แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 636 มา แปะมือฉลองความตายของนายกันหน่อย
“ใครน่ะ!”
ซย่าจื้อใจกระตุกวูบ เขารีบหันหน้ากลับไปมองทันที
แต่ด้านหลังยังคงว่างเปล่า ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ทันใดนั้น ลมยามกลางคืนระลอกหนึ่งพัดผ่านไป หญ้าบนกำแพงเองก็ไหวแรงตามไปด้วย ชั่วพริบตาราวกับว่ามีเงาร่างมากมายกำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในตรอกเล็กๆ แห่งนี้
ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างผุดขึ้นมาในใจซย่าจื้อ ทว่าไม่นานเขาก็ส่ายหน้าแรงๆ
เป็นไปไม่ได้ที่จะหูฝาดติดกันถึงสองครั้ง และเสียงที่ได้ยินก็ไม่ได้ดังมาจากสถานที่เกิดไฟไหม้ตรงนั้นด้วย
บริเวณนี้ ต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่นอน…
หรือว่าพวกนั้นตามมาแล้ว? เป็นไปไม่ได้…นอกเสียจากว่าพวกนั้นจะมีวิชาแยกร่าง
ถ้าอย่างนั้นก็…ซอมบี้? ก็ไม่น่าใช่อีก ถ้าหากซอมบี้จะลอบโจมตี ก็คงจะไม่ส่งเสียงอย่างนี้ให้รู้ตัวก่อนแน่
“ออกมานะ!”
ซย่าจื้อกดเสียงต่ำแล้วตะโกนออกไป แต่กลับไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมา
เขาเม้มปากแน่น กลอกลูกตามองซ้ายมองขวา
“คิดจะเล่นลูกไม้นี้กับฉัน…”
ประกายความชั่วร้ายแล่นผ่านในแววตาซย่าจื้อ เขาค่อยๆ ยกปืนขึ้น จากนั้นก็เดินไปประชิดตัวกับกำแพงช้าๆ
ซอยก็กว้างแค่นี้ อีกอย่างด้านหน้าและด้านหลังก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าใครที่เป็นคนส่งเสียง จุดที่จะสามารถซ่อนตัวได้ก็มีแค่ด้านหลังกำแพงเท่านั้น
และเขาก็แค่ต้องประชิดตัวติดกับกำแพงอย่างนี้ ทีนี้หากอีกฝ่ายต้องการจะโจมตีเขา ก็จำเป็นต้องเผยตัวก่อนถึงจะทำได้
ทันทีที่คนคนนี้ปรากฏตัว เขาก็จะลั่นไกออกไปอย่าไม่ลังเลซักนิด
“เป้าหมายโมตีหายไป ยังไงก็ต้องโผล่หัวออกมาอยู่ดี” ซย่าจื้อกลั้นหายใจ แล้วรออย่างใจเย็น
ทว่าเขากลับไม่สังเกตเห็นเลยว่า ภายใต้แสงจันทร์ เงายาวๆ เส้นหนึ่งพลันยื่นออกมาจากเงาร่างของเขา จากนั้นก็ค่อยๆ เข้าใกล้ “ศีรษะ” ของเขา
“อึกอึก…ช่วย…”
มือทั้งสองข้างของเงาร่างเขาพลันยกขึ้นจับคอตัวเองทันใด ขาทั้งสองข้างก็เริ่มเขย่งและตีกันวุ่นวายไปหมด
และปืนกระบอกนั้นก็ร่วงลงบนพื้น ดัง “แกร๊ก”
ซย่าจื้ออ้าปากกว้าง ดวงตาปูดโปนออกจากเบ้า มือทั้งสองข้างตะกุยที่คอตัวเองสุดกำลัง ขาทั้งคู่ของเขาลอยจากพื้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้
“ช่วย…”
ความหวาดกลัวอย่างสุดซึ้งสะท้อนชัดในดวงตาของเขา ไม่ควรเป็นแบบนี้ เขาจะตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ที่นี่ไม่ได้!
