แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 645 บีบๆ หน่อยจะได้แข็งแรง
“แกต้องมีประโยชน์กับฉันนะ ถ้าไม่อย่างนั้น…”
หลังจากที่พูดจาข่มขู่ไร้ประโยชน์กับ “แมงกะพรุน” เสร็จ หลิงม่อก็สูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งที แล้วยกมันขึ้นข้างหน้าตัวเอง
นี่ไม่ใช่การสื่อสารทางจิตข้ามเผ่าพันธุ์แต่อย่างใด ถึงแม้ว่าหลิงม่อจะแผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกมาหนึ่งเส้นก็ตาม…
ทันทีที่หนวดสัมผัสเส้นนี้ยื่นมาถึงตรงหน้า “แมงกะพรุน” มันก็กระตุกสั่นเหมือนโดนไฟดูด จากนั้นก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
ด้วยการ “หายใจ” อย่างนี้ของมัน พลังงานทางจิตซึ่งมาจากตัวหลิงม่อถูกมันกักเก็บไว้ในร่างของมันทันที
ผ่านไปไม่นาน จุดสว่างสีขาวในร่างของมันเหล่านั้นก็ถูกเคลือบด้วยสีแดงอ่อนๆ หนึ่งชั้น…
“ตามคาด พลังงานทางจิตที่ถูกมันดูดกลืนเข้าไปล้วนกลายเป็นพลังบริสุทธิ์ แต่พลังของเราถึงจะผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์แล้วก็ยังมีคุณลักษณะของซอมบี้อยู่ดี” หลิงม่อพึมพำอย่างสับสนในใจ
เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่าถึงแม้ความคิดของเขาจะยังเป็นมนุษย์ แต่อวัยวะร่างกายของเขาได้ประทับตราซอมบี้โดยสมบูรณ์…อย่างไม่มีทางช่วยได้แล้ว
“แมงกะพรุน” กำลังดูดกลืนอย่างมีความสุข แต่ทันใดนั้นมันกลับรู้สึกเหมือนร่างกายถูกมือคู่นั้นบีบแน่น
สายตาของหลิงม่อจับจ้องไปที่มัน ขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างก็ออกแรงบีบพร้อมกัน—
พรืดด!
เหมือนลูกโป่งสีใสที่ใส่น้ำไว้ถูกบีบกะทันหัน จุดสีขาวเหล่านั้นที่กำลังกระโดดกระเด้งไปมาอยู่ในร่าง “แมงกะพรุน” พุ่งออกมาทันที
ตอนนี้มันดูเหมือนปลาวาฬขนาดย่อ หลิงม่อบีบหนึ่งครั้ง จุดสีขาวเหล่านั้นก็พุ่งออกมาหนึ่งครั้ง…
“อย่าขัดขืนสิ บีบๆ หน่อยจะได้แข็งแรงขึ้นไง”
เสียง “พรืด พรืด” เบาๆ นั่นดังขึ้นทุกครั้งที่หลิงม่อบีบ หลิงม่อบีบหนึ่งครั้ง มันก็ดังหนึ่งครั้ง…
“หนีไปไหนแล้ว!”
อ้ายเฟิงวิ่งลงบันไดอย่างคลุ้มคลั่ง ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงกระจกแตก
เขาชะงักเท้ากึก บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเหี้ยม จากนั้นเขาก็วิ่งพุ่งเข้าไปในชั้นหนึ่งของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ “อยู่ที่นี่หรอ?”
ทันทีที่เข้าไป ลานโล่งเปล่าและมืดมัวแห่งหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
ขยะเกลื่อนเต็มพื้น ชั้นวางของล้มระเนระนาด…
ดวงตาอันบ้าคลั่งคู่นั้นของอ้ายเฟิงกลอกมองไปทางซ้ายทางขวา เขายกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเบาๆ หลังจากก้าวออกไปยาวๆ เขาก็วางเท้าข้างนั้นลงกับพื้นช้าๆ
“หายไปแล้ว?”
อ้ายเฟิงหยุดขยับชั่วขณะ สีหน้าของเขาแลดูประหลาดขึ้นมาเล็กน้อย
ดวงตาของเขาจดจ้องไปข้างหน้า เหมือนกับมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ตอนนี้ใน “ดวงตา” อีกคู่ของเขา สิ่งที่มองเห็นกลับเป็นภาพที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
มันยังคงเป็นห้างสรรพสินค้าอันมืดสลัวแห่งนี้ แต่กลับมีดวงแสงมากมายลอยไปมาลอยมาอยู่ด้านหน้า
พลังงานทางจิตที่เขามองเห็นผ่าน “ดวงตา” คู่นี้ไม่มีสี แต่กลับแสดงความแข็งแกร่งและอ่อนแอให้เห็นอย่างชัดเจน
แต่ประเด็นคือดวงแสงเหล่านี้ กลับดูคล้ายกันแทบจะทั้งหมดน่ะสิ…
หลิงม่อไม่ได้หายตัวไป แต่เขาอยู่ทุกที่!
อ้ายเฟิงที่ยืนอยู่กับที่อึ้งไปชั่วขณะ แล้ว… ดวงไหนคือหลิงม่อกันล่ะ?
………..
“น่าจะถ่วงเวลาไปได้ซักพัก” ขณะนี้หลิงม่อที่หลบอยู่ในมุมมืดมุมหนึ่ง กำลังพยายามควบคุมคลื่นดวงจิตของตัวเองอย่างสุดความสามารถ
เขาจัดการยัด “แมงกะพรุน” ที่ตัวเล็กแฟบไม่เหมือนเดิมใส่กระเป๋าเป้ให้เรียบร้อย จากนั้นก็จ้องห้างสรรพสินค้าที่อยู่ในความมืด ผ่านช่องแคบระหว่างชั้นวางสินค้าตรงหน้า
โอกาส…เวลาอย่างนี้ คงทำได้แค่รอโอกาสแล้วล่ะ…
“ซู่!”
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลิงม่อก็รู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ
เขาตัวสั่นไปชั่วขณะ พลันเบิกตากว้าง
“อะไรน่ะ?”
ลูกตาของหลิงม่อค่อยๆ กลอกไปทางซ้าย แล้วหางตาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่ง
เพิ่งจะควบคุมคลื่นดวงจิตของตัวเอง พริบตาเดียวก็ถูกใครบางคนเข้าประชิดตัวซะแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าหลิงม่อไม่ได้สนใจทางนี้เลยแม้แต่น้อย
เงาร่างนั้นอยู่ติดกับด้านนอกของบานกระจกหน้าต่างขอบติดพื้น เส้นผมสยายไปตามสายลมแรง คิดดูอีกที ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นตึกสูงนี่นะ….
“เธอมาทำอะไรที่นี่เนี่ย!”
หลิงม่อทำหน้ามึนตึง พลางขยับปากพูดโดยไร้เสียงกับเงาร่างที่อยู่ตรงหน้าต่าง
แต่คนนอกหน้าต่างกลับเอียงคอ แล้วเขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด จนแทบจะแนบติดกับบานหน้าต่าง
“หา? นายว่าไงนะ?”
“อู้อี้ๆๆ!”
พออวี๋ซือหรานอ้าปากพูด เสียงของเธอก็ถูกลมกลบจนมิด
ทว่าเธอก็ยังคงแนบตัวติดกับหน้าต่างอย่างอยากรู้อยากเห็นมาก เธอมองไปที่หลิงม่อซึ่งนั่งยองๆ อยู่ในมุมมืด และกำลังโบกไม้โบกมือมาทางตัวเองอย่างสุดความสามารถ
“เจ้ามนุษย์คนนี้กำลังทำอะไรอีกแล้วนะ?” อวี๋ซือหรานคิดอย่างสนอกสนใจ
“ฉัน…โธ่ ช่างเถอะ!” หลิงม่อไม่หวังว่ายัยซอมบี้ตัวเล็กนั่นจะอ่านปากเขาออก เขาพลิกข้อมือ คว้าเส้นไหมสีเงินที่ลอยอยู่อากาศเส้นหนึ่งไว้ ซึ่งหากมองด้วยตาเปล่าก็แทบจะมองไม่เห็น
เมื่อข้อมือของเขากระตุก แสงสีเงินอ่อนๆ พลันสว่างวาบขึ้นท่ามกลางความมืด
หลิงม่อกระชากเส้นไหมสีเงินมาข้างหน้าหนึ่งที ก็ได้ยินเสียง “ปั๊ก” ดังเบาๆ แล้วซอมบี้โลลิที่อยู่ข้างนอกก็แทบจะแนบติดอยู่กับบานกระจกหน้าต่างทั้งตัว
“อื้อ อื้อ!”
