แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1045 ก่อนย่ำรุ่ง (ย่ำรุ่ง ในภาษาจีนอ่านว่า หลีหมิง)
ณ อำเภอหลีหมิง
สำหรับเมือง X ที่นี่เป็นเพียงเขตชานเมืองที่ไม่มีอะไรโดดเด่น
มีเพียงอาคารบ้านเรือนต่ำๆ ถนนกว้างขวางแต่กลับวังเวง และร้านอาหารมากมายเรียงรายอยู่ข้างทาง…นอกจากนี้ยังมีพื้นที่รกร้างขนาดใหญ่ที่รอถูกพัฒนา รวมถึงอาคารโรงงานขนาดเล็กมากมาย…รถขนสินค้าขนาดใหญ่สี่ห้าคันล้มอยู่กลางถนน สินค้าที่กระจายเกลื่อนพื้นกลายสภาพเป็นขยะกองโต ประตูร้านเก่าๆ ริมถนนที่เลอะคราบเลือดต่างพากันส่งเสียง “เอี๊ยดอ๊าด” เป็นช่วงๆ…
“ให้ตายเถอะ โกดังจะถูกสร้างไว้ในที่แบบนี้จริงๆ น่ะหรอ? แค่ในอำเภอก็ดูวังเวงมากแล้ว เขตชานเมืองจะไม่ยิ่งเงียบเหงาจนนกไม่กล้าวางไข่เลยหรอ? แต่จะว่าไปแล้ว นี่อาจเป็นเหตุผลที่ต้องสร้างโกดังไว้แถวๆ นี้ก็ได้นี่เนอะ…เพราะว่าโกดังประเภทนั้น ต้องการความเป็นส่วนตัวอยู่แล้วนี่”
บนถนนใหญ่ เงาร่างสองเงากำลังยกปืนขึ้นเล็ง และเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง หนึ่งในสองคนนั้นคาบบุหรี่ไว้ในปาก เขาดมกลิ่นบุหรี่โดยไม่จุดไฟ พลางพูดขึ้น
ชายอีกคนพลันกลอกตาขาว “อวี่เหวินซวน นายพอซักที! ถึงนายจะนามสกุลอวี่เหวิน แต่นายไม่จำเป็นต้องพูดมากเหมือนครูสอนภาษาสมัยเด็กของฉันก็ได้นะ! นี่นายเล่นพูดไม่หยุดมาตลอดทางเลย!” (คำว่า ภาษา ในจีนอ่านออกเสียงพ้องกับคำว่า อวี่เหวิน )
“อ้าวเฮ้ย…เจ้าแซ่มู่ นายว่าฉันก็แล้วไป…แต่นายต้องขอโทษทุกคนในประเทศที่แซ่อวี่เหวินเดี๋ยวนี้!”
“ทุกคนบ้าอะไร…ที่นี่ก็มีแค่นายคนเดียวนั่นแหละ บ้าเอ๊ย ครั้งหน้าฉันจะไม่ออกมากับนายอีกแน่นอน!” มู่เฉินพูดอย่างหัวเสีย
“นายคิดว่าฉันอยากมากับนายมากรึไง! ตอนนี้คนที่ออกมาสำรวจข้างนอกได้ก็มีแค่นาย ฉัน จางซินเฉิงกับเย่ไคเท่านั้นไม่ใช่หรอ? ดังนั้นไม่ว่าจะสับเปลี่ยนกันยังไง สุดท้ายนายกับฉันก็ต้องกลับมาอยู่กลุ่มเดียวกันอยู่ดี…คิดในแง่ดีสิ ทุกข์ก่อนก็หลุดพ้นก่อนไง” อวี่เหวินซวนโน้มน้าว
“นายไม่ละอายหรือไงที่พูดคำนี้ออกมา! ช่างเถอะ ฉันไม่อยากเสียเวลาคุยกับนายแล้ว ยังไงก็แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น…” มู่เฉินยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แล้วเขาก็ทำหน้าบึ้งทันที “เชี่ย! ไม่อยากจะเชื่อว่าเพิ่งผ่านไปสิบนาที!”
พูดไป เขาก็กวาดมองไปยังบ้านเรือนอันเงียบงันและวังเวงที่อยู่สองข้างทาง “ซีเรียสนะ อำเภอนี้เงียบเหงามาก พวกเรามาที่นี่ตั้งสามวันแล้ว แต่กลับไม่เคยเห็นซอมบี้ซักตัว…ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่มีสถานที่ท่องเที่ยว แล้วก็ไม่มีอุตสาหกรรมการผลิตที่มีชื่อเสียง แต่ประชาการที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็น่าจะมีมากกว่าหมื่นคนไม่ใช่หรอ?”