ขณะที่เขากำลังถูกดึงขึ้นไปตามแนวกำแพง ก็มีเงาร่างหนึ่งรากฎตัวขึ้นบนศีรษะของเขา
ซย่าจื้อพยายามกลอกลูกตามองขึ้นไป แต่ปรากฏว่าภาพที่เขาเห็นกลับเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่บนกำแพง
เด็กผู้หญิงคนนั้นดูไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาเลย สีหน้าของเธอยังเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้เสียเต็มประดา
แต่ซย่าจื้อกลับมองเห็นอย่างชัดเจน ว่ามีเส้นไหมสีเงินเส้นหนึ่งยื่นออกมาจากลำคอของเธอ
“ช่วย…ช่วย…”
เขายื่นมือออกมา พยายามกวักมือไปมาอยู่ระหว่างตัวเองกับเธอ เพื่อจะคว้าเส้นไหมที่แทบจะมองไม่เห็นเส้นนั้นให้ได้
“อ้าว นายคือคนคนนั้นเอง ฉันเคยเห็นนายนี่” เด็กผู้หญิงกอดเข้า แล้วจู่ก็ยิ้มหวานพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ช่วย…”
ซย่าจื้อพยายามยื่นมือหาเธออย่างสุดชีวิต และตะโกนร้องขอความช่วยเหลืออย่างยากลำบาก
เขาไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้โผล่มาจากไหน แต่เขาจะมาตายอยู่ที่นี่เพราะเด็กผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าได้อย่างไร!
ไม่ยอม! เขาไม่ยอมเด็ดขาด!
“อา ใช่สิ” เด็กผู้หญิงมองไปที่มือของซย่าจื้อ แล้วเอียงคอพูดว่า “หลิงม่อเป็นคนส่งฉันมาล่ะ”
“อึกอึกอึก…” ดวงตาของซย่าจื้อเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม หลิงม่อ?!
“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่เอาเป็นว่าเขาบอกให้ฉันมาจัดการนายซะ เป็นไงล่ะ นายว่าวิธีจัดการของฉันเข้าท่าไหมล่ะ?” เด็กสาวถามอย่างหน้าชื่นตาบาน
“ช่วย…”
ซย่าจื้อพยายามยื่นมือออกไปสุดแขน ดวงตาทั้งคู่ปูดโปน
เด็กผู้หญิงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ร้อง “อ๋อ” ออกมาอย่างนึกขึ้นได้ เธอยื่นมือเล็กๆ ของตัวเองออกไป
เธอทำท่าครุ่นคิดอีกครั้ง แล้วก็ดึงแขนเสื้อตัวเองลงมาคลุมถึงฝ่ามือ แล้วค่อยๆ ยื่นออกไปอีกครั้ง
“ป๊าบ” เด็กสาวแปะมือกับเขาเสียงดัง…
และหลังจากที่มองดูเด็กผู้หญิงลดมือลงพร้อมดวงหน้าเปื้อนยิ้ม มือของซย่าจื้อกลับยังคงค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ
ในดวงตาที่กำลังเบิกกว้างของเขา เต็มไปด้วยความอัปยศและคับข้องใจ แต่กลับค่อยๆ สูญสิ้นพลังแห่งชีวิตไปอย่างช้าๆ…
ร่างกายที่ตึงเกร็งของซย่าจื้อค่อยๆ อ่อนแรงลง เด็กสาวเห็นอย่างนั้นก็สะบัดมือสองสามที แล้วลุกขึ้นยืน
“โครม!”