อวี๋ซือหรานที่ใบหน้าและทรวงอกถูกกดทับจนแบนครางเสียงหลงสองที แล้วเธอก็ยกมือขึ้นทุบกระจกอย่างยากลำบาก
เส้นไหมสีเงินหลายเส้นยื่นออกมาจาก “ผ้าพันคอ” บนลำคอของเธอ พวกมันตัดกระจกออกอย่างเงียบๆ
เมื่อร่างอวี๋ซือหรานถลาเข้าไปในอาคาร หลิงม่อก็รีบยื่นมือออกไปรับบานกระจกที่แทบจะถูกตัดทั้งบานนั้น แล้ววางมันลงกับพื้นอีกด้านหนึ่งเบาๆ
ถึงแม้ห้างฯ แห่งนี้จะใหญ่มาก แต่ถ้าหากเสียงนี้เล็ดลอดออกไป สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดก็จะพังลงในพริบตา
“เธอไปทำอะไรกลางอากาศ หา!” หลิงม่อถามเสียงเบา
“ราย…รายงานข้อมูลไง…” อวี๋ซือหรานยกมือแหวกผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง แล้วตอบเขา
หลิงม่อได้ยินก็ปวดหัว ไม่ช้าหรือเร็วไปกว่านี้เลย ทำไมต้องเป็นเวลานี้พอดิบพอดี…
“ไม่สิ…เดี๋ยวนะ” หลิงม่อนิ่งงันไปชั่วขณะ และสายตาที่มองอวี๋ซือหราน ก็เปลี่ยนไปในเสี้ยววินาที
อวี๋ซือหรานปัดผมที่บังหน้าออก ถลึงตาแล้วถามเขา “ทำไมต้องมองหน้าฉันอย่างนั้น?”
“คิกคิก ใช่แล้ว ทำไมเราถึงคิดไม่ได้ล่ะเนี่ย! เธอไม่ได้มีสายสัมพันธ์ทางจิตโดยตรงกับฉันนี่!” หลิงม่อกลับพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
อวี๋ซือหรานทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก เขาพูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจซักนิด!
“เธอมานี่ซิ…เอ๋ ทำไมเธอตัวหนักขนาดนี้แล้วล่ะ?” หลิงม่อหมายจะกระชากแขนอันบอบบางของอวี๋ซือหรานเข้ามาหา แต่กลับเกือบหน้าทิ่มเสียเอง เขาจึงหันกลับไปมองเธออย่างสงสัย
หลังจากยื่นหน้าออกไปมองด้านนอก หลิงม่อก็หน้ายุ่งขึ้นมาทันที…
ด้านล่างหน้าต่าง สิ่งมีชีวิตตัวกลมๆ สีเทาขาวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังปีนป่ายหน้าต่าง และพอเขายื่นหน้าออกไป ศีรษะปุกปุยนั่นก็เงยขึ้นมาพอดี ในดวงตาสีแดงซึ่งถูกล้อมกรอบด้วยขอบตาสีดำสนิทเต็มไปด้วยความดีใจและเว้าวอน “แบ๊!”
“…”
หลิงม่อหดหัวกลับเข้ามาเงียบๆ จากนั้นก็ลองกระชากเส้นไหมสีเงินเส้นนั้นสองสามที “ทำอย่างนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเธอหรอกหรอ?”
