แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1033 “เฟิ่งจื่อ” ไปตายซะ
บรรยากาศพลันแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด…หลิงม่อมองเย่เลี่ยน ในใจอดคิดไม่ได้ “ทำไมเด็กโง่ถึงได้พูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมา?”
การที่เธอพูดออกมาได้คล่องขนาดนี้ แสดงว่าไม่ได้เพิ่งคิดออกแน่ๆ…นึกย้อนไปแล้ว ก่อนที่จะโจมตีร่างแม่ตัวนั้น หลิงม่อยังเห็นสมุดบันทึกลึกลับเล่มนั้นแวบๆ…ตอนนั้นสมุดอยู่ในมือร่างแม่ตัวนั้น แต่มันโยนทิ้งไปขณะที่ดิ้นขัดขืน ส่วนตอนนี้…
หลิงม่ออดมองไปที่กระเป๋าของเย่เลี่ยนไม่ได้ สมุดเล่มนั้นถูกซ่อนไว้ในนั้นมานานมาก ข้างในเขียนอะไรไว้บ้างกันแน่?
เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดถึงเรื่องนี้ หลิงม่อครุ่นคิด สุดท้ายก็โยนความคิดสับสนยุ่งเหยิงพวกนั้นทิ้งไป
“แรงผลักดันและเหตุผลล้วนรู้แล้ว…แต่…”
หลิงม่อเพิ่งจะเปิดปาก หลี่ย่าหลินก็ถามขึ้น “แต่ฉันก็ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ…ในเมื่อมันเป็นตัวทดลองที่ว่านั่นอยู่แล้ว และนายก็ทำลายมันไปแล้ว แล้วเรื่องนี้ยังมีอะไรน่าเป็นห่วงอีกงั้นหรอ? นายเพิ่งได้สติ นอนพักซักหน่อยก่อนดีกว่า…”
“ไม่ ตรงกันข้ามเลยล่ะ…” ซย่าน่ากลับบีบคางด้วยสีหน้านิ่งขรึม “เพราะแบบนี้ พี่หลิงถึงได้กังวลขนาดนี้…”
“หมายความว่าอะไรอีกล่ะนั่น? ฉันมึนกับพวกเธอแล้วนะ…” หลี่ย่าหลินประคองศีรษะ
“ซย่าน่าพูดถูกแล้ว” หลิงม่อพยักหน้า “เพราะพวกเราสามารถวิเคราะห์เรื่องนี้จนกระจ่างโดยอาศัยเบาะแสต่างๆ ดังนั้นเรื่องนี้ถึงได้แปลกขนาดนี้ไงล่ะ ลองคิดดู ร่างแม่ตัวนั้นแฝงตัวอยู่ท่ามกลางมนุษย์มานานเท่าไหร่แล้ว? มันเล่นงานคนมากมายขนาดนั้นได้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่เพราะบังเอิญ หรือเพราะโชคช่วยอย่างแน่นอน แต่มันเป็นเพราะว่า…”
เขาชี้ไปที่หัว แล้วพูดต่อว่า “สามารถทำให้ร่างดวงจิตของตัวเองแยกออกจากร่างจริง จนกลายเป็นร่างดวงจิตที่มีอยู่อย่างอิสระได้ แล้วยังสามารถรุกล้ำและส่งผลกระทบต่อความคิดของคนอื่น นี่ไม่ได้บ่งบอกถึงพลังงานทางจิตที่แข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว แต่ยังบ่งบอกถึงปัญหาบางอย่างอีกด้วย…”
“มันฉลาดมาก” ซย่าน่าตอบ เธอเบิกตากว้าง แล้วพูดต่อ “มันมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นมันไม่มีทางทำผิดพลาดในเรื่องที่สำคัญขนาดนี้ ถึงแม้มันจะคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกฆ่า แต่มันก็ไม่น่าจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้มีพลังจิตง่ายๆ แบบนั้น แต่ตอนนั้นมันกลับ…พี่หลิง ระหว่างที่พี่ฆ่ามัน พี่ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรอ?”
“ฉันกำลังสงสัยเพราะเหตุผลนี้แหละ!” หลิงม่อบอก “ตอนที่ฉันกำลังกลืนกินมัน ฉันมองไม่เห็นภาพความทรงจำอะไรเลย!มันเหมือนพลังงานทางจิตกลุ่มหนึ่งมากกว่า! ถึงแม้ตอนนี้ดวงแสงแห่งงจิตของฉันจะสามารถวิวัฒนาการได้ทุกเมื่อ แต่…”
แต่เจ้าร่างแม่ตัวนั้น มีบางอย่างแปลกๆ…
มันคิดว่าตัวเองไม่มีทางตาย แต่ถึงแม้มีความเป็นไปได้เพียงน้อยนิด มันก็น่าจะเคยพิจารณามาก่อนไม่ใช่หรอ?
