แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - ตอนที่ 647 เสียงสะท้อนในหู
“ซอมบี้…” อ้ายเฟิงขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ทว่า เขากลับไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอื่นจากอวี๋ซือหรานอีก ซึ่งนั่นก็ตรงกับที่หลิงม่อเดาไว้
สิ่งผิดปกติดังกล่าวคือเฮยซือ แต่เฮยซือนั้นมีพลังในการอำพรางตัวที่ยอดเยี่ยมมากอยู่แล้ว
แน่นอน ไม่ว่าจะพยายามปกปิดซักแค่ไหน ความเป็นจริงก็ยังคงมีจุดผิดสังเกตหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์อย่างนี้ เห็นชัดเจนว่าอ้ายเฟิงพุ่งเป้าความสนใจทั้งหมดไปที่ตัวอวี๋ซือหราน
“ทำไมถึงได้…”
อ้ายเฟิงสับสนงุนงงไปหมด นี่มันอะไรกัน!
ทำไมจู่ๆ ถึงได้มีซอมบี้ระดับสูงโผล่มาที่นี่ ในเวลาอย่างนี้!
แล้วเงาตะคุ่มเมื่อกี้เล่า? อย่าบอกนะว่าเป็นซอมบี้ตัวเล็กนี่?
แต่…มันจะเป็นไปได้ยังไง!
วินาทีที่เขาโจมตีเงาตะคุ่มนั่น เนื่องจากว่าเงานั้นวิ่งเร็วเกินไป กอปรกับการลอบโจมตีของหลิงม่อก็ช่างเลือกเวลาได้เหมาะเจาะมาก ดังนั้นอ้ายเฟิงจึงมองไม่เห็นว่ารูปร่างหน้าตาของเงาตะคุ่มนั้นเป็นอย่างไรกันแน่
ห้างสรรพสินค้าชั้นนี้ มีอะไรซ่อนอยู่บ้างกันแน่เนี่ย!
แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่ว่าจะเป็นซอมบี้โลลิน้อยตัวนี้ หรือหลิงม่อที่ไล่กัดไม่ปล่อยอยู่ข้างหลัง ไม่มีทางเปิดโอกาสให้เขาได้คิดทบทวนอย่างละเอียดแน่นอน
อวี๋ซือหรานเอียงคอ เงาร่างไหววูบเพียงครั้งเดียว ชั่วพริบตาเธอก็มายืนอยู่ต่อหน้าอ้ายเฟิงแล้ว
ขณะเดียวกันนั้น หนวดสัมผัสมากมายก็ได้พุ่งเข้ามาถึงด้านหลังเขาแล้ว อ้ายเฟิงที่ยังคงมีสีหน้าตื่นตะลึง กลับไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทันเวลา
ขณะเดียวกับที่ร่างกายถูกแทงทะลุ และดวงแสงแห่งจิตถูกสอดแทรก ซอมบี้โลลิก็ได้กระโดดขึ้นสูง แล้วเหวี่ยงหมัดเล็กๆ เข้าที่ตาซ้ายเขาแรงๆ
“เอ๋? หมัดงั้นหรอ?!”
ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบ เครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ก็ได้ผุดขึ้นมาในสมองของอ้ายเฟิง
“โครม!”
ถึงแม้หมัดของซอมบี้โลลิจะเล็ก แต่ขณะที่หมัดเล็กๆ นี้โจมตีเข้าที่เบ้าตาซ้ายของอ้ายเฟิง ร่างกายของเขาก็ปลิวออกไปทันที
ขนาดร่างกายที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งทำให้เห็นว่าเธอมีพละกำลังที่น่ากลัวขนาดไหน
อ้ายเฟิงล้มลงไป หลิงม่อรีบวิ่งเข้ามา แล้วจับ “แมงกะพรุน” อย่างรีบร้อน จากนั้นก็ออกแรงดึงมันออกมา “ปล่อยมือซะ นี่มันของฉัน!”
