แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 639 ไม่เข้าใจความคิดของเขาเลย!
ถูกหลอกแล้ว…
สมาชิกคนนี้ใจหายวาบทันที เขากำลังจะหันหลังกลับ แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกเย็นๆ ที่คอขึ้นมา ร่างกายของเขาตึงเกร็งไปทั้งตัว
เสียงหอบหายใจค่อนข้างถี่ดังมาจากด้านหลัง “อย่าขยับ ทิ้งของในมือซะ”
สมาชิกคนนี้พยายามกลอกตามองไปข้างหลัง เขาค่อยๆ กระชับท่อนเหล็กแน่น แต่อาการเจ็บจี๊ดตรงลำคอ กลับกำลังเร่งเร้าเขาอย่างไร้เสียง
“รีบทิ้งของซะ” เสียงนั้นเร่ง
“เคร้ง!”
ท่อนเหล็กหลุดออกจากมือ ร่วงลงข้างเท้าเขา
“ถอยหลัง” คนที่อยู่ด้านหลังรีบลากเขาถอยหลัง
“อย่าคิดจะเล่นลูกไม้ล่ะ จางเหล่าเอ้อ นายจำเสียงฉันไม่ได้หรอ?” เสียงพูดนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
ความสิ้นหวังในดวงตาของจางเหล่าเอ้อพลันแปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึงเข้ามาแทนที่ เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วตะโกนลั่น คุณ…หัวหน้ามู่?!”
“ยังอุตส่าห์เรียกฉันว่าหัวหน้ามู่อยู่นะ” มู่เฉินยังคงประชิดตัวติดจางเหล่าเอ้อ โดยไม่มีทีท่าว่าจะออมมือซักนิด “แต่นายน่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าอาจจะเจอฉัน อย่าบอกนะว่าอ้ายเฟิงไม่ได้บอกถึงความเป็นไปได้นี้ให้พวกนายรู้ ผู้รอดชีวิตทั่วไปมีมีทางว่างมากจนเพี้ยนวิ่งมาถึงเมืองตงหมิงหรอก แค่วิเคราะห์นิดหน่อย ก็คงไม่ยากที่จะโยงเรื่องราวทั้งหมด ใช่ไหมล่ะ?”
“เปล่านะ พวกผมนึกว่าพวกคุณตายหมดแล้ว…” เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผากของจางเหล่าเอ้อ สะท้อนกับแสงสลัวเป็นกระกายน้อยๆ
“อ้อ คิดจะโกหกฉัน? เชี่ย พวกนายคิดว่าฉันโง่มากสินะ? จะยอกให้ เจ้านั่นพูดถูกจริงๆ ถ้าพวกนายใส่ใจความเป็นความตายของพวกเราซักนิด อย่างน้อยก็น่าจะลองพูดคุยหรือเจรจาดูก่อน เพื่อยืนยันตัวตนของเป้าหมาย และยืนยันว่าพวกฉันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่!” มู่เฉินคำรามเสียงต่ำ
จางเหล่าเอ้อเหงื่อท่วมศีรษะ เขาทำได้เพียงแก้ตัวด้วยสีหน้าซีดเผือด “ผมแค่ทำตามคำสั่ง เรื่องที่คุณพูดผมไม่รู้เรื่องด้วยนะ…”
มู่เฉินยื่นมืออกมาข้างหนึ่ง ล้วงหาสิ่งของในกระเป๋าของจางเหล่าเอ้อ “ตอนนี้ฉันกลับคิดว่าที่ซย่าจื้อทำไปเพราะรู้ก่อนแล้วว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เขาทำอย่างนั้นทั้งสามารถรักษาชีวิตไว้ได้แถมยังได้ผลงานอีก…แต่ว่านะ ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนที่ตายเร็วที่สุดในกลุ่มพวกฉันซะแล้ว”
“หมายความว่าไง?” จางเหล่าเอ้อไม่กล้าดิ้นขัดขืน ทำได้เพียงมองมู่เฉินค้นอาวุธชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมาจากจุดต่างๆ ตามร่างกายตัวเอง แล้วโยนเข้าไปในมุมกำแพง
“ไม่มีอะไร เรื่องนี้มีตัวแปรมากเกินไป ที่เรื่องจะออกมาเป็นอย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ จางเหล่าเอ้อ ฉันรู้ว่าเมื่อกี้ถึงแม้ไม่ใช่หุ่นพลาสติก แต่เป็นตัวฉันจริงๆ นายก็จะยังลงมืออย่างไม่ปราณีเหมือนกัน ดังนั้นตอนนี้ก็อย่าหวังว่าฉันจะใจอ่อน”
มู่เฉินกัดฟันกรอดพลางดึงมีดเล่มเล็กออกมาจากบริเวณหลังเอวจางเหล่าเอ้อ แล้วถามเสียงเย็น “บอกมา คำสั่งคืออะไร? อ้ายเฟิงพาคนมาเท่าไหร่ มีแผนการอะไร?”