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้มัน เป็นยังไงไปแล้วกันแน่…
ในท่อน้ำทิ้งใต้ดิน
อวี่เหวินซวนอยู่กับสวี่ซูหาน ทั้งคู่กำลังกลับไปที่ทางออกเส้นเดิมที่พวกเขาออกมา
ภารกิจของพวกเขาคือไปนำตัวทดลองกลับมาสองตัว และภารกิจอย่างนี้ก็มีแต่ต้องลงไปใต้ดินเท่านั้นจึงจะสำเร็จ
ตอนแรกสวี่ซูหานนึกถึงตึกใหญ่หลังนั้นที่เธอเข้าไปกับหลิงม่อ แต่พอคิดว่าในตึกหลังนั้นอาจเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดประเภทนั้นแล้ว เธอก็ล้มเลิกตัวเลือกนั้นไปอย่างอดสั่นขวัญแขวน เทียบกับสถานที่อย่างนั้น เธอยอมลงมาเสี่ยงอันตรายใต้พื้นดินดีกว่า
อย่างน้อยในสถานการณ์ที่ร่างแม่ตายไปแล้ว สัตว์ประหลาดเหล่านั้นก็น่าจะสูญเสียทิศทางและเป้าหมาย ไม่แน่ว่าตอนนี้พวกมันอาจกระจายตัวเร่ร่อนไปมาอยู่ในท้อน้ำทิ้งแล้วก็ได้…ขอแค่ระวังตัวหน่อย ไม่นานก็ได้กลับขึ้นไปข้างบนแล้ว
“ผู้ประกาศข่าวสวี่” อวี่เหวินซวนส่งเสียงมาจากข้างหน้า “วันนี้เป็นวันที่ยาวนานมากเลย ว่าไหม?”
“หา?” อยู่ๆ เฟิ่งจื่อก็พูดคุยอย่างจริงจังขึ้นมาอย่างนี้ กลับทำให้สวี่ซูหายอึ้งงัน หลังจากที่ร้องออกไปอย่างตกใจ เธอก็รีบพูดว่า “อ้อ…ใช่แล้ว…เพราะไม่คิดว่ามีโลกใต้ดินแบบนี้อยู่ด้วยล่ะมั้ง…เมื่อก่อนคิดมาตลอด ว่าซอมบี้เป็นสัตว์ประหลาดเพียงหนึ่งเดียวในโลกใบนี้…” พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเธอฟังดูหนักอึ้ง…
ทว่าไม่นานเธอก็ได้สติ แล้วหัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อนความรู้สึกเมื่อครู่ “ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือซอมบี้ ก็ทำได้แค่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงพวกนี้…”
“ก็ไม่ทั้งหมดหรอกมั้ง…ก็เหมือนกับเธอตอนนี้ เธอก็ยังใช้น้ำเสียงเหมือนตอนจัดรายการอยู่เลยไม่ใช่หรอ?” อวี่เหวินซวนหัวเราะ พลางพูดขึ้น
“งะ…งั้นหรอ…” สวี่ซูหานอดบีบนวดคอเบาๆ ไม่ได้
“ผู้ประกาศข่าวสวี่ ทำไมเธอต้องตามหลิงม่อออกมาด้วย?” อวี่เหวินซวนถาม น้ำเสียงพลันแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด
เห็นชัดว่าสวี่ซูหานยังไม่ชินกับการเปลี่ยนอารมณ์กะทันหันอย่างนี้ของเขา หลังจากชะงักงันไปครู่หนึ่ง เธอก็ย้อนถามอย่างกระอักกระอ่วน “แล้วทำไมนายถึงตามหลิงม่อออกมา? ฉันหมายถึง…ถึงยังไงนายก็เป็นลูกพี่ของค่ายปาฏิหาริย์…อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง…ขอโทษที ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าควรบรรยายความสัมพันธ์ระหว่างพวกนายยังไงดี…”
“อุวะฮ่าฮ่า…ไม่เป็นไรๆ” อวี่เหวินซวนหัวเราะ บอกว่า “ฉันหรอ…ถ้าพูดอย่างลึกซึ้ง ฉันออกมาเพื่อค้นหาตัวเอง…เธอเองก็น่าจะมีความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกันใช่ไหม? ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ก็มักจะรู้สึกว่าเจ้าบ้าหลิงม่อนั่นน่าอิจฉามาก มีน้องสาวฉันย่าหลิน มีเย่เลี่ยน มีซย่าน่า แล้วยังมีสาวน้อยคนนั้น กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นั่นอีก…”
“คือว่า…ฉันว่าพวกเธอสองคนไม่ใช่…”
“แล้วยังมีเธอด้วย” อวี่เหวินซวนพูดต่อเหมือนไม่ได้ยิน
“กรี๊ด!” สวี่ซูหานสะดุ้ง ยกมือโอบหัว
ได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมๆ อวี่เหวินซวนพลันชะงักไป และรีบหันกลับไปมอง แต่สิ่งที่เขาเห็น กลับเป็นสวี่ซูหานที่ขดตัวกลม และตัวสั่นเบาๆ
หลังจากสบตากันเงียบๆ สองวินาที อวี่เหวินซวนถาม “นี่มันปฏิกิริยาอะไรของเธอ?”
