แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1030 เงาดำทะมึนกัดกลืนผู้คน
“มีอะไรไม่ถูกต้องหรอ?”
สวี่ซูหานถาม แต่หลิงม่อกลับเดินเข้าไปในทางเดินที่ไร้เงาคนเส้นนั้นแล้ว
เขาวางมือข้างหนึ่งบนผนัง ขณะที่ตาจ้องเขม็งไปข้างหน้า ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า
“มีบางอย่างไม่ปกติ…”
ทันใดนั้น มือของหลิงม่อหยุดชะงักอยู่ที่จุดหนึ่ง
“มีอะไรงั้นหรอ?” ซย่าน่าเองก็หยุดเดิน และคว้าแขนหลี่ย่าหลินให้หยุดเดินตาม
“ไม่ถูกต้อง…ต้องมีอะไรไม่ถูกต้องแน่นอน…”
หลิงม่อดูร้อนรน อยู่ๆ เขาก็เริ่มคลำหาบนผนังอย่างบ้าคลั่ง การกระทำอย่างนั้นของเขาทำให้สวี่ซูหานที่ยืนอยู่ตรงทางแยกอดขมวดคิ้วไม่ได้
“หลิงม่อ เพราะนายกังวลมากไปหรือเปล่าเลย…”
“ตรงนี้! ตรงนี้แหละ!”
อยู่ๆ หลิงม่อก็ร้องเสียงดังแทรกขึ้นมา
เขามือกดบนผนังจุดหนึ่ง บอกว่า “สัมผัสมือตรงนี้…ไม่เหมือนกับจุดอื่นเลย…”
“ฉัน…ฉันไม่เข้าใจ…” สวี่ซูหานสะดุ้งเสียงร้องของเขา แล้วพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
ตลอดทางมานี้ ทุกคนสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ไม่ว่าเธอจะดูยังไง ก็ดูไม่ออกว่าผนังจุดนั้นแตกต่างจากจุดอื่นอย่างไร สวี่ซูหานอดคิดในใจไม่ได้ ว่าเป็นเพราะหาเย่เลี่ยนไม่เจอหรือเปล่า อารมณ์ของหลิงม่อถึงได้เริ่มปะทุขึ้นมา? ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ งั้นเธอควร…
“เธอรู้ไหมว่าฉันรู้ได้ยังไง? ตรงนี้ มีพลังปิดกั้นต่อพลังจิตของฉันรุนแรงกว่าที่อื่น!”
พอคำนี้ถูกพูดออกไป สวี่ซูหานถึงเพิ่งเบิกตากว้าง ที่แท้หลิงม่อก็ใช้พลังจิตสแกนพื้นที่เหล่านี้มาโดยตลอด…ต้องใช้สมาธิสูงขนาดไหนถึงจะทำอย่างนี้ได้? และในสถานการณ์ที่พลังจิตถูกผิดกั้นอย่างนี้ เขากลับไม่คิดจะยอมแพ้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับใช้ประโยชน์จากพลังปิด เพื่อมองหาช่องโหว่ประเภทนี้…
การไตร่ตรองที่ใจเย็นรอบคอบอย่างนี้ น่าทึ่งเกินไปแล้ว!
โครม!
