แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1039 ห่วงโซ่มหันตภัย
“โฮกก โฮกกก!”
ทันใดนั้น เสียงคำรามหนึ่งดังขัดจังหวะขึ้นพอดี ไม่นาน เสียงกรีดร้องมากมายดังระงมตามมาติดๆ อสุรกายนรกล้อวงกัน และรออยู่ข้างล่างอย่างอดทน…
“ชิท! จะกลัวอะไร! อย่างมากก็แค่สู้ตายเท่านั้นเอง!” เย่ไคคำรามเสียงต่ำอย่างเดือดดาล
“จะสู้ยังไง? บาดเจ็บก็เท่ากับตาย…นายคิดว่าตัวเองจะสู้ได้จริงหรอ?” มู่เฉินเหล่มองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดขึ้น
ถึงแม้ทั้งสองกำลังทะเลาะกัน แต่สายตาของทั้งคู่กลับหันไปมองหลิงม่อเป็นตาเดียว รอให้หัวหน้าทีมของพวกเขาเปิดปาก คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็มีปฏิกิริยาเดียวกัน…โดยไม่รู้ตัว ทีมเฉพาะกิจที่เอาแต่ต่อล้อต่อเถียงกันมาโดยตลอด กลับมีความคิดเห็นที่ตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก นั่นก็คือ — เชื่อในตัวหลิงม่อ…
“เฮ้ย อย่ามาทำหน้าแบบ ‘เรื่องวุ่นวายพวกนี้เป็นหน้าที่ของนายแล้ว’ เหมือนมันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้วได้ไหม! ทำมาเป็นพูดให้ดูหรูว่าเชื่อใจ แต่ในใจพวกนาย ความจริงคงกำลังคิดว่า… ‘ยังไงนายก็เป็นหัวหน้า นายต้องหาทางรับมือ’ อย่างนี้ต่างหากล่ะ!” หลิงม่อพูดอย่างหงุดหงิด
“ใช่ที่ไหน…”
“ถึงจะใกล้เคียง…แต่นายพูดตรงขนาดนี้ทำเอาคนเขารู้สึกแย่หมดเลยนะ…”
“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ! พวกฉันก็อุตส่าห์ก้มหน้ายอมให้นายชี้ชะตาได้เต็มที่แล้ว นายยังต้องการอะไรอีก…” มู่เฉินบ่นหน้าบึ้งตึง
“เอาเป็นว่า…ทุกคนใจเย็นๆ ก่อนแล้วกัน” หลิงม่อบอก
ทั้งหมดต่างพากันเงียบอีกครั้ง…ถูกเขาพูดทำลายบรรยากาศอย่างนี้เข้า กลับทำให้พวกเขาตื่นจากความลนลาน อาการขวัญหนีดีฝ่อที่เกิดขึ้นตอนมองสัตว์ประหลาดพวกนั้น ก็ลดลงไปไม่น้อยแล้วเหมือนกัน…
“อวี่เหวิน ฝั่งนายยังต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน?” อยู่ๆ หลิงม่อก็ถามขึ้น
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน…แต่อย่างน้อยก็ต้องห้านาที” อวี่เหวินซวนที่ไม่พูดไม่จามาตลอดเงยหน้า ดึงมือออกจากกระเป๋า แล้วตอบ
“ถ้าอย่างนั้น…ยืนหยัดสุดกำลังให้ได้ห้านาที” หลิงม่อหันไปมองทุกคน แล้วพูดขึ้น
ห้านาที…
ท่ามกลางวงล้อมสัตว์ประหลาดมากมายขนาดนี้ แค่หนึ่งวินาทีก็ทรมานแสนสาหัสแล้ว…ยิ่งกว่านั้น ห้านาทีนี้ต้องไม่ใช่แค่การคุมเชิงกันอย่างเดียวแน่นอน…อสุรกายพวกนั้น พวกมันจะรอได้นานแค่ไหนกันเชียว? หนึ่งนาที? หรือว่าสองนาที? ไม่ว่าอย่างไร ในห้านาทีนี้ พวกมันจะต้องวิ่งขึ้นมาบนดาดฟ้าแห่งนี้แน่ๆ…
“อาคารข้างหน้าไม่เหมาะกับการต่อสู้มากกว่าที่นี่อีก…ถึงแม้พวกเราจะเคลื่อนย้ายต่อไป อย่างมากก็ถ่วงเวลาได้แค่สิบกว่าวินาทีเท่านั้น…ถ้าพวกมันไม่ปีนขึ้นมา เอาแต่วิ่งตามอยู่ข้างล่างอย่างเดียว วิธีการเคลื่อนย้ายก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป” หลังจากสำรวจสถานการณ์ด้านล่างเสร็จ ซย่าน่าก็กระโดดลงจากรั้วกั้น แล้วพูดขึ้น “สรุปก็คือ…พวกเราอยู่ที่นี่ แล้วยืนหยัดให้ได้ห้านาทีกันเถอะ”
ทุกคนต่างหันมามองหน้ากัน…เป็นอย่างที่ซย่าน่าพูดจริงๆ การเคลื่อนย้ายต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว สู้อยู่บนดาดฟ้าที่ค่อนข้างเอื้อประโยชน์ให้พวกเขา แล้วคิดหาทางที่จะผ่านห้านาทีอันยาวนานนี้ไปให้ได้ดีกว่า…แต่ว่า หลังจากผ่านห้านาทีนี้ไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?