“ฉะ…ฉันตกใจ…” สวี่ซูหานเองก็ไม่คิดว่าอารมณ์หวาดกลัวของตัวเองจะระเบิดออกมาตอนนี้…ที่แย่ที่สุดคือ หัวใจเธอยังเต้นแรงมาก แก้มก็ร้อนจนผิดปกติ ดีที่แสงไฟฉายแบบพกพาไม่ได้สว่างขนาดนั้น เจ้าเฟิ่งจื่อคงมองไม่เห็นหรอกมั้ง…
“แต่หน้าเธอแดงมากเลยนะ”
“…ฉันเป็นแบบนี้เวลาตกใจ เอาเป็นว่า…ฉันไม่ได้เป็น…แบบนั้นกับหลิงม่อ” สวี่ซูหานพูดเสียงอู้อี้เหมือนเสียงยุง “อย่าพูดมั่วๆ อีก!”
“อ้อ…กลับไปพูดเรื่องเม่อกี้ต่อ…ยังมีเธอ แล้วก็คนของกองกำลัง F นั่นด้วย…แล้วยังมี…”
“นี่นายฟังที่คนอื่นเขาพูดบ้างหรือเปล่าเนี่ย!”
“สรุปก็คือ ฉันอิจฉาหมอนั่นมาก” อวี่เหวินซวนพึมพำ
สวี่ซูหานฟังเขานับเลขมากขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะรู้สึกแปลบๆ ขึ้นมาจริงๆ เธอกลอกตาขาว แค่นเสียงบอกว่า “ใช่น่ะสิ ผู้ชายก็เป็นอย่างนี้กันหมดแหละ…”
“อุวะฮ่าฮ่า…ไม่ใช่ เธอเข้าใจผิดประเด็นแล้ว” อวี่เหวินซวนส่ายหน้า “ที่ฉันอิจฉาคือ หลิงม่อมีทั้งคนที่รักเขา และคนที่เขารักอยู่ข้างกาย เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม?”
“อย่างนี้เองหรอ…” ตอนแรกสวี่ซูหานยังรู้สึกทะแม่งๆ…เธอย่อมเข้าใจสิ่งที่อวี่เหวินซวนพูดอยู่แล้ว เรื่องอย่างนี้ เขาอิจฉา เธอก็อิจฉาเหมือนกัน…
“เห็นฉันสภาพอย่างนี้…แต่เมื่อก่อน ฉันก็เคยมีเหมือนกันนะ…” อยู่ๆ อวี่เหวินซวนก็ถอนหายใจ
“อย่างนั้นหรอ…แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับที่นายตามหลิงม่อออกมาตรงไหน? หรือว่านายตั้งใจจะตามมาอิจฉาเขาอยู่ทุกวัน?” สวี่ซูหานพึมพำ
“ก็ไม่ทั้งหมดหรอก…”
“ไม่คิดว่าจะยอมรับจริงๆ!”
“ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอิจฉา อีกส่วนเป็นเพราะย่าหลิน…แล้วก็ยังมีอีกส่วน เป็นเพราะความคิดเพ้อเจ้อลมๆ แล้งๆ อย่างหนึ่งของฉัน” อวี่เหวินซวนบอก
“ความคิดเพ้อเจ้อ…คืออะไร?” สวี่ซูหานเดิมหมายจะเยาะเย้ย แต่พอฟังมาถึงตรงนี้ เธอกลับรู้สึกเหมือนน้ำเสียงของอวี่เหวินซวนเปลี่ยนไปจากเดิม…ตอนที่พูดถึงความคิดเพ้อเจ้อนี้ เขากลับมีดูมีความสุขมาก….
