แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1004 ทักษะการซักถามเฉพาะทาง
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย…”
หลิงม่อถอนหายใจ พูดเสียงเบา “ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด…”
อวี่เหวินซวนที่อยู่ข้างๆ กลับพูดแทรกขึ้น “เอาอย่างนี้ ฉันจะช่วยเธอเอง ฉันจะถาม แล้วเธอตอบ โอเคไหม?”
ขณะเดียวกับที่พูด เขาเดินเข้ามาช้าๆ แล้วนั่งยองๆ ลง เพื่อลดสายตาลงมาอยู่ในระดับเดียวกับอวี๋ซือหาน
อวี่เหวินซวนในเวลานี้กลับดูจริงจังมาก ไม่เพียงลดเสียงต่ำลงมาก สายตาก็ดูอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย…สรุปก็คือ อยู่ๆ เขาก็กลายร่างจากเฟิ่งจื่อ เป็น…เฟิ่งจื่อที่มีมนุษยสัมพันธ์…
พอเห็นหลิงม่อจ้องตัวเองแปลกๆ อวี่เหวินซวนกระดกคิ้วทันที จากนั้นก็กระตุกคอเสื้อเล็กน้อย บอกว่า “อะแฮ่ม…ความจริงเมื่อก่อนฉันเคยเป็นผู้บริหารระดับสูง…”
“ฉันรู้” หลิงม่อพยักหน้า
“ดังนั้นเรื่องเล็กๆ อย่างนี้ ให้เป็นหน้าที่ฉันดีกว่า” อวี่เหวินซวนบอก “สำหรับการรับมือเด็กสาวตัวน้อย ฉันมีประสบการณ์มากทีเดียว”
“นายเป็นผู้บริหารระดับสูงด้านไหนกัน…สโมสรคลั่งโลลิอะไรทำนองนี้หรอ? จะว่าไปนี่นายกำลังเปิดเผยความชอบประหลาดๆ ของตัวเองออกมาหน้าตาเฉยอยู่นะ…” หลิงม่ออดพูดไม่ได้
“ตกลงว่าจะให้ฉันช่วยไหมวะเนี่ย!”
“ขอพูดอะไรหน่อย นายรู้ใช่ไหมว่าตัวเองไม่ได้ใส่เสื้อท่อนบน? มันไม่มีคอเสื้อให้นายกระตุกหรอกนะ…” สวี่ซูหานเองก็พูดขึ้นเสียงเบาด้วยอีกคน ทำเรื่องน่าอายด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังขนาดนี้ได้ ต้องบอกว่าเป็นพรสวรรค์เฉพาะคนจริงๆ…เธอยืนอยู่ข้างๆ เฉยๆ ยังอดหน้าแดงแทนไม่ได้
“นี่! อะไรกัน! ฉันก็แค่…”
ในตอนนั้นเอง หลิงม่อกลับเหลือบมองอวี๋ซือหรานเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนใจอย่างผิดหวัง “ปลอบไม่สำเร็จแฮะ…”
อวี่เหวินซวนกระจ่างทันที “ไหวพริบสุดยอดจริงๆ…แต่นี่นายใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือได้หน้าตาเฉยเลยนะ!”
“น่าเสียดายที่นายไม่มีคุณสมบัติเป็นเครื่องมือที่ดีนัก” หลิงม่อบอก
“……”
เถียงไม่อออกจริงๆ…
อวี่เหวินซวนทำหน้าบึ้งแล้วสูดหายใจลึก จากนั้นก็ฉีกยิ้มกว้างประดับใบหน้าเปื้อนโคลนของตัวเอง ถามอวี๋ซือหรานที่ยังพันนิ้วมือไปมาไม่หยุดว่า “ว่ายังไง? ถ้าทำอย่างนั้นเธอก็จะได้ผ่อนคลายลงหน่อย?”
“อืม…” อวี๋ซือหรานครุ่นคิด แล้วพยักหน้าเบาๆ
“งั้นโอเค ฉันเริ่มแล้วนะ” อวี่เหวินซวนกระแอมเบาๆ บอกว่า “ในคำพูดเมื่อกี้ของน้องสาว ความจริงบอกเรื่องสำคัญหลายอย่างแล้ว ข้อแรก เพื่อนทื่ชื่อเฮยซือได้หายไป ข้อสอง ‘ใครคนหนึ่ง’ ที่เธอพูดถึงในตอนแรก ไม่ได้หมายถึงข้อแรก…ความจริงแล้ว ข้อแรกน่าจะเกิดขึ้นในเรื่องที่เธอกำลังจะบอกต่อไปนี้ หรือก็คือในเหตุพลิกผันที่เกิดขึ้น ‘ระหว่างทาง’ นั่นเอง ข้อสาม เธอได้ตามหาอยู่ในนี้มาพักหนึ่งแล้ว จากนั้นก็มาเจอพวกเราที่นี่ เด็กน้อย พี่พูดถูกไหม?”
“หา…อื่ม” อวื๋ซือหรานพยักหน้า
หลิงม่อเองก็ค่อยๆ ใจเย็นลง…เขาเข้าใจจุดประสงค์ของอวี่เหวินซวนแล้ว เจ้าเฟิ่งจื่อคนนี้คงดูออกว่าเมื่อกี้หลิงม่อเองก็ร้อนใจทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน…หากเป็นยามปกติ คนที่วิเคราะห์คำพูดพวกนี้คงต้องเป็นหลิงม่อแน่นอน แต่ครั้งนี้เขากลับจับใจความไม่ได้ เขาบอกโลลิน้อยว่าใจเย็นๆ ความจริงในใจตัวเองกลับร้อนรนจนไฟแทบลุกท่วมแล้ว…
ในอีกด้าน อวี๋ซือหรานรู้สึกไว้ใจและเชื่อใจเขาเป็นพิเศษ พอพูดกับเขา โลลิน้อยตัวนี้ก็อด “ร้องไห้” ขึ้นมาไม่ได้…แต่กับอวี่เหวินซวน เธอจะไม่ระบายความอัดอั้นของตัวเองออกมาแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้นเราจะพูดถึงเรื่องที่เกิดต่อไปล่ะนะ ฉันเดาว่า เรื่องพวกนี้ล้วนเกิดขึ้นในสามนาทีที่ผ่านมา ใช่ไหม?” อวี่เหวินซวนถาม
อวี๋ซือหรานพยักหน้าอีกครั้ง
“นายรู้ได้ยังไง?” สวี่ซูหานอดถามไม่ได้
“รองเท้า” หลิงม่อบอก
อวี่เหวินซวนพยักหน้า เขาชี้ไปที่รองเท้าที่โลลิน้อยสวมอยู่ “โคลนใต้รองเท้าน้อยมาก โคลนที่นี่เหนียวมาก ใต้รองเท้าของเรามีโคลนติดเป็นชั้นหนา ดังนั้นสามารถตัดสินได้จากโคลนพวกนี้ ว่าคนคนหนึ่งอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว” หลังพูดจบ เขาก็ถามขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น ‘ใครคนหนึ่ง’ ที่เธอพูดถึง เธอหมายความยังไงกันแน่? เธอจะบอกว่า ก่อนที่เฮยซือจะหายไป ยังมีคนอื่นอยู่กับเธออีกงั้นหรอ?”
คนอื่น?
หัวใจหลิงม่อเต้น “ตึกตัก”…อยู่ๆ เขาก็นึกถึงเสียงแรกสุดที่พวกเขาได้ยิน ตอนที่เสียงนั้นดังขึ้น เป็นตอนที่อวี๋ซือหรานเข้ามาในนี้พอดีหรือเปล่า? ถ้าหากเป็นอย่างนั้น แสดงว่าทางเข้าออกอยู่แถวๆ นี้จริงๆ น่ะสิ?
“ใช่ มีมนุ…คนอีกคน…” คำว่า “มนุษย์” เกือบหลุดออกจากปาก ที่ดีโลลิน้อยกลืนมันลงไปทัน
ทว่าหลิงม่อกลับได้สติทันที…เธอกำลังพูดถึงผู้รอดชีวิตกลุ่มนั้น!
จะเป็นคนที่อวี๋ซือหรานสะกดรอยตามตอนนั้นหรือเปล่านะ? อีกฝ่ายพาเธอลงมาข้างล่างนี้ได้ยังไง? ตอนนี้อวี๋ซือหรานอยู่ที่นี่ แล้วคนที่พาเธอลงมาล่ะ?