ศพของซย่าจื้อร่วงลงกับพื้น ส่วนเด็กสาวก็กระโดดไปยังอีกฝั่งหนึ่งของกำแพง และทิ้งตัวลงบนร่างหมีแพนด้ากลายพันธุ์ขนาดใหญ่ได้อย่างพอดี
“ไปกันเถอะเสี่ยวป๋าย ต้องขอบคุณแกและเฮยซือแท้ๆ ที่ทำให้พวกเราไม่คลาดกับหมอนั่น เอ่อ ใช่สิ พวกแกเห็นหรือเปล่า มนุษย์คนนี้พอใจกับวิธีจัดการของฉันมากเลยล่ะ! ฮิฮิ…” ไม่นานเสียงใสๆ ของเด็กผู้หญิง ก็ลอยละล่องไปตามสายลมจนหายไปในที่สุด
………..
“ฮะฮะ…”
ขณะเดียวกับที่วางร่างสวี่ซูหานลง จู่ๆ หลิงม่อก็เงยหน้าขึ้น แล้วทำสีหน้าครุ่นคิด
“มีอะไรหรอ?” มู่เฉินถามอย่างอ่อนไหว
“คือว่า…” หลิงม่อหันกลับไปมองมู่เฉิน แล้วบอกว่า “นายจะไม่ได้เห็นหน้าซย่าจื้ออีกต่อไปแล้วล่ะ”
“อะไรนะ?” มู่เฉินเบิกตากว้าง
เขานิ่งงันไปหลายวินาทีเต็มๆ แล้วจึงค่อยได้สติกลับคืนมา “แต่ว่า…”
“ช่วยอะไรหน่อย ออกไปสำรวจสถานการณ์โดยรอบที” หลิงม่อบอก
มู่เฉินยังอ้าปากอยู่อย่างนั้น แต่หลิงม่อกลับโบกมือไล่เขา “รีบไปสิ”
ขณะที่กำลังหันเดินกลับไปทางประตู มู่เฉินยังคงมีสีหน้างงเป็นไก่ตาแตกอยู่อย่างนั้น
ในสมองของเขากำลังตะโกนก้องว่า “เกิดอะไรขึ้น?!” ซ้ำไปซ้ำมา
“พี่หลิง แบบนี้จะไม่เป็นไรหรอ?” ซย่าน่ามองดูแผ่นหลังของมู่เฉินหายไปจากประตู แล้วหันมาถามหลิงม่อ
“ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่มีทางรู้อยู่แล้ว อีกอย่างถึงจะรู้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ” หลิงม่อพูดอย่างไม่สนใจ “มา ช่วยลากโซฟาตัวนั้นมาที”
ซย่าน่ารีบหันไปยื่นมือช่วยเย่เลี่ยนทันที แต่ปากก็ยังพูดต่อว่า “ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ จากไอคิวของมนุษย์คนนั้น ฉันไม่ห่วงเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ฉันหมายถึง ให้อวี๋ซือหรานทำเรื่องอย่างนี้จะดีหรอ?”