หลิงม่อยกเท้าขึ้นถีบผนังตรงนั้นอย่างแรง
เมื่อเรี่ยวแรงส่วนใหญ่ของเขาวืดไปกลางอากาศมากกว่า ฝุ่นพลันตลบคลุ้งตรงหน้าเขาทันใด ไม่นาน ฝุ่นพวกนั้นก็เริ่มบางตาลง และตรงหน้าของหลิงม่อ ก็ปรากฏทางเดินที่พาดยาวออกไปขึ้นมาเส้นหนึ่ง…นี่มันไม่ใช่ทางตัน แม้แต่ผนังนี้ ก็ไม่มีอยู่จริง…มันพังลงไปนานแล้ว และอีกด้านหนึ่งของผนังพังๆ นี้ ก็คือเด็กผู้หญิงที่กำลังยืนหันหลังให้เขา รวมถึงเงาร่างอันคุ้นเคยที่กำลังยืนพิงกำแพง เบิกตากว้างจ้องมาที่เขาอยู่ข้างหน้านั้น…
“พี่หลิง…รีบหนีไปเร็ว!” เย่เลี่ยนส่ายหน้าให้เขา พลันตะโกนเสียงดัง
หลิงม่อรู้สึกว่าหัวใจกระตุกแรงๆ หนึ่งครั้ง…ทุกสิ่งรอบข้างแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดและเชื่องช้าลงอย่างไร้ที่เปรียบ รวมถึงเสียงหัวเราะของเด็กผู้หญิงนั่น และท่วงท่าที่มันหมุนตัวกลับมา มีเพียงเสียงของเย่เลี่ยนที่ดังก้องอยู่ในหูเขา ดังก้องอยู่ในสมองของเขา
เวลาผ่านไปหนึ่งปี เขาได้ยินประโยคนี้อีกครั้ง ครั้งที่แล้วตอนที่ได้ยินมัน เธอยังเป็นมนุษย์อยู่ และเสียงของเธอ ก็ดังมาจากปลายสายโทรศัพท์ ครั้งนี้ เธอเป็นซอมบี้ แต่สายตาของเธอ สีหน้าของเธอ กลับทำให้หลิงม่อเห็นภาพลวงตาทับซ้อนขึ้นมาชั่วขณะ
เธอไม่เคยเปลี่ยน สิ่งที่เขาเห็น คือเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังถือโทรศัพท์ และมองดูรถโดยสารพุ่งชนเข้ามาข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง…เพียงแต่ครั้งนี้ เธอไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่อยู่ข้างหน้ารถโดยสาร ไม่ใช่ตรอกเล็กๆ ที่จะขังเธอไว้ตรงนั้นอีกแล้ว แต่เป็นผู้ชายอีกคนที่กำลังกำมือถือไว้…
“รีบหนีไปเร็วสิ!” เย่เลี่ยนตะโกนเสียงดัง เธอพยายามขยับร่างกาย แต่ด้วยสภาพร่างกายของเธอในตอนนี้ เธอเคลื่อนไหวได้ช้ากว่าเด็กผู้หญิงนั่นมาก…
“ครั้งนี้ไม่หนีแล้ว” หลิงม่อพูดเสียงเบา
“พี่หลิง!” เย่เลี่ยนตะโกน
เวลานี้ เด็กผู้หญิงได้หมุนตัวมาทางเขาแล้ว เธอกำลังเอียงคอหัวเราะ และค่อยๆ เดินมาทางหลิงม่อ
ครั้งนี้ ไม่ได้ยินเสียงสายไม่ว่างจากปลายสายอีกแล้ว…
ครั้งนี้ จะไม่ยืนอึ้งอยู่กับที่อีกแล้ว…
ครั้งนี้ จะไม่ชกผนังเพราะไม่มีปัญญาทำอะไรอีกแล้ว…
“จริงๆ นะ ครั้งนี้จะไม่หนีแล้ว” หลิงม่อพูดซ้ำ
เด็กผู้หญิงนั่นกระโจนมาเข้ามาตรงหน้าหลิงม่อ มันยกหมัดขึ้นเหวี่ยงไปที่หัวหลิงม่อตรงๆ ปากก็พูดเสียงกลั้วหัวเราะ “จับได้ตัวหนึ่งแล้ว!”
“หลิงม่อ!”
สวี่ซูหานพุ่งตัวเข้าไป พวกซย่าน่าเองก็พุ่งตัวเข้าไปเช่นกัน ขณะเดียวกันพวกมู่เฉินที่ได้ยินเสียง ก็กำลังหมุนตัวพุ่งเข้ามา…
แต่เย่เลี่ยนที่อยู่ใกล้ที่สุดกลับรู้สึกว่า ตัวเองยังคงช้าเกินไป…
“ตายซะเถอะ” เด็กผู้หญิงหัวเราะ
โครมม!
หลังผ่านไปนาน หรือบางทีอาจเพียงหนึ่งวินาทีต่อมา…
“เอ๋?” เด็กผู้หญิงค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ มองเงาร่างที่อยู่ตรงหน้าอย่างงุนงง
หลิงม่อ…รับหมัดของมันไว้
เขาจ้องมันด้วยสายตาที่เยือกเย็นสุดๆ บนใบหน้าไม่ปรากฏร่องรอยบ่งบอกความรู้สึกใดๆ
“เอ๋?” เด็กผู้หญิงพูดอย่างตกตะลึง “แก…แกต้องตายไปแล้วไม่ใช่หรอ?”