“ทั้งหมด…ฟังคำสั่งของหัวหน้าทีม ไปสกัดกั้นประตูไว้ก่อน” มู่เฉินขัดจังหวะความคิดของทุกคน และดักทางไม่ให้พวกเขาถามอะไรด้วยเสียงเคร่งขรึม
หลังเงียบหนึ่งวินาที ทุกคนต่างเริ่มเคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็ว…
“พี่หลิง…” เย่เลี่ยนที่มองข้างล่างอยู่ตลอดเอียงคอหันมามองหลิงม่อที่เดินมายืนข้างๆ พลางเรียกขานเสียงเบา
“หื้ม?” หลิงม่อรับคำ
“พี่ว่า…พวกมันตามอะไร…มา?” เย่เลี่ยนก้มลงไปมองอสุรกายนรกพวกนั้นต่อ…เส้นผมของเธอพลิ้วไหวไปตามสายลม บดบังสีหน้าของเธอในยามนี้ แต่จากน้ำเสียงของเธอ หลิงม่อกลับยังคงฟังออก ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่คำถาม…หรือว่าระหว่างที่สู้กับร่างดวงจิตร่างนั้น เย่เลี่ยนไปรู้อะไรมา?
“พี่หลิง พี่เคยบอกไม่ใช่หรอ…” เย่เลี่ยนพูดอย่างแช่มช้า “หลังจากพวกมันจับคนได้…พวกมันไม่กิน…แล้วทำไมถึงได้ไล่ตามไม่เลิก? ซอมลี้ไล่ล่าคน…เพราะว่าหิวโหย…แต่พวกมันไล่ล่าคน เพื่ออะไรกัน?”
หลิงม่ออึ้งงัน จากนั้นไม่นานก็ขมวดคิ้ว ถึงแม้มีอาคารสูงสิบกว่าชั้นกั้นขวางไว้ แต่เขายังคงรู้สึกได้ว่าอสุรกายนรกพวกนั้นมองเห็นเขา…และพวกมันก็กำลังจ้องเขม็งมาที่เขา…สายตาอย่างนั้นเหมือนกับซอมบี้ ที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย…และละโมบ…
แล้วที่ไม่เหมือนล่ะ? ไม่เหมือนที่ตรงไหน?
หลิงม่อครุ่นคิดอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็เบิกตากว้างอย่างฉุกคิดขึ้นได้ ถูกต้องแล้ว ในสายตาของอสุรกายนรกพวกนี้ ไม่มีแววตาคลุ้มคลั่งปนอยู่…สายตาแบบนั้น มีแต่สัตว์ร้ายที่กำลังหิวโหยสุดขีดเท่านั้นที่สามารถแสดงออกมาได้…
“เด็กโง่ เธอพูดถูกแล้ว…” หลิงม่อนวดหว่างคิ้ว แล้วพูดอย่างตื่นเต้น “เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่กินพวกเรา…บางทีพวกเราอาจถูกฆ่า อาจถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แต่เป้าหมายในการฆ่าของพวกมันต่างจากซอมบี้โดยสิ้นเชิง อย่างน้อยจากจุดนี้ พวกมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตคนละสายพันธุ์กับซอมบี้แล้ว…เป้าหมายของซอมบี้ อาจพูดได้ว่าคือการทำลายล้างมนุษย์…แล้วอสุรกายพวกนี้ล่ะ? เป้าหมายของพวกมันคืออะไร?”