หลิงม่อครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “ถึงแม้วัดจากอายุ เธอจะยังเป็นโลลิน้อยอยู่ แต่เธอไม่ใช่มนุษย์ซักหน่อยนี่…”
“หา? พี่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ…ฉันหมายถึงว่า” ซย่าน่าหันมาทางเขา ดวงตาหรี่เล็กลง “เรื่องดีๆ แบบนี้ พี่กลับยกให้เธอเป็นคนทำง่ายๆ อย่างนี้เนี่ยนะ…”
“โอเค…” หลิงม่อกระแอมสองสามครั้ง แล้วบอกว่า “สถานการณ์เมื่อกี้ มีแค่เธอที่จะไปทำเรื่องนั้นได้”
“ไม่ได้อยากจะให้มนุษย์คนนั้นได้รับบทลงโทษที่หนักกว่าหรอกหรอ?” ซย่าน่าถาม
เย่เลี่ยนเงยหน้ามองเขา แล้วเผยสีหน้าอยากรู้ออกมา
“ด้วยนิสัยของอวี๋ซือหราน น่าจะทำให้หมอนั่นโมโหจนตายได้เลย ถึงจะไม่ใช่ แค่เรื่องที่ถูกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าตาย ก็ทำให้เขาคับข้องใจมากพอแล้วมั้ง?” ซย่าน่าวิเคราะห์
หลิงม่อครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ฉันไม่ชอบถูกใครวางแผนปั่นหัว”
“ปั่นหัว…คืออะไร?” จู่ๆ เย่เลี่ยนก็ถาม
“ก็คือ…ประมาณว่าทำเรื่องอะไรบางอย่างลับหลังฉันไงล่ะ” หลิงม่อบอก
“อืม…” เย่เลี่ยนพยักหน้าอย่างมึนๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตา
เธอยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองอย่างลังเลเล็กน้อย แล้วซุกมือตัวเองเข้าไปในกระเป๋า
“เธอทำอะไรน่ะ?” จู่ๆ หลี่ย่าหลินก็ยื่นหน้าออกมาจากด้านหลังเธอ
“อ๊ะ…” เย่เลี่ยนรีบดึงมือออกมา เธอเบิกตากว้าง แล้วส่ายหน้าแรงๆ “เปล่า…
“มา หลิงม่อบอกให้พวกเราลากเจ้านี่ไปด้วย” หลี่ย่าหลินชี้นิ้วไปทางหมายเลข 1 ที่อยู่ข้างหลัง
หลิงม่อวางสวี่ซูหานลงบนโซฟาอย่างระมัดระวัง หลังจากมองเธออยู่ครูหนึ่ง เขาก็ยื่นมือออกไปดันศีรษะของเธอให้หันไปอีกทาง
รูแผลบนลำคอมีทั้งหมดห้ารู สี่ในห้าอยู่ฝั่งเดียวกัน เลือดยังคงไหลอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้รอบปากแผลก็เริ่มดำขึ้นแล้ว
“เริ่มแล้วสินะ…” หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด
เชื้อไวรัสอันแข็งแกร่งจะทำให้มนุษย์รับรู้รสชาติของเนื้อกายที่เน่าทั้งเป็นได้อย่างชัดเจน และความรู้สึกอย่างนี้ ก็ทรมานยิ่งกว่าตายหลายเท่านัก
ถ้าหากเธอแค่ติดเชื้อธรรมดา เรื่องก็คงจะง่ายกว่านี้หน่อย…
ถึงแม้เธอจะไม่อยากกลายเป็นซอมบี้มากแค่ไหน แต่ต้องมีซักวันที่เธอจะได้ความจำกลับคืนมา ถึงแม้การได้ความจำกลับคืนมา จะไม่ได้แปลว่าได้ความรู้สึกกลับคืนมาก็ตาม…
“แต่ถ้าเธอกลายพันธุ์ แล้วเราจะพาเธอไปด้วยหรอ?” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วรีบสะบัดหัวแรงๆ เพื่อเรียกสติให้กลับมาจดจ่อกับเรื่องตรงหน้าก่อน