เวลานี้ ทุกคนต่างวิ่งพุ่งเข้ามารวมตัวกันอยู่ใกล้ๆ อย่างบ้าคลั่ง แต่พอเห็นภาพนี้ และได้ยินมันพูด พวกเขากลับชะงักงัน
ถึงแม้เมื่อกี้ทุกคนต่างร้องภาวนาในใจ ขออย่าให้หลิงม่อเป็นอะไร แต่ภาพเหตุการณ์นี้…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“แก…”
“แกน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อพูดแทรก และย้อนถาม
ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ เด็กผู้หญิงชะงัก ไม่นาน สีหน้าตกตะลึงก็ค่อยๆ เลือนหายจากใบหน้า
“คิกๆๆๆ…” มันหัวเราะ พลางถาม “แกรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“หนึ่งวินาทีก่อน” หลิงม่อบอก
เด็กผู้หญิงเบิกตากว้างอีกครั้ง “อะไรนะ?! ถ้าอย่างนั้น…” ทว่าไม่นาน สีหน้าของมันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ยังคงยิ้มตาหยีแล้วถามว่า “คิกๆ ฉันเข้าใจแล้ว แกไม่ได้รู้อะไรมาก ใช่ไหมล่ะ?”
“ก็อาจจะ…” หลิงม่อบอก
“พี่หลิง…นี่มันอะไรกัน ทำไมพี่…แล้วมันอีก…” เย่เลี่ยนเดินมาหยุดข้างเขา แล้วถามอย่างสงสัย ดวงตาของเธอกลับมาเป็นปกติ เสียงพูดก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมเช่นกัน
หลิงม่อมองเธออย่างอ่อนโยน จากนั้นก็หันกลับไปมองเด็กผู้หญิงอย่างเย็นชาอีกครั้ง บอกว่า “ทุกคนอยากรู้ว่าทำไมมันถึงโจมตีไม่สำเร็จ ใช่ไหม? ความจริงคำตอบง่ายมาก เพราะว่ามัน ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงไงล่ะ”
“หมายความว่ายังไง?”
ทุกคนตกตะลึง อวี่เหวินซวนรีบถาม “จะเป็นไปได้ยังไง พวกเรายังเคยสู้กับมันเลยไม่ใช่หรอ?”
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรอ ให้ลองนึกย้อนไปตอนที่พวกเราสู้กับมันดู” หลิงม่อบอก
“นั่นมันก็ บอกได้แค่ว่า…มันแข็งแกร่งมากไม่ใช่หรอ…” สวี่ซูหานตอบ
“ถูกต้องแล้ว ความทรงจำที่มันสร้างไว้ให้เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ถ้าคิดดูดีๆ พวกเรารู้สึกว่ามันแข็งแกร่งเพราะมันลงมือใช่ไหม? ไม่สิ เพราะว่าทันทีที่มันปรากฏตัว มันก็ทำให้พวกเรารู้สึกกดดันมาก หรือพูดอีกอย่างก็คือในสมองของเรามีความคิดที่ว่ามันแข็งแกร่งมากอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นถึงค่อยแพ้ให้กับมันอย่างหมดท่าในการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตามมาทีหลัง สิ่งที่มันทำให้ฉันไม่เข้าใจมากที่สุด ก็คืออวี่เหวินซวนที่ถูกซัดกระเด็นออกไปไม่บาดเจ็บ กลับมีแค่ฉันที่บาดเจ็บ…ทำไมล่ะ?”
ขณะที่หลิงม่อพูด เขาจ้องเด็กผู้หญิงตลอดเวลา แรกเริ่มใบหน้าของมันยังคงมีรอยยิ้ม แต่เมื่อผ่านไปไม่นาน รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ ค้างเติ่งไป…
“เพราะว่ามันเป็นร่างดวงจิต…” ซย่าน่าพูดพึมพำ
“ใช่แล้ว!” หลิงม่อพยักหน้า “มันเป็นแค่ร่างดวงจิต…ดังนั้นความจริงแล้วมันทำได้เพียงใช้พลังจิตสร้างแรงกดดันให้พวกเรา และสร้างภาพลงตาต่างๆ นานา กระทั่งความรู้สึกสมจริงที่เกิดขึ้นระหว่างสู้กันเท่านั้น และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมมันยังกระโดดโลดเต้นได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา ทั้งที่ตัวมันมีแต่แผล แล้วก็เด็กโง่ มันไม่มีทางได้รับบาดเจ็บด้วยวิธีนี้หรอก…แต่ถ้าหากเมื่อใดมันทำให้คู่ต่อสู้เชื่อว่าตัวเองกำลังตายในเงื้อมมือมัน ผ่านประสบการณ์สมจริงและการบอกใบ้ทีละขั้นๆ ในวินาทีที่มันลงมือ จิตวิญญาณของอีกฝ่ายก็จะแตกซ่าน และมันก็จะฉวยโอกาสนั้นเข้าไปควบคุมร่างกายของอีกฝ่าย…ฉันไม่ได้พูดผิดใช่ไหมล่ะ?”