“เรื่องนี้ง่ายจะตายไป” ทันใดนั้น เสียงเล็กแหลมของเด็กดังมาจากด้านข้าง ไม่นาน ก็เห็นเงาร่างของเฮยซือกระโดดขึ้นไปยืนบนรั้วกัน จากนั้นก็นั่งลงอย่างสบายใจ เหลือบมองข้างล่างด้วยสายตาเย็นชา แล้วหัวเราะพูดว่า “พวกมันอยากยึดอำนาจและเข้ามาแทนที่ยังไงล่ะ”
“แทนที่มนุษย์?”
“ใช่ พวกมันอยากเข้ามาแทนที่มนุษย์” เฮยซือบอก “เห็นฉันก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่หรอ? นี่คือทิศทางในการวิวัฒนาการของพวกมัน มีทั้งความแข็งแกร่งของซอมบี้ และรูปลักษณ์ภายนอกกับมันสมองของมนุษย์ สามารถสลับไปมา หรือใช้งานพร้อมกันก็ได้ เพราะอย่างนี้ พวกมันถึงได้เรียกตัวเองว่าอสุรกายนรก…อสุรกายที่มาจากนรก และสามารถสร้างบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างแท้จริง แต่ในความจริง นี่เป็นเพียงระดับวิวัฒนาการที่ร่างแม่ตัวนั้นแบ่งแยกให้ตัวเอง…ระดับนรก ระดับที่เหนือกว่าระดับราชา…อย่างน้อยก่อนที่จะวิวัฒนาการจนกลายเป็นร่างแม่อย่างนี้ มันก็เคยเป็นซอมบี้ธรรมดามาก่อนแล้ว”
“โลกใบนี้มีมนุษย์ก่อน จากนั้นเพราะมนุษย์ก็เลยมีซอมบี้ขึ้นมา และต่อมาเพราะซอมบี้ก็เลยมีอสุรกายนรก ถ้าหากพูดอย่างนี้ จะเข้าใจง่ายขึ้นหรือเปล่า? แต่ที่น่าตลกก็คือ สิ่งที่อสุรกายนรกอยากทำ กลับไม่ใช่ขึ้นเป็นฝ่ายเหนือกว่ามนุษย์กับซอมบี้ แต่กลับเป็นการรวมทั้งสองสายพันธุ์นี้เข้าด้วยกัน และสร้างห่วงโซ่ขึ้นมาใหม่…และในห่วงโซ่นี้ มนุษย์คือสายพันธุ์ที่อยู่เป็นอันดับแรกสุด แต่ก็อยู่อันดับสุดท้ายเช่นกัน…ทันทีที่ห่วงโซ่นี้สมบูรณ์แบบ พวกมนุษย์ก็จะถูกสรุปชะตากรรม” เฮยซือพูดถึงตรงนี้ ก็หันไปมองหลิงม่อ “ดังนั้น สิ่งที่อสุรกายนรกพวกนี้ต้องการ…ก็คือการทำให้ตัวเองกลายเป็นเหมือนพวกนาย…”
“ทำยังไง?” หลิงม่อถามหน้าเครียด
เฮยซือเองก็ทำหน้าจริงจังขึ้นมาด้วย มันส่ายหน้า พูดเสียงค่อย “ไม่รู้…แต่ที่มั่นใจได้ก็คือ หากอสุรกายนรกพวกนั้นออกมา เหล่ามนุษย์ที่ซ่อนตัวอยู่ตามซอกหลืบ จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป “…
“เรื่องนั้นยังพอมีเวลาให้ไตร่ตรอง…แต่ตอนนี้ฉันรู้แค่ว่า พวกเราใกล้จะไม่ปลอดภัยแล้ว” ฟังมาถึงตรงนี้ อยู่ๆ หลิงม่อกลับหันหลังไปตะโกนเสียงดัง “ทั้งหมด! สกัดกั้นสี่ทิศ ห้ามปล่อยให้อสุรกายนรกปีนขึ้นมาได้แม้แต่ตัวเดียว! ช่างหัวพวกมันว่าพวกมันคิดจะทำอะไร ในห้านาทีนี้ โจมตีพวกมันให้ร่วงลงไปให้หมด!”
—————————