ปัญหามากมายดึงหลิงม่อจมสู่ภวังค์ครุ่นคิด แต่อวี่เหวินซวนกลับถามต่อ “ก็หมายความว่า เธอถูกคนบางคนพาลงมา? แต่หลังจากลงมา พวกเธอก็แยกกัน ถูกไหม? แยกกันได้ยังไง?”
“คือว่า…ที่นี่มืดมาก จากนั้นอยู่ๆ เธอก็ร้องขึ้นมา บอกว่าขาแพลง ฉันเลยทำได้แค่ทิ้งเธอไว้ก่อน “ ดูเหมือนว่าอวี๋ซือหรานเองก็ไม่ค่อยแน่ใจกับเรื่องที่เกิดในตอนนั้นเท่าไหร่นัก เธอเล่าได้คลุมเครือ “ฉันเพิ่งเดินเข้ามาข้างในได้ไม่นาน เธอก็กรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง ฉันเลยรีบย้อนกลับไปดู…”
เสียงกรีดร้อง!
ทั้งสามตะลึง จากนั้นก็มองหน้ากัน
这就是他们听见的……
มันคือเสียงที่พวกเขาได้ยิน…
ไม่น่าล่ะเสียงฝีเท้านั้นถึงได้ย้อนกลับไป ทั้งที่เข้ามาใกล้พวกเขาแล้ว…
ใครจะไปคาดคิดว่าตอนนั้นที่พวกเขานึกว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ที่แท้เป็นโลลิน้อยตัวนี้
ฟังถึงตรงนี้ หลิงม่อก็แทบจะมั่นใจได้แล้ว
คนคนนั้นตั้งใจทำแบบนั้น…
แต่ปัญหาคือ ทำไมอีกฝ่ายต้องทำอย่างนั้น? จุดประสงค์คืออะไร? ถ้าหากแค่อยากหลอกอวี๋ซือหรานลงมา จากนั้นก็ฆ่าพวกเขาทั้งหมด คนคนนั้นสามารถใช้สารพัดวิธีล่อสัตว์ประหลาดในนี้ออกมาไม่ใช่หรอ? แต่คนคนนั้นกลับนำทางพวกเขาให้มาพบกัน…คิดดูแล้วเสียงร้องไห้ก็เหมือนกัน สวี่ซูหานพูดไว้ไม่ผิด มันไม่ใช่ความบังเอิญ แต่อีกฝ่ายจงใจให้มันเป็นแบบนี้
แผนลวงไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือไม่รู้แม้แต่จุดประสงค์ของอีกฝ่ายเลยต่างหาก…ทว่าพอคิดอีกที ในเรื่องราวที่อีกฝ่ายวางแผนไว้ ความจริงมีช่องโหว่อยู่จุดหนึ่ง และช่องโหว่นี้ ก็คือปัญหาที่พวกหลิงม่อกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้พอดี
เฮยซือที่หายไป…
สุนัขสาวตัวนั้นไม่มีทางทิ้งร่างร่วมไปอย่างไม่มีสาเหตุแน่นอน มันต้องยังอยู่ในนี้แน่ๆ..
“เฮยซือที่ว่าหายไปตอนไหน?” อวี่เหวินซวนค่อยๆ ชักจูงคำถามเข้าใกล้ประเด็นสำคัญช้าๆ เมื่อมีผลการวิเคราะห์เมื่อกี้และคำถามแล้ว อวี๋ซือหรานดูใจเย็นลงไม่น้อย แม้จะตัวสั่นเล็กน้อยตอนที่ได้ยินคำถามอีกครั้ง แต่กลับไม่คิดเลี่ยง
ใช้ปลายเท้าเขี่ยพื้นเล็กน้อย กัดปากพูดเสียงเบาว่า “ก็ตอนที่…ตอนที่ฉันเข้ามาในนี้ คนคนนั้นร้องไห้ตลอด แต่ฉันกลับไล่ตามไม่ทัน แล้วอยู่ๆ เฮยซือก็หายไป พอฉันรู้ว่าเธอหายไป ก็เลยรีบย้อนกลับมา ปรากฏว่าไม่เจอเฮยซือ กลับเจอพวกนายแทน…ฮืออ…”
โลลิน้อยทำท่าเหมือนอยากร้องไห้อีกครั้ง
“เธอเป็นใคร?” อวี่เหวินซวนถาม
“ฉันเข้าใจแล้ว” อยู่ๆ หลิงม่อกลับเงยหน้าขึ้นในเวลานี้พอดี
————————