“อาจเป็นเพราะขอบเขตในการสำรวจครั้งก่อนๆ ของพวกเราแคบเกินไปล่ะมั้ง…” อวี่เหวินซวนพูดอย่างผ่อนคลาย “นายคิดดูสิ เป็นเพราะว่ามีประชากรน้อย ซอมบี้ก็เลยไปรวมตัวกันอยู่ที่เดียวกันไม่ใช่หรอ? ถ้าหากแยกตัวกัน ก็กินไม่อิ่มท้องน่ะสิ”
มู่เฉินครุ่นคิด แล้วพูดเสียงเบา “ที่นายพูดก็มีเหตุผล…”
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเราไปตามหาพวกมันกันดีกว่า!” อวี่เหวินซวนแนะนำ
“…ภารกิจหลักของพวกเราก็คือหาอาหารนะเว้ย! นายอยากให้ทุกคนหิวตายหรือไง!” มู่เฉินถลึงตามองแรงใส่เขา
“อุวะฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย…ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง พูดไปงั้นๆ น่ะ…”
แม้ว่าอำเภอหลีหมิงจะอยู่ห่างไกลความเจริญ แต่ก็ถือเป็นอำเภอที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ บวกกับอาคารบ้านเรือนมากมาย ทั่วทั้งอำเภอจึงเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างมากมายตระการตา…การต้องหาอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการในสถานที่อย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยทีเดียว
แต่โชคดีที่จนถึงตอนนี้ พวกเขายังไม่เคยเห็นแม้แต่เงาของซอมบี้…
ถึงแม้อวี่เหวินซวนจะคาดเดาไว้อย่างนั้น แต่ความจริงในใจทั้งสองต่างรู้ดี ว่าความเป็นไปได้ที่เขาพูดถึงนั้นต่ำมาก…
ตอนที่เฮลิคอปเตอร์บินมาถึงท้องฟ้าเหนืออำเภอหลีหมิง ต้องบินวนอยู่นานกว่าจะหาที่ลงจอดได้ เสียงดังสนั่นของใบพัดที่แม้แต่มนุษย์ยังได้ยิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซอมบี้ที่มีประสาทรับเสียงอันเฉียบแหลมเลย
บางที ที่นี่อาจเป็นอำเภอที่ตายไปแล้วจริงๆ…
แต่ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกเขาก็มีปัญหาแล้วล่ะ…
“ซอมบี้พวกนั้น…ไปไหนกันหมด?” ในอาคารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซย่าน่ายืนอยู่ริมหน้าต่าง แล้วมองไปข้างนอก พลางพูดขึ้น
ด้านหน้าเธอคือพื้นที่ราบซึ่งเป็นเหมือนกับลานจอดรถ ฝั่งซ้ายและขวาเป็นอาคารโรงงานที่ว่างเปล่า และหากมองตรงไป ก็จะเห็นประตูเหล็กที่ขึ้นสนิมเขรอะสีแดงบานหนึ่งพอดี
เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นจอดอยู่ตรงลานกว้างดังกล่าว เวลานี้นักบินสองคนนั้นกำลังเดินวนอยู่รอบเฮลิคอปเตอร์อย่างแข็งขัน ห่างออกไปไม่ไกลคือจางซินเฉิงและเย่ไค ทั้งสองต่างพกปืนติดตัว และนั่งอยู่บนหลังคารถเบนซ์คันเล็กสองคัน บางทีก็ลุกขึ้นยืนเพื่อกวาดมองไปข้างนอกเป็นช่วงๆ
สภาพแวดล้อมอย่างนี้ เป็นประโยชน์ต่อเวลาพักเบรกของพวกเขามากที่สุด แต่หลังจากเลือกสถานที่ และเตรียมพร้อมระวังภัยเต็มที่แล้ว พวกเขากลับไม่พบกับอันตรายเลยแม้แต่น้อย…ความปลอดภัยแบบนี้ กลับทำให้รู้สึกแปลกๆ มากกว่า…
“เอาเถอะ อย่าคิดมากเลย ไม่แน่ว่าซอมบี้ที่นี่อาจเร่ร่อนเข้าไปในเมืองหมดแล้วก็ได้ เรื่องแบบนี้มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยไม่ใช่หรอ? โดยเฉพาะหลังจากที่วิวัฒนาการจนเกิดซอมบี้หัวหน้าฝูงขึ้นมา พวกมันก็เริ่มเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันมากขึ้น…เมื่อเป็นอย่างนั้น การอพยพหมู่ก็ถือว่ามีความเป็นไปได้เหมือนกัน” สวี่ซูหานถือน้ำร้อนแก้วหนึ่งเดินเข้ามา และเดินตรงไปยังเตียงเล็กๆ ที่อยู่ในห้อง “หลิงม่อยังไม่ตื่นหรอ?”
“ยังเลย…” เย่เลี่ยนที่นั่งอยู่ข้างเตียงรับน้ำร้อนจากมือเธอไป จากนั้นก็ใช้นิ้วมือจุ่มน้ำปาดผ่านริมฝีปากเขาเบาๆ
เฮยซือที่นั่งแกว่งเท้าเล่นอยู่บนเหล็กกั้นปลายเตียง พูดว่า “ไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้างแล้ว ตามหลัก คนปกติไม่ได้กินอาหารแค่สามวันก็รับไม่ไหวแล้ว แต่หลิงