจะพูดจบ ก็พบว่าสายตาของเฉินเล่อเลื่อนออกไปอีกด้านหนึ่ง
เขามองตามสายตาของเฉินเล่อ แล้วก็พบว่าเจ้าหนูคนนี้กำลังจ้องสวี่ซูหาน
มู่เฉินเองก็มองตามไปเช่นกัน หลังนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็ระเบิดโทสะออกมา “แกหมายความว่ายังไง! คิดจะบอกให้หลิงม่อทำให้สวี่ซูหานกลายเป็นหมายเลข 1 อีกตัวงั้นหรอ?!”
เฉินเล่อไม่พูดอะไร มู่เฉินรีบหันไปมองหลิงม่อ “อย่าเชียวนะ…นายทำอย่างนั้นไม่ได้…”
“ฉึก!”
หยาดเลือดจำนวนหนึ่งกระเซ็นใส่หน้ามู่เฉิน เขาปิดตาตามจิตใต้สำนึกทันที
และเมื่อเขาลืมตาอีกครั้ง ก็มองเห็นเฉินเล่อกำลังตัวอ่อนล้มลงไปพอดี เฉินเล่อยังคงเบิกตากว้าง ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าหลิงม่อจะลงมือทั้งอย่างนี้
มู่เฉินเองก็อึ้งไปเช่นกัน เขามองเฉินเล่อ แล้วเบิกตากว้างหันมามองหลิงม่อ จนลืมเช็ดเลือดบนหน้าตัวเอง
“ฉันนึกว่านายจะ…”
“นึกว่าอะไร?” หลิงม่อนั่งลงไปค้นศพเฉินเล่อ ปากก็พูดไปว่า “การฝึกฝนที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องอย่างนี้ ฉันจะสนใจได้อย่างไร? คำพูดของเขามีแต่ช่องโหว่เต็มไปหมด เห็นชัดว่ามีเรื่องอีกมากมายที่เขาไม่ได้พูดออกมา อีกอย่างไม่รู้ว่านายสังเกตเห็นไหม นอกจากตอนที่สู้กันแล้ว เขากับหมายเลข 1 มักจะรักษาระยะห่างกันไว้เสมอ แล้วนายคิดว่าทำไมนิพพานถึงเลือกเขา? ก็เพราะความสามารถพิเศษอย่างนี้ของเขาไม่ใช่หรอ?”
“หา?” มู่เฉินมึนตึ๊บ
“ไม่เข้าใจหรอ? ความสามารถพิเศษอย่างนี้ของเขา ไม่ใช่ประเภทภาพลวงตาอะไร แล้วก็ไม่ใช่เงาลวงด้วย ตั้งแต่แรกที่เราเห็นคือร่างจริงของเขาทั้งนั้น ฉันคิดว่าที่เขาสามารถหายตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเราได้ อาจเป็นเพราะมองเห็นได้รับผลกระทบบางอย่าง อย่างเช่นการบิดเบือนการมองเห็น ทว่ามีหมายเลข 1 อยู่ พวกเราจะหลับตาก็ไม่ได้ ดังนั้นความเป็นไปได้นี้จึงหมดโอกาสพิสูจน์ แต่ทั้งหมดก็น่าจะเป็นอย่างนี้ไม่ผิดแน่…สรุปคือ การมีความสามารถพิเศษอย่างนี้ คือหลักประกันว่าเขาจะไม่ถูกหมายเลข 1 ฆ่าเสียเอง”
หลิงม่อล้วงของออกจากศพ พลางวิเคราะห์ไปด้วย “วิธีที่เขาพูดก็ไม่ครบถ้วน แต่หลักๆ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ ปลูกฝังคำสั่งบางอย่างให้พวกมันในระหว่างที่สติรู้คิดของพวกมันกำลังค่อยๆ ถดถอย น่าจะเป็นวิธีที่ทำได้จริงๆ อีกอย่างกรณีอย่างหมายเลข 1 ที่กลายพันธุ์มาด้วยวิธีอย่างนั้น สภาพดวงจิตก็แตกต่างจากซอมบี้ทั่วไปโดยสิ้นเชิง แต่ถึงแม้ว่าพวกมันจะสามารถสร้างการตอบสนองกับผู้สั่งการได้ แต่เดาว่าอาจไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้ 100%…”
“ดูออกมากขนาดนี้เลยหรอ…” มู่เฉินได้ยินก็ปากอ้าตาค้าง หลิงม่อเหมือนนักเชี่ยวชาญด้านซอมบี้อย่างไรอย่างนั้น!
“เดี๋ยวก่อน ที่นายพูดเมื่อกี้…ถ้าหาก…วิธีนี้ไม่มีข้อบกพร่อง นายก็อาจจะสนใจงั้นหรอ?!” จู่ๆ มู่เฉินก็ถามขึ้นอย่างตกตะลึง
หลิงม่องเยหน้ามองเขา จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปคลำหาของบนศพต่อไป ในใจเขามีคำพูดหนึ่งที่ไม่ได้พูดออกมา เขามีความสามารถในการควบคุมหุ่นซอมบี้ จะสนใจวิธีการฝึกฝนอย่างนี้ไปทำไม? สำหรับเขา นี่เป็นเพียงอารมณ์ “อยากรู้อยากเห็น” อย่างหนึ่งเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ อาจเป็นเพราะรู้สึกได้ถึงอันตรายรางๆ…
ถ้าหากมีการควบคุมซอมบี้ด้วยวิธีการอื่น พวกซอมบี้จะถูกหมายหัวหรือไม่?
“เฮ้ย ทำไมไม่ตอบล่ะ!”
“หาเจอแล้ว” หลิงม่อเจอมือถือเครื่องหนึ่งอยู่ในกระเป๋าด้านในของเสื้อนอกเฉินเล่อ แล้วบอกว่า “ในนี้น่าจะมีแผนที่ไปสำนักงานใหญ่นะ”
“เอ๋ นายรู้ได้ไง?” มู่เฉินถาม
“เขาเป็นแค่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ จะจำทางได้เก่งกว่าฉันได้อย่างไร?” หลิงม่อบอก
“…ทำเป็นพูดมีหลักการ ที่แท้จะบอกว่านายเป็นคนหลงทิศสินะ!” มู่เฉินกลอกตามองบนแล้วพูด
ทว่านอกเหนือจากนี้ หลิงม่อก็ไม่เจอสิ่งของมีค่าอะไรอย่างอื่นอีกเลย
“ชิ ไม่มีไดอารี่อะไรเลย” หลิงม่อพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทุกคนต้องเขียนไดอารี่หรือไง?” มู่เฉินอารมณ์เสีย
หลิงม่อเหลือบมองเขาด้วยหางตาราวกับเขาช่างโง่เขลา “ตรรกะอะไรของนาย? เพราะเขาเป็นโรคจิตต่างหากเล่า”
“…” มู่เฉินถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “นายจะไปที่สำนักงานใหญ่นิพพานของพวกเรา…ไม่สิ นายอยากไปที่สำนักงานใหญ่นิพพานหรอ?”
“อื่ม” หลิงม่อพยักหน้า
“เพื่อสวี่ซูหาน?” มู่เฉินถามอีกครั้ง
“ก็ส่วนหนึ่ง” หลิงม่อบอก
ถึงแม้วิธีการฝึกฝนอย่างนี้จะไม่อยู่ในสายตาของหลิงม่อ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สาบใจอยู่เล็กน้อย
“ไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยว่านายก็เป็นคนดีเหมือนกัน…” มู่เฉินอดพูดขึ้นไม่ได้
หลิงม่อเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ แล้วบอกว่า “อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไป ฉันยังมีเรื่องที่ไม่ได้พูดอีก…แต่ว่า เรื่องค่าตอบแทนเดี๋ยวเราค่อยคุยกันอีกที”
“ฉันว่าแล้วเชียว แต่ทำไมฉันต้องเป็นคนจ่ายค่าตอบแทนด้วย!”
“ก็พวกนายเป็นเพื่อนกันนี่ ใช่สิ เมื่อกี้จากที่เฉินเล่อพูด ยังมีคนอื่นตามหลังมาอีก พวกเราไปซ่อนตัวอยู่แถวนี้ หาสถานที่จัดการเรื่องสวี่ซูหานก่อน” หลิงม่อพูด พลางยื่นมือไปประคองสวี่ซูหานให้ลุกขึ้น
ทุกคนมองซ้ายมองขวา ซย่าน่าชี้ไปทางอาคารที่อยู่อีกฝั่งของถนน แล้วบอกว่า “ตรงนั้นแล้วกัน ไฟไม่น่าจะลามไปถึง”
“ไป!”
หลิงม่อประคองสวี่ซูหานเดินนำข้างหน้า เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินลากขาทั้งสองข้างของหมายเลข 1 เดินตามอยู่ข้างหลัง
มู่เฉินอ้าปากพะงาบอยากจะถามหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ข่มไว้
คนคนนี้มักจะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของซอมบี้อยู่เสมอ เขาเองก็ไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้…
และ ณ วินาทีนี้ จิตใจของมู่เฉินก็กำลังสับสนและยุ่งเหยิงมาก
ไม่ว่าเขาจะอยากหรือไม่อยาก ตอนนี้เขาก็ได้ออกจากกลุ่มนิพพานแล้ว ชั่ววูบหนึ่ง ใจเขาทั้งรู้สึกสูญเสีย แต่ก็รู้สึกเหมือนหลุดพ้นในขณะเดียวกัน
หนทางจ้างหน้า…เขาควรจะเลือกเดินอย่างไรดี?
………..
“แฮ่ก! แฮ่ก!”
ในตรอกเล็กๆ เส้นหนึ่ง เงาร่างของใครบางคนกำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากหันกลับไปมองแสงเพลิงที่ถูกทิ้งห่างไว้เบื้องหลัง ซย่าจื้อก็มีสีหน้าที่คลายใจลงมาก
เวลาประมาณนี้ เดาว่าคนของแผนกย่อยคงจะตามมากันแล้ว…
ทุกแผนการล้วนมีช่องโหว่ แต่ไม่ว่าจะเกิดข้อผิดพลาดประการใด ในสถานการณ์อย่างนี้พวกนั้นไม่มีทางรอดไปได้แน่นอน
ทว่า ซย่าจื้อมักจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่
คงเป็นเพราะตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย…ถึงแม้เขาจะวางแผนและเตรียมทุกอย่างไว้อย่างดี แถมเรื่องก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่พอไม่ได้เห็นพวกนั้นตายไปอย่างทรมานทีละคนๆ ซย่าจื้อก็ไม่อาจรู้สึกวางใจได้
“ไม่ได้ จะกลับไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้” ซย่าจื้อครุ่นคิด แล้วรีบล้มเลิกความคิดเมื่อกี้ทันที
เขาต้องยืนยันว่าเรื่องดำเนินไปตามแผนการของเขา ทำอย่างนั้นจึงจะสามารถพิสูจน์ชัยชนะของเขาได้
อีกอย่าง พอนึกว่าจะได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ของพวกนั้น เขาก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ
ถูกคนที่ด้อยค่าจนไม่อยู่ในสายตาจูงจมูก แล้วค่อยๆ ก้าวสู่ความตายทีละก้าวๆ คงจะรู้สึกเคียดแค้น และทรมานมากสินะ?
เหมือนถูกเงาร่างของตัวเองเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้า เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความหวาดกลัวจากการถูกเหยียบย่ำ
ก้อนหินขวางทางอย่างมู่เฉินย่อมทำให้ซย่าจื้อเกลียดชัง ท่าทางของหลิงม่อที่ทำเหมือนตัวเองกุมชะตาชีวิตพวกเขาไว้ในกำมือ ก็ทำให้ซย่าจื้อชิงชังเช่นกัน
ทว่า ความรู้สึกที่ทำให้พวกนั้นคิดว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของตัวเอง พอถึงตอนสุดท้ายค่อยมารู้ตัวว่าตัวเองเป็นเพียงหมากและเครื่องมือในสายตาคนอื่นอย่างนี้แหละ ถึงจะทำให้ซย่าจื้อสะใจ และรู้สึกดีเป็นพิเศษ
“ไปหาคนของแผนกย่อยแล้วกัน…”
ซย่าจื้อมองไปทางเปลวเพลิงนั้น เขาหัวเราะเย็นชา แล้วเบนสายตาไปมองยังตรอกอีกเส้นหนึ่งทันที
แค่เฝ้าเส้นทางที่คนของแผนกย่อยจะต้องผ่านแน่ๆ ไว้ก็พอ เพราะถึงอย่างไรสถานการณ์ตอนนี้เขาก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ สิ่งที่เขาต้องทำก็แค่เร่งให้พวกนั้นตายเร็วขึ้นเท่านั้นเอง
“แกร๊ก”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งพลันดังมาจากข้างหลัง ซย่าจื้อนิ่งงัน แล้วรีบหันกลับไปมองทันที
ไม่มีใครเลย
ในตรอกเล็กๆ อันมืดมิดแห่งนี้ยังคงเงียบสงัด มีเพียงต้นหญ้าบนกำแพงพวกนั้นที่ไหวไปตามสายลมไม่หยุด เหมือนเงาร่างของคนมากมายกำลังคอยจับตามองผู้คนที่เดินผ่านตรอกเล็กๆ แห่งนี้อยู่
“หูฝาดหรอ? อาจเป็นของบางอย่างทางนั้นถูกเผาไหม้จนระเบิดล่ะมั้ง?”
ซย่าจื้อจ้องมองตรอกมืดๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ หันหลังกลับมา
“แคร่ก!”
เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งดังมาจากบริเวณรอบข้างอีกครั้ง
—————————————————————————–