“ตอนนี้เธอติดเชื้อไวรัสจากหายเลข 1 และเชื้อไวรัสชนิดนี้ก็ได้ผ่านการวิวัฒนาการอีกหนึ่งครั้งตอนที่อยู่ในร่างกายของมัน มันได้แตกต่างออกไปจากเชื้อไวรัสจากร่างแม่แล้ว แต่รากสาเหตุน่าจะเหมือนกัน” หลิงม่อครุ่นคิด “ในร่างกายของเธอก็มีเชื้อไวรัสที่เป็นของตัวเธอเองอยู่…ทว่าตอนนี้เห็นชัดว่าเชื้อไวรัวของหมายเลข 1 ได้ควบคุมร่างกายภายในของเธอไว้หมดแล้ว”
การยับยั้งเชื้อไวรัส อาจมีวิธีเดียวคือให้สวี่ซูหานหลีกเลี่ยงการเน่าเปื่อยเท่านั้น
ความจริงในสมองหลิงม่อมีความคิดที่ไม่ค่อยเข้าท่านัก แต่หากไม่ลองวิธีนี้ ก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว
“สวี่ซูหาน เธอได้ยินใช่ไหม นี่ ตื่นเร็ว”
หลิงม่อนั่งลงข้างๆ สวี่ซูหาน แล้วตะโกนเรียกอยู่ข้างหูเธอ
“ฉันเอง ฉันหลิงม่อ” เขาตะโกนหลายครั้งติดต่อกัน แต่สวี่ซูหานก็ยังคงเหม่อมองท้องฟ้าอยู่อย่างเดิม
“เธอสิ้นหวังมาก” ซย่าน่าพูดแทรกขึ้น
แต่พอหลิงม่อหันไปมองเธอ เด็กสาวผมยาวดำขลับก็เดินไปอีกทาง เพื่อเตรียมสิ่งของอย่างอื่นแล้ว
“เธอฟังอยู่ไหม? ฟังให้ดีนะ ฉันอยากช่วยเธอ ถ้าเธอตกลง ก็พูดอะไรหน่อย” หลิงม่อบอก
ครั้งนี้ในที่สุดสวี่ซูหานก็มีปฏิกิริยาตอบสนองบ้างแล้ว เธอกลอกตาไปมาเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ หันมามองหลิงม่อ “นายว่าอะไรนะ?”
“ฉันบอกว่า ฉันมีวิธีหนึ่ง ที่อาจจะช่วยเธอได้ แต่มีมันความเสี่ยงอยู่” หลิงม่อบอก
สวี่ซูหานจ้องหลิงม่อ เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
และตอนนี้หลิงม่อก็สังเกตเห็น ว่าดวงตาของเธอเริ่มแดงขึ้นแล้ว
ตามคาด เธอติดเชื้อแล้วจริงๆ…
“มันจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกล่ะ…” สวี่ซูหานพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น…ขอบคุณนายล่วงหน้าแล้วกัน”
“ขอบคุณกันเร็วเกินไปแล้ว” หลิงม่อพูด
“ไม่แน่อีกเดี๋ยวอาจไม่มีโอกาสได้พูดแล้ว” สวี่ซูหานมองหลิงม่อ แล้วฝืนฉีกยิ้มออกมา
แวบหนึ่ง หลิงม่อรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาอดหันไปมองที่ซย่าน่าไม่ได้
ซย่าน่าในตอนนั้น ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันสินะ?
เพียงแต่ว่านิสัยของเธอและสวี่ซูหานแตกต่างกัน สวี่ซูหานนั้นนั่งรอคำพิพากษาชีวิตอย่างสิ้นหวัง แต่ซย่าน่ากลับลุกขึ้นต่อต้านโชคชะตาด้วยตัวเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไร เด็กสาวที่ต้องการฆ่าตัวตายก่อนที่จะกลายพันธุ์ในตอนนั้น กับผู้หญิงที่สิ้นหวังในตอนนี้ ต่างก็ประสบกับเรื่องราวเดียวกันอยู่…
“บอกไว้ก่อนนะ ว่าฉันคิดค่าบริการ” หลิงม่อพูดเสียงเบา
สวี่ซูหานหลับตา อดกระดกมุมปากขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ “อื้ม”
หลิงม่อหันกลับไปมองเย่เลี่ยนและหลี่ย่าหลิน แล้วก้มหน้ามองหมายเลข 1 “งัดปากมันออก”
“ฉึบ!”
หลี่ย่าหลินล้วงไขควงออกมาหนึ่งด้าม จากนั้นก็นั่งลงไป
หลิงม่อกระพริบตาปริบๆ “ที่บอกให้งัดไม่ได้หมายถึงงัดอย่างนั้น…ช่างเถอะ ทำต่อไปเถอะ”
—————————————————————————–