จางเหล่าเอ้อพูดขึ้นด้วยสีหน้าย่ำแย่ “ถ้าผมบอก จะต้องตายอย่างน่าอนาถแน่ๆ หัวหน้ามู่…”
“ไม่บอก? งั้นก็ตายซะตอนนี้เลย” มู่เฉินออกแรงที่มือเพิ่มอีกเล็กน้อย
ความรู้สึกที่คมมีดกำลังจิ้มผิวหนังตัวเองอยู่ และเหมือนเส้นเลือดอาจถูกตัดขาได้ทุกเมื่อ ทำให้จางเหล่าเอ้อหวาดกลัวจนต้องหลับตาปี๋
“บอกแล้วๆ…” เขาลดเสียงให้เบาลง แล้วพูดว่า “ข้างในนี้นอกจากกลุ่มของพวกผมที่เพิ่งเข้ามาเมื่อกี้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ล้วนเป็นเป้าหมายทั้งนั้น หากจับเป็นได้จะดีที่สุด ถ้าไม่ได้…ก็ฆ่าให้หมด”
“นี่คือคำสั่ง? แล้วที่เหลือล่ะ?” มู่เฉินจี้ถาม
“พวกเรามากันไม่เยอะ สิบกว่าคน ส่วนแผนการ คือให้ดักทางเข้าออกทุกทางไว้ ผมเดาว่าน่าจะมีคนมาเพิ่มอีก หัวหน้ามู่ ถ้าคุณช่วยพวกเราจับคนอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นผลงานเหมือนกันนะ! ถึงเจ้าหนูจากสำนักงานใหญ่นั่นจะตายแล้ว แต่ขอแค่คุณไม่ได้เป็นคนฆ่า…” จางเหล่าเอ้อพูดอย่างร้อนรน
“ฉันก็อยากฆ่ามันอยู่หรอก…” มู่เฉินหันเราะเย็นชา แล้วทันใดนั้นเขาก็ถีบข้อพับเข่าจางเหล่าเอ้ออย่างแรง
จางเหล่าเอ้อครางเจ็บปวดทันที เขาลงไปนั่งคุกเข่าอย่างควบคุมไม่ได้
“หัวหน้ามู่! อย่าวู่วามนะ! ที่นี่เป็นเมืองตงหมิง คุณจะทำอย่างนี้ไม่ได้…โอ๊ยย!” จางเหล่าเอ้อโดนเตะเข้าที่แผ่นหลังอย่างแรงอีกครั้ง เสียงของเขาเบาลงมากทันที “หัวหน้ามู่ อย่าทำอย่างนี้ คุณเป็นศัตรูกับนิพพานไปก็ไม่มีอะไรดี ช่วยผม แล้วผมจะมอบความดีความชอบให้คุณทั้งหมด! คุณอยากได้อะไรผมให้หมด เหล้า บุหรี่ ผู้หญิง! ขอแค่มีผลงาน มีประโยชน์กับนิพพาน ใครจะกล้าฆ่าคุณกัน? อย่าบีบให้ตัวเองอับจนหนทาง เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบเลยนะ!”
“ผลงานอะไรนั่น ฟังดูน่าดึงดูดใจนะ” มู่เฉินชะงักไปเล็กน้อย
จางเหล่าเอ้อรู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที เขารีบเกลี้ยกล่อมต่อ “ใช่แล้ว! เรื่องเลวๆ พวกนั้น แค่ใส่ร้ายคนอื่นไปให้มด คุณก็หมดปัญหาแล้ว ตอนนี้ถือเป็นโอกาสดีเลยนะ! หัวหน้ามู่!”
“เป็นโอกาสดีจริงๆ” เสียงของมู่เฉินดังใกล้เข้ามาที่หูของจางเหล่าเอ้ออย่างรวดเร็ว “แต่ว่า…ฉันรังเกียจคนประเภทนั้นเหลือเกิน ฉันเองก็ไม่ควรกลายเป็นคนอย่างนั้นไปด้วยหรือเปล่า?”