“อื่ม ไม่อ่ะ…” อวี๋ซือหรานพยักหน้าตอบ
ในสมองของเธอในตอนนี้กำลังคิด เจ้ามนุษย์ถามเรื่องนี้ทำไมกัน?
“แบ๊!”
หมีแพนด้ากลายพันธุ์ที่ห้อยตัวอยู่นอกหน้าต่างยังคงกวัดแกว่งขาตัวเองไปมา แต่เสียงร้องกลับถูกลมแรงกลบจนมิด
………..
“เธอซ่อนตัวอยู่ที่นี่นะ ถ้ามีคนมาก็ให้วิ่งหนี”
หลิงม่อกำชับอวี๋ซือหราน จากนั้นก็กดไหล่ซอมบี้โลลิให้นั่งลง
“ทะ…ทำไมล่ะ?” อวี๋ซือหรานขืนตัวเล็กน้อนพร้อมถาม
“ชู่ว! หลิงม่อรีบยื่นมือไปปิดปากเธอ แล้วบอกว่า “เธอเป็นเด็กดีเชื่อฟังฉัน แล้วฉันจะให้รางวัลเป็นก้อนเหนียวหนืดสามก้อนไม่รวมส่วนแบ่งปกติ!”
อวี๋ซือหรานเบิกตากว้าง จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา “อื้อๆ!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้…” หลิงม่อทำหน้าเสียดายสุดขีด “สองก้อน มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”
“อื้อ…”
“หนึ่งก้อน!” หลิงม่อตบไหล่อวี๋ซือหรานหนึ่งที “ตกลงตามนี้แหละ จำไว้ว่าห้ามส่งเสียงเด็ดขาด!”
ซอมบี้โลลิน้อยยอมนั่งยองๆ ลงไปในมุมมืดแต่โดยดี แล้วเงยหน้ามองหลิงม่อ
เธอรู้สึกเหมือนเมื่อกี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่พอถูกหลิงม่อใช้มือปิดปาก และขณะที่ลิ้นของเธอสัมผัสถูกรสชาติอันหอมหวานของมนุษย์ เธอก็ไม่รับรู้เรื่องอื่นอีกเลย…
หลิงม่อวิ่งเข้าในเงามืดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายตัวไปเขาหันกลับมาทำมือ “OK” ให้เธอครั้งหนึ่ง
อวี๋ซือหรานนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นทำท่าเลียนแบบหลิงม่อ
แต่เธอทำมือได้ไม่ค่อยถูกต้องนัก ดูอย่างไรมือเล็กๆ ข้างนั้นของเธอก็เกือบจะกำเข้าหากันจนกลายเป็นกำปั้นแล้ว
“ชิ เจ้ามนุษย์น่ารำคาญ” ซอมบี้โลลิลองดูหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็เม้มปาก แล้วสะบัดมือเล็กๆ ลง พลางบ่นงึมงำ
เธอแลบลิ้นออกมาเลียปากอย่างอดใจไม่ไหว ยกมือขึ้นกุมปาก จากนั้นสูดดมกลิ่นอีกครั้งอย่างเคลิบเคลิ้ม “เนื้อ…”
“แคร่ก”
ขาข้างหนึ่งเหยียบโดนของเล่นเก่าๆ เสียงวัตถุหักแหลมๆ ดังอย่างชัดเจน ท่ามกลางความมืด เสียงนี้ยิ่งเสียดแทงแก้วหูได้ดีกว่าเดิม
อวี๋ซือหรานที่กำลังหวนนึกถึงรสชาติอันหอมอวานอย่างได้ที่รีบเงยหน้าขึ้นทันที เธอหดตัวถอยกลับไปข้างหลังอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกไป
เมื่อมองลอดช่องแคบด้านหน้าออกไป เธอมองเห็นเพียงส่วนเล็กๆ ของลานโล่งกว้างในห้างฯ เท่านั้น
“แคร่ก!”