ไม่รู้ว่า “แมงกะพรุน” มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเองหรือไม่ พอถูกหลิงม่อกระชาก มันก็กระตุกสั่นเหมือนถูกไฟช็อต ราวกับว่ามันกำลังขัดขืนอย่างไรอย่างนั้น
“ยังไม่ยอมออกมาอีก?” หลิงม่อกัดฟันกรอด หนวดสัมผัสหลายเส้นพุ่งออกไปรัดตัวมัน แล้วออกแรงดึงอย่างเต็มที่
ดึ๋งๆ!
“แมงกะพรุน” ถูกบังคับให้ออกจากศีรษะของอ้ายเฟิง มันจึงกระโดดกระเด้งอย่างไม่พอใจสองที
หลิงม่อมองไปข้างในร่างของมัน พลังงานทางจิตจำนวนไม่มากที่ถูกมันดูดกลืนไปกำลังเปล่งแสงนวลๆ ซึ่งมีแค่ผู้มีพลังจิตเท่านั้นถึงจะมองเห็นได้
“แค่นั้นก็ให้มันไปเถอะ” จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็พูดขึ้น
“หา?” หลิงม่อหันหน้าไปมองซอมบี้โลลิ “นี่ความเห็นเธอ? หรือความเห็นเฮยซือ? เธอไม่น่าจะมองเห็นพลังงานทางจิตนี่”
“เรื่องของฉัน…” อวี๋ซือหรานกัดริมฝีปากทำท่าครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ถ้าไง ก้อนเหนียวหนืดหนึ่งก้อนที่นายจะให้ฉัน ฉันไม่เอาก็ได้”
หลิงม่อผิดคาดเล็กน้อย ซอมบี้โลลิน้อยตัวนี้รู้จักเห็นใจคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ถึงแม้หากพูดตามจริงแล้ว อีกฝ่ายที่เธอใส่ใจจะเป็นสัตว์ประหลาดอะไรไม่รู้ก็ตาม…
“อย่ามองฉันอย่างนี้นะ!” ซอมบี้โลลิวีน ถูกหลิงม่อจ้องอย่างนี้ เธอรู้สึกแปลกๆ “มันเป็นของที่ฉันหามาได้แต่แรก ดังนั้นฉัน…”
“เอางั้นก็ได้” หลิงม่อพยักหน้า
“ฉันก็แค่คิดว่าที่นายพูดมันก็ถูก…อ้าว นายเห็นด้วยแล้วหรอ?” อวี๋ซือหรานเบิกตากว้างทันที
หลิงม่อยัด “แมงกะพรุน” ใส่กระเป๋าเป้ แล้วนั่งยองๆ ลงตรงหน้าอ้ายเฟิง “อืม ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นการส่งเสริมวิวัฒนาการของมัน? ถึงยังไงมันก็ดูดไปได้ไม่มาก ฉันเองก็อยากรู้มากเหมือนกัน ว่ามันจะเจริญเติบโตไปเป็นตัวอะไร”
“อย่างนี้เองหรอ…” อวี๋ซือหรานยังงงๆ อยู่ เธอไม่เคยคิดว่าความเห็นของตัวเองจะถูกยอมรับด้วย แถมหลิงม่อยังรับคำอย่างเต็มใจขนาดนี้
ชั่ววูบหนึ่ง ซอมบี้โลลิก็ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงเหมือนกัน เธอเพียงยืนเหม่อมองหลิงม่ออยู่ตรงนั้น
“นี่ มนุษย์” จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็ถามขึ้น “นายมองซอมบี้อย่างไร?”
หลิงม่อกำลังเตรียมจะรวบรวมพลังจิต พอได้ยินก็ถามโดยไม่หันกลับไปมอง “ทำไมล่ะ?”
“ฉันเองก็ไม่รู้…” ซอมบี้โลลิงึมงำเสียงเบา แล้วส่ายหน้า
“ใช่สิ ไปช่วยเสี่ยวป๋ายหน่อย อย่าดึงมันเข้ามาล่ะ เดี๋ยวจะติดแหง็กเอา ช่วยมันลงไปข้างล่างแล้วกัน” หลิงม่อกำชับเสริม
อวี๋ซือหรานพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็หมุนกายเดินไปทางหน้าต่างขอบติดพื้น
ทว่าเสี้ยววินาทีที่หมุนกาย เธอกลับเหลือบมองหลิงม่ออีกครั้งอย่างห้ามใจไม่ได้
“แปลกจัง เมื่อกี้นี้…จู่ๆ ก็รู้สึกเจ้าว่ามนุษย์ดูคุ้นเคยขึ้นมาก” ซอมบี้โลลิขมวดคิ้วครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ
เธอรู้สึกว่าจู่ๆ ในสมองของเธอมีบางอย่างผุดขึ้นมา แต่เธอกลับไม่สามารถจับใจความได้ว่ามันคืออะไร
พออวี๋ซือหรานจากไป หลิงม่อก็หันมาจดจ่ออยู่กับอ้ายเฟิงทันที
หนวดสัมผัสของเขาแทรกลึกเข้าไปในดวงแสงแห่งจิตของอ้ายเฟิง และสำรวจสภาพของมันอย่างละเอียด
“ยุ่งเหยิงไปหมดจริงๆ”
วิธีการ “รวมร่าง” อย่างนี้ หลิงม่อเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก จากความเข้าใจในตอนนี้ของเขา โลกแห่งดวงจิตของมนุษย์เข้าใจยากกว่าของซอมบี้มาก สามารถทำลายได้ แต่กลับไม่อาจควบคุมได้
โลกแห่งดวงจิตของซอมบี้ก็เหมือนกับถูกแบ่งเป็นไฟล์ข้อมูลที่เรียบง่ายและเป็นระเบียบสองไฟล์ ไฟล์หนึ่งเขียนกำกับไว้ว่า “มีประโยชน์ แต่มักเปิดใช้ด้วยวิธีผิดๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่วิธีใช้ที่ถูกต้อง” อีกไฟล์เขียนกำกับไว้ว่า “ถึงแม้จำได้ แต่ไม่มีประโยชน์ หลังเปิดไฟล์นี้ มักมีเรื่องราวประหลาดๆ ผุดออกมา”
แต่โลกแห่งดวงจิตของมนุษย์นั้นกลับเต็มไปด้วยตัวแปรมากมาย สับสนยุ่งเหยิงหาสิ่งใดเปรียบ
ทว่าการยัดตัวเองเข้าไปในสมองของคนอื่น แต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพดวงจิตของภาชนะอย่างที่หมายเลข 0 ทำนี้ หลิงม่อยอมรับว่ามันทำให้เขาตะลึงและประหลาดใจมาก
นอกจากอยากกลืนกินแล้ว หลิงม่อยังมีความอยากรู้อยากเห็นต่อหมายเลข 0 ที่สูงมากด้วย เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอใครที่มีพลังจิตแกร่งกว่าตัวเอง
หลังจากสำรวจดูอย่างถี่ถ้วนหนึ่งรอบ หลิงม่อก็ค้นพบว่า ตอนนี้ดวงแสงแห่งจิตของมู่เฉิน เหมือนจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนแล้ว
ส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างปกติ เป็นของอ้ายเฟิงซึ่งเป็นเจ้าของร่างภาชนะ และอีกส่วนหนึ่งกลับยุ่งเหยิงหาสิ่งใดเปรียบ ถึงแม้จะสัมผัสรู้ได้ว่าในนั้นมีพลังงานทางจิตที่แข็งแกร่งมากอยู่ แต่กลับไม่เหมือนความทรงจำและจิตใต้สำนึกอันสมบูรณ์ที่คนทั่วไปพึงมี
มันเหมือนร่างกายของคนคนหนึ่งที่แต่ละส่วนในร่างกายถูกต่อเติมให้สมบูรณ์จากคนที่ไม่ซ้ำกัน
ถึงจะถือได้ว่าเป็นร่างที่ครบถ้วน แต่หากมองดูดีๆ กลับชวนให้อกสั่นขวัญแขวน