“หัวหน้ามู่ คุณอย่าทำอะไรโง่ๆ นะ…”
“ฉันจะบอกอะไรนายให้ เรื่องบางอย่าง คนบางคนก็ทำไม่ได้ แต่ก็มีคนบางคนที่ทำไม่ลง ฉันมู่เฉิน คือเจ้าโง่ที่ทำเรื่องอย่างนั้นไม่ลงไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พอใจไหม?” พูดไป มู่เฉินก็กระชากผมจางเหล่าเอ้อแรงๆ เพื่อให้เขายืดคอเผยลูกกระเดือกออกมาชัดๆ
“อย่า อย่าฆ่าผม…หัวหน้ามู่…” เสียงของจางเหล่าเอ้อเริ่มกระตุกสั่น
ร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ คมมีดในมือมู่เฉินกำลังแนบติดอยู่กับลูกกระเดือกที่กำลังไหลขึ้นลงของเขา ราวกับว่ามันจะเฉือนเข้าไป และเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นศพเย็นชืดได้ทุกเมื่อ
มู่เฉินย่อกายอยู่ข้างหลังเขา กระชากผมของเขาแล้วกัดฟันกรอด
ทันใดนั้น เขายกมีดขึ้น จากนั้นก็เหวี่ยงลงไปอย่างแรง
“พลั่ก”
จางเหล่าเอ้อหลับตาแล้วล้มลงไปกับพื้น แต่ใบมีดของมู่เฉินกลับไม่มีรอยเลือด…
“อย่าฟื้นเร็วนักก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นครั้งหน้า…”
มู่เฉินจ้องจางเหล่าเอ้อครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองมีดที่จมอยู่ในน้ำแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา แล้ววิ่งไปยังทางหนึ่ง
ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาเข้าไปในโกดังเล็กๆ ห้องหนึ่ง
“ฉันเอง” พอเห็นประกายดาบพาดขวางตรงหน้า มู่เฉินก็รีบพูดเสียงเบา
ประกายดาบเลือนหายไปช้าๆ เงร่างของเด็กสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังประตู เธอสอดส่องด้านหลังเขา แล้วบอกว่า “เข้ามา”
“ปิดประตูเลยดีกว่า” มู่เฉินบอก
เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมาจากความมืด “ปิดแล้วจะยิ่งผิดสังเกตไม่ใช่หรอ?”
“ทำอย่างนี้ไม่ต่างอะไรกับกรงดักหนูเลยซักนิด…”มู่เฉินพูด พลางก้าวข้ามตู้วางของเพื่อเดินเข้าไปข้างใน
ในมุมกำแพง หลิงม่อกำลังประคองสวี่ซูหานให้นั่งอยู่นกล่องเก็บของกองหนึ่ง
สวี่วูหานยังคงหอบหายใจแรง ดวงตาของเธอประกายแดงจนน่ากลัวเมื่ออยู่ในความมืด
พอเห็นมู่เฉิน เธอก็เงยหน้าขึ้น และเปล่งเสียงคำรามชวนขนลุกออกมาทันที
ทว่าหลิงม่อดึงคอเสื้อด้านหลังเธอ และลากเธอกลับไปนั่งงอย่างเดิม
สวี่ซูหานดิ้นขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยอมแพ้
“เธอเป็นแบบนี้…ยังไม่กลายเป็นซอมบี้จริงๆ หรอ?” สีหน้าของมู่เฉินเหมือนช็อกมาก
“ถ้าเป็นซอมบี้ไปแล้วจริงๆ ฉันคงเอาไม่อยู่อย่างนี้หรอก อีกอย่าง หลังจากที่เธอคุ้นเคย เธอจะไม่คิดกัดนายอีก หมายถึงชั่วคราวน่ะ…” หลิงม่อบอก
มู่เฉินนิ่งอึ้ง แล้วบอกว่า “ไอ้คำว่าชั่วคราวนี่มันฟังดูเลื่อนลอยจัง!”
“นายได้เรื่องว่ายังไง?” หลิงม่อเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว
“ฉันเจอคนรู้ตักคนหนึ่ง เขาบอกสถานการณ์คร่าวๆ กับฉันแล้ว ฟังดูไม่ค่อยดีเลย เจ้าหนูนั่นกับหนูทดลองตายหมดแล้ว อ้ายเฟิงจะต้องเอาคืนถึงที่สุดแน่ๆ อีกอย่าง เขาไม่สนใจแม้แต่ความเป็นความตายของพวกฉันแล้ว โชคดีที่ซย่าจื้อถูกจัดการไปก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นหากเขารายงานเรื่องของพวกนาย เรื่องคงแย่ แต่พวกเขารู้จักกับพวกเราเป็นอย่างดี…ดังนั้น…
มู่เฉินถอนหายใจ แล้วบอก
“แล้วคนรู้จักของนายคนนั้นล่ะ?” หลิงม่อพยักหน้าอย่างครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้น
มู่เฉินอึ้ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ฉัน…ฉันไม่ได้ฆ่าเขา…”
“ดูเหมือนจะคาดหวังให้นายทำเรื่องผิดบาปไม่ได้แล้วสินะ…” หลิงม่อพูดอย่างนึกเสียดาย
“เมื่อกี้ฉันก็ปฏิเสธไปแล้วนี่!” หลังจากคำราม มู่เฉินก็พูดเสริม “ถ้าหากพวกเขาสั่งการหมายเลข 0 เมื่อไหร่ ถึงฉันจะทำเรื่องผิดบาปไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป พวกเราจะถูกจับอย่างรวดเร็วแน่นอน”
“หมายเลข 0 ร้ายกาจมากหรอ” สายตาหลิงม่อประกายแววแห่งความคาดหวัง
พลังสังเกตการณ์ทางจิตอย่างนี้ แม้แต่เขาก็ยังไม่สามารถใช้พลังคลอบคลุมกับคนจำนวนมากได้ ความจริงแล้ว เขายังต้องการรวบรวมสมาธิไปที่คนหนึ่งคน หลังจากสังเกตครู่หนึ่งจึงจะรู้ว่ามีคลื่นดวงจิตที่ผิดปกติหรือไม่
ฟังแล้ว เหมือนจุดเด่นของหมายเลข 0 คือการสังเกตการณ์และส่งข้อมูล
ส่วนหลิงม่อ ดวงแสงแห่งจิตของเขาในตอนนี้กำลังรู้สึกหิวโหย…
ถึงเจ้าหนูเฉินเล่อที่เป็นคนของนิพพานสำนักงานใหญ่จะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษเหมือนกัน แต่เพื่อไม่เป็นการทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ หลิงม่อจึงไม่ได้บุ่มบ่ามกลืนกินพลังจิตของเขา
เพราะหากใช้พลังกลืนกินในสถานการณ์อย่างนั้น อย่างไรก็ต้องหลบสายตาของมู่เฉินไม่พ้นแน่
ถึงแม้มู่เฉินจะดูไม่ออก แต่ในสมองของเขายังมีเมล็ดพันธ์พลังจิตของหมายเลข 0 ฝังอยู่…
ถึงแม้ตอนนี้มู่เฉินจะอยู่ฝั่งเดียวกับเขา แต่เมล็ดพันธ์เม็ดนั้นก็เหมือนกับระเบิดเวลา ที่มักทำให้หลิงม่อรู้สึกหวาดระแวง
เมล็ดพันธ์พลังจิตนั่นก็เหมือนกับ “ไส้ศึก” ที่อาจตื่นตัวขึ้นมาได้ทุกเมื่อ…
ทว่าตอนนี้พอเห็นมู่เฉินกลับมา อย่างน้อยก็ยืนยันได้แล้วว่าตัวเขาบริสุทธิ์ใจ อีกหน่อยค่อยคิดหาทางกำจัดเมล็ดพันธ์ในสมองของเขาก็พอแล้ว
แต่จะพูดถึงเรื่องนี้ในสถานการณ์อย่างนี้ดูไม่เหมาะสมอย่างเห็นได้ชัด หลิงม่อครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเราก็ไม่ต้องเอาแต่วิ่งหนีแล้ว หากออกไปข้างนอกพวกเขาก็จะรู้ทางดีกว่าพวกเรา แล้วยังมีหมายเลข 0 ที่สะกดรอยตามนาย…พวกเราอยู่ที่นี่แหละ จัดการคนกลุ่มนี้ให้สิ้นซากก่อน!”
“แค่พวกเราไม่กี่คนเนี่ยนะ?” มู่เฉินเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง คนคนนี้กำลังคิดอะไรของเขานะ!
เขาเพิ่งจะพูดไปว่าอีกฝ่ายเตรียมตัวมาพร้อมทุกด้าน แต่สมองของเจ้าหมอนี่กลับคิดจะฆ่าพวกนั้นทั้งหมด…
“นี่ จัดการไปหนึ่งกลุ่ม แรงกดดันของพวกเราก็น้อยลงไปหนึ่งส่วน” หลิงม่อกลับพยักหน้าอย่างจริงจัง แล้วบอกเขาอย่างนี้
“เดี๋ยวก่อน…” จู่ๆ มู่เฉินก็ตระหนักได้ถึงบางเรื่อง “นายคงไม่ได้จะ…ไม่ใช่แล้ว นายไม่ได้คิดจะหนีออกจากเมืองตงหมิงแต่แรกแล้วใช่ไหม? เฮ้ย อย่าหันหน้าหนีเซ่!”
“คิกคิก” หลิงม่อหัวเราะเบาๆ
“เฮ้ย ฉันยังไม่อยากตายนะโว้ย! นายได้ยินที่ฉันพูดไหมหา?” มู่เฉินยืนสติแตกอยู่ทางหนึ่ง
และตอนนี้ ทั่วทุกซอกทุกมุมในอาคารแห่งนี้ ก็เต็มไปด้วยเงาร่างที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาช้าๆ
บนบันไดที่อยู่ห้างจากหน้าประตูทางเข้าไม่ไกล เงาร่างของใครบางคนกำลังนำคนกลุ่มหนึ่ง ประชิดตัวแนบติดกำแพงแล้วค่อยๆ เดินขึ้นไปข้างบน
—————————————————————————–