ทุกคนนึกถึงเหมียวเจ๋อขึ้นมาทันที…คนคนนั้นคงจะถูกควบคุมไปแล้วสินะ
“ก็ถูกเสียส่วนมาก…แกน่าจะรู้ว่าการควบคุมพวกนั้น เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของฉัน” สีหน้าของเด็กผู้หญิงได้เปลี่ยนไปกลายเป็นเย็นชาสุดขีดแล้ว เสียงของมันก็ฟังดูเยือกเย็น มันกลอกตา จ้องหลิงม่อเขม็ง “แกดูออกเพราะแค่เรื่องพวกนี้หรอ?”
“แน่นอนว่ายังมีปัญหาอีกมากที่ชี้มายังช่องโหว่นี้…ทั้งที่แกมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับเอาแต่เล่นเกมต่างๆ นานา แค่เรื่องนี้ก็ทำให้ฉันแปลกใจมากแล้ว ส่วนปัญหาที่ฉันยังคิดไม่ออก ฉันย่อมต้องใช้ความคิดเพื่อไขมันให้กระจ่างอย่างสุดความสามารถอยู่แล้ว” หลิงม่อบอก
“ถือว่าแกเก่งใช้ได้…เดิมที่ฉันตั้งใจจะควบคุมเธอ แล้วค่อยมาเล่นสนุกกับแก” เด็กผู้หญิงเหลือบมองเย่เลี่ยน พูดอย่างเย็นชา “แต่ถึงแม้ว่าแกจะเดาถูกหมด แล้วยังไงล่ะ? ฉันเป็นแค่ร่างดวงจิต แต่ถ้าพูดกันตรงๆ ฉันอาจหายตัวไปต่อหน้าต่อหน้าพวกแกเมื่อไหร่ก็ได้”
“แกลองดูสิ…” หลิงม่อบอก
“แกยังคิดว่า…” เด็กผู้หญิงหัวเราะเย็นชา ตอนที่มันหมายจะสลายเงาร่าง กลับต้องเผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา ไม่นาน มันดิ้นขัดขืนอย่างรุนแรงอยู่กลางอากาศ
แต่ไม่ว่ามันจะยืดร่างกายตัวเองให้เหยียดยาวยังไง มันก็ไม่สามารถหายตัวได้…
“นี่มันอะไรกัน…ที่นี่…นี่มันตาข่ายอะไรกัน!”
เด็กผู้หญิงค้นพบอย่างรวดเร็ว ตาข่ายไร้รูปผืนหนึ่งพลันแผ่ขยายออกทันใด โดยมีมืออีกข้างของหลิงม่อเป็นจุดศูนย์กลาง ตาข่ายผืนนั้นคลอบตัวมันไว้ ยากสลัดหลุด
ผ่านไปไม่นาน ร่างกายของมันก็เริ่มยืดยาวออกเป็นเงาดำทะมึนเส้นหนึ่ง เหลือไว้เพียงดวงตาที่ยังคงอยู่คู่นั้น เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกลายสภาพไปเป็นอย่างนั้นต่อหน้าต่อตา ทุกคนต่างอดเบิกตาค้างไม่ได้
“จับฉันไปก็ไม่มีประโยชน์!” มันกรีดร้องอยู่กลางอากาศ
“แกเองก็คงมีเรื่องที่อยากรู้มากอยู่เหมือนกันใช่ไหม? อย่างเช่นว่า ฉันทำอะไรกับพวกมันในห้องนั้น? ฉันฆ่าพวกมันยังไง?” อยู่ๆ หลิงม่อก็ถามขึ้น
เงาดำเส้นนั้นไม่สนใจเขา มันยังคงกรีดร้องเสียงแหลม ดิ้นรนขัดขืน แต่ที่ทำให้มันผิดคาดคือ พลังงานทางจิตของหลิงม่อเหมือนจะพุ่งทะลักออกมาอย่างต่อเนื่องไม่มีวันหมด…ภายใต้สถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างประลองการเผาผลาญพลังจิตอย่างบ้าคลั่ง เขากลับยังคงจ้องหน้ามันด้วยสีหน้าเรียบเฉย…
“เดี๋ยวแกก็ได้รู้แล้ว…” หลิงม่อพูดอย่างใจเย็น
———————————–