“ไม่รู้ว่าหลอมรวมมากี่คนแล้ว ไม่น่าล่ะพลังจิตถึงได้แกร่งขนาดนี้ แต่คงจะอัพเกรดความแกร่งด้วยการฝึกฝนตนเองได้ยาก เลยทำได้แค่หลอมรวมสินะ? อีกอย่าง ส่วนที่หลงเหลืออยู่ส่วนมากก็เป็นร่างจิตใต้สำนึกที่เป็นความคิดเชิงลบด้วย แล้วยิ่งสะสมความหยิ่งทะนงในตัวเองท่ามกลางความไร้อิสระอีก ไม่ช้าก็เร็วมันต้องกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้แน่ๆ นิพพานสาขาย่อยกำลังเล่นกับไฟชัดๆ…”
หลิงม่อครุ่นคิดในใจ พลางสอดแทรกหนวดสัมผัสเข้าไปในดวงแสงอันยุ่งเหยิงนั่น “ของแบบนี้ กลืนกินให้หายไปซะดีกว่า”
สถานการณ์ยุ่งเหยิงวุ่นวายของหมายเลข 0 กลับส่งผลดีต่อการกลืนกินของหลิงม่อ เพราะจิตใต้สำนึกที่ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน ก็แสดงถึงสัญชาตญาณการต่อต้านที่ไม่เป็นหนึ่งเดียวไงล่ะ
แต่ร่างจิตใต้สำนึกเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยอารมณ์ต่อต้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่หลังจากที่พวกมันถูกแยกออกจากกัน แล้วหันมาเผชิญหน้ากับหลิงม่ออีกครั้ง พวกมันก็อ่อนแอลงมากอย่างเห็นได้ชัด…
ภาพตัดความทรงจำมากมายฉายผ่านสมองหลิงม่ออย่างต่อเนื่อง เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังไม่หยุดเช่นกัน
“อย่าทำอย่างนี้ เข้าร่วมกับพวกเราเถอะน่า!”
“ฮืออออ ฉันไม่อยาก ฉันเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นนะ ฉันแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันแค่อยากอยู่ต่อไปเท่านั้นเอง!”
“ทำไมถึงทำกับพวกเราอย่างนี้ อยู่กับพวกเราไม่ดีตรงไหน!”
เสียงเหล่านี้มาจากร่างจิตใต้สำนึกแต่ละดวง ส่วนมากจะเต็มไปด้วยความแค้นเคือง และตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ราวกับเสียงสะท้อนที่ดังก้องอยู่ในหู
ทว่าด้วยจิตอันแข็งแกร่งของหลิงม่อ จึงไม่ถึงขั้นได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้
“นี่ถือว่าเป็นการปลดปล่อยพวกแก สิ่งที่พวกแกหลงเหลืออยู่ ก็มีเพียงเท่านี้แล้วล่ะ” หลิงม่อคิดในใจ
เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ละคนล้วนจำต้องทำบางสิ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ไม่ว่าตอนแรกพวกเขาจะถูกบังคับ หรือว่ายินยอมพร้อมใจ ตอนนี้พวกเขาก็ไม่อาจถือว่าเป็นตัวของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความปรารถนาและความแค้นของพวกเขาที่หลงเหลือไว้เท่านั้น…
แต่ในขณะนั้นเอง จู่ๆ เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามาในสมองของหลิงม่อ
เสียงนี้เต็มไปด้วยเสน่หาเย้ายวน เคล้าด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ มันกลบเสียงจอแจของคนอื่นจนมิด และดังแทรกเข้าไปยังส่วนลึกของจิตใต้สำนึกหลิงม่อ
หลิงม่อใจกระตุกวูบ ในใจรู้ดีว่านี่เป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของหมายเลข 0 แล้ว…
แต่เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เสียงนี้พูดชัดๆ หลิงม่อกลับอึ้งค้างไป
“ยอมแพ้…ซะเถอะ เธอไม่เหนื่อยบ้างหรอ?”