เสียงวัตถุแตกหักแหลมๆ ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้เสียงก็ดังใกล้เธอมากกว่าเดิม
อวี๋ซือหรานกลั้นหายใจชั่วขณะ เส้นไหมสีเงินด้านหลังลอยไหวไปมาเบาๆ จากนั้นก็หดกลับมาอยู่ข้างกายอวี๋ซือหรานอย่างเงียบเชียบ
“แกร๊ก!”
ทันใดนั้น เศษกระจกที่อยู่ในครรลองสายตาก็ถูกเหยียบแตก มันอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร อวี๋ซือหรานรู้สึกเหมือนตัวเองจะถูกเจอตัวได้ทุกเมื่อ
“ที่นี่มีอะไรแปลกๆ จริงๆ…”
เสียงพึมพำของผู้ชายแว่วมา อวี๋ซือหรานแทบจะอดใจขยับร่างกายไม่ได้แล้ว
แต่ว่า หลิงม่อบอกว่า “ถ้ามีคนมาให้วิ่งหนี” ไม่ได้บอกว่าถ้ามีคนมาให้อัดนี่นา…ดังนั้นอวี๋ซือหรานจึงยังคงอดกลั้นต่อไป
ในฐานะซอมบี้ ความสามารถในการอำพรางกายของเธอแกร่งกว่าหลิงม่อมาก แต่เพราะสายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างเฮยซือกับหลิงม่อ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกอ้ายเฟิงสัมผัสได้บ้าง
แต่ทว่า เดิมเฮยซือเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังจิต และมีความสามารถในการซ่อนตัวที่ยอดเยี่ยมเหมือนกัน ดังนั้นอ้ายเฟิงจึงพบเบาะแสเพียงเล็กน้อย ในเวลาอันสั้น เขายังไม่สามารถระบุตำแหน่งที่ชัดเจนของอีกฝ่ายได้
“น่าจะอยู่แถวๆ นี้แหละ ฮิฮิฮิ จะหลบไปได้นานแค่ไหนกันเชียว? มารวมเป็นร่างเดียวกับฉัน แล้วแข็งแกร่งขึ้นไม่ดีกว่าหรอ? แทนที่จะดิ้นรนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สู้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่อยู่เหนือคนอื่น และมีแต่คนเกรงกลัวไม่ดีกว่าหรอ? ฮิฮิฮิ…”
อ้ายเฟิงกวาดมองไปทางซ้ายและทางขวาอย่างเยือกเย็น ขณะเดียวกันก็หัวเราะเย็นชาพร้อมกับตะโกนเรียก
“ออกมาซะเถอะ!”
“คิกคิก ออกมาเถอะ”
“ออกมาเซ่!”
แม้ว่าเสียงที่ออกมาจากปากของเขาจะเกิดจากคนคนเดียว แต่โทนเสียงกลับเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอด บางครั้งก็เป็นเสียงของผู้ชายที่กำลังสะอื้นไห้ บางครั้งก็เป็นเสียงผู้หญิงหัวเราะแหลมๆ แล้วยังมีเสียงคล้ายเด็กทารกร้องวอแวปะปนขึ้นมาเป็นครั้งคราว
พอได้ยินเสียงอย่างนี้ในสถานที่แบบนี้ ความรู้สึกประหลาดพลันเกิดขึ้นมาทันที
ทว่าอวี๋ซือหรานกลับเพียงแค่จ้องเจ้ามนุษย์คนนี้ผ่านช่องแคบตรงหน้า และมีแต่ความอยากรู้อยากเห็นฉายชัดอยู่ในดวงตาของเธอ
เส้นไหมสีเงินเส้นหนึ่งกำลังลอยไหวอยู่ข้างๆ ดวงหน้าของเธอ ราวกับกำลังสื่อสารกับเธอโดยไม่ใช้เสียง
และในขณะนั้น ด้านหลังตู้ใบหนึ่งซึ่งอยู่ข้างหลังมู่เฉิน ดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องอ้ายเฟิงผ่านสิ่งกีดขวางเหล่านั้นอย่างเยือกเย็น
—————————————————————————–