“ในเมื่อบอกว่าเป็นความคิดเพ้อเจ้อ พูดออกมาก็คงไม่มีความหมาย แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าจะทำมันให้เป็นจริงได้หรือเปล่า ค่อยๆ ดูไปทีละก้าวๆ แล้วกัน แต่พอเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยฉันก็รู้แล้วว่าตัวเองเข้าใกล้ความคิดเพ้อเจ้อนั้นแล้ว ไม่ว่าสุดท้ายจะทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้หรือไม่ แต่ยังไงฉันก็กำลังเดินหน้าอยู่ แต่ถ้าหากหยุดอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง แม้มีความหวังอยู่ ก็ไม่มีโอกาสทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้หรอก ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันคงจะกลายเป็นคนบ้าไปจริงๆ” อวี่เหวินซวนพ่นลมหายใจยาวๆ พลางบอก
“อย่างนี้เองหรอ…” สวี่ซูหานได้ยินก็หดหู่ใจ เธอครุ่นคิด แล้วถาม “แต่ว่า…ทำไมนายถึงบอกเรื่องพวกนี้กับฉัน?”
อวี่เหวินซวนชะงัก หันกลับมาชี้ที่หูฟังเธอ บอกว่า “เธอกำลังอัดเสียงไม่ใช่หรอ? เดาว่าคงเก็บไว้ให้มนุษย์ผู้รอดชีวิตในอนาคต ใช่ไหม? บางครั้งฉันก็คิดอยากเหลืออะไรทิ้งไว้บ้างเหมือนกัน…อีกอย่าง เธอยังสามารถเผยความในใจออกมาได้ด้วย…”
สวี่ซูหานอึ้ง จากนั้นก็มองเงาร่างของอวี่เหวินซวนที่เดินหน้าต่อไปอย่างปากอ้าตาค้าง…
“เจ้าเฟิ่งจื่อไปตายซะ!”
ก๊อก! ก๊อกๆ!
อวี่เหวินซวนใช้นิ้วเคาะผนัง จากนั้นก็ตะโกนเสียงเบา “ตรงนี้แหละ”
ก่อนจะผลักออก เขาแนบหูติดผนังเพื่อฟังเสียง จากนั้นค่อยหันมาส่งสัญญาณมือให้สวี่ซูหาน เป็นเชิงบอกว่าเขาจะลงมือแล้ว
สวี่ซูหานถลึงตาจ้องเขาอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็พยักหน้า
“หนึ่ง…สอง!”
อวี่เหวินซวนหมายจะออกแรง แต่ทันใดนั้น เขากลับพบว่าช่องทางเดินนี้ราวกับสั่นสะเทือนชั่วขณะ
เขาสะดุ้ง กำลังคิดจะยืนยันว่าเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า แต่แรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงกว่ากลับแผ่มาอีกครั้ง
ทั้งสองยืนอยู่บนพื้น ต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงสะเทือนใต้เท้าที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง…ราวกับมีสัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วพร้อมกันอย่างไรอย่างนั้น…
“เกิดอะไรขึ้น?” สวี่ซูหานขยับตัวอย่างตกตะลึง พลันก้มมองพื้น
อวี่เหวินซวนชะงักงัน จากนั้นก็รีบหันไปมองผนังกั้นที่ถูกสร้างขึ้นชั่วคราว
ตุบตับๆๆ…
ดินโคลนบนผนังร่วงหล่นลงมาอย่างต่อเนื่อง อวี่เหวินซวนจ้องมันค้างอยู่อย่างนั้น ความหวาดกลัวในสายตาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ…
“นี่มันอะไรกันแน่…” สวี่ซูหานสะดุ้งสุดขีด เธอได้ยินแล้ว…
เมื่อดินบนผนังเริ่มแตกออกเป็นแผ่นและร่วงลงมา ในที่สุดอวี่เหวินซวนก็ก้าวถอยหลัง พลันตะโกนออกมาสั้นๆ คำเดียว “วิ่ง!”
โบ้มมม!
ในเสี้ยววินาทีที่ทั้งสองหมุนตัว ผนังตรงนั้นพลันปรากฏรูขนาดใหญ่ขึ้นมาหนึ่งรู เมื่อผนังถล่มลงมาทั้งหมด อุ้งเท้าที่เต็มไปด้วยไอหมอกมืดข้างหนึ่งพลันยื่นออกมาจากข้างใน
ขณะเดียวกัน เสียงคำรามกึกก้องก็ดังมาจากส่วนลึกของช่องทางเดิน “โฮกกก!”
———————————–