“เคยคิดบ้างไหมว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร? เธอกลัวมากใช่ไหมว่าจะมีใครรู้ความลับพวกนั้นเข้า? แต่ถ้าหากวันหนึ่งถูกจับได้ขึ้นมา แล้วเธอจะทำยังไงล่ะ?”
“สู้ยอมแพ้ซะตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า อยู่กับพวกเรา จะได้ไม่ต้องกลัวอะไรอีก…”
หัวใจหลิงม่อเต้น “ตึกตัก” หนึ่งที ความเร็วในการกลืนกินก็ช้าลงอย่างไม่รู้ตัว
นี่มัน…นี่มันอะไรอีกล่ะ?
หรือในระหว่างกลืนกิน อีกฝ่ายก็มองเห็นสิ่งที่อยู่ในใจเขาด้วยงั้นหรือ?
ทว่าคำพูดเหล่านี้เพียงพูดเป็นเชิงนัยแฝง กลับไม่ได้ชี้ชัดถึงปัญหาที่แท้จริง…
ใช่แล้ว หมายเลข 0 แค่รู้สึกได้ว่าเขามีบางสิ่งปกปิดอยู่ในใจ แต่กลับไม่สามารถเห็นความทรงจำของเขาได้โดยตรง
แต่อาศัยแค่สัมผัสรู้อารมณ์ความรู้สึก ยังจี้จุดได้แม่นยำขนาดนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นหมายเลข 0 ซึ่งเกิดจากการรวมร่างจิตใต้สำนึกมากมายเข้าด้วยกันจริงๆ
“ใช่แล้ว เธอคิดถูกแล้วล่ะ” เสียงนี้รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของหลิงม่อ จึงเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้นทันที มันพูดขึ้นอีกครั้งอย่างชี้แนะด้วยความหวังดี “กดดันมากใช่ไหม? ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามทำตัวร่าเริงทุกวัน แต่ความกดดันเหล่านั้นจะหายไปด้วยหรือไง? สู้ยอมแพ้ซะดีกว่า ยอมแพ้ซะเถอะ…”
ในระหว่างนี้ นิ้วมือของอ้ายเฟิงที่นอนอยู่บนพื้นก็กระดิกเบาๆ
ใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท คล้ายว่าลูกตากำลังกลอกกลิ้งไปมาเบาๆ
และหลิงม่อที่นั่งนิ่งอยู่กับที่ สายตาดูเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลิงม่อก็ได้สติขึ้นมา เขากำหมัดแน่น แล้วชกเข้าที่หน้าอ้ายเฟิงแรงๆ “หุบปากเดี๋ยวนี้!”
ในขณะที่ใกล้จะตื่น อ้ายเฟิงถูกต่อยอีกครั้งจนหน้าหัน เขาลั่นร้องเจ็บปวดเสียงดังหนึ่งครั้ง จากนั้นก็หมดสติไปอย่างสมบูรณ์แบบ
“ฮู่ว! เกือบไปแล้ว…”
หลิงม่อยกมือปาดเหงื่อหนึ่งที แล้วพ่นลมหายใจออกมายาวๆ
ถึงแม้ในระหว่างการกลืนกินครั้งนี้ สัญชาตญาณต่อต้านที่เขาต้องเผชิญจะอ่อนแอที่สุด แต่กลับเป็นครั้งที่อันตรายที่สุดเช่นกัน
เพราะจุดที่อีกฝ่ายเลือกโจมตี ไม่ใช่จุดไหน แต่เป็นจุดอ่อนที่เปราะบางที่สุดของมนุษย์…
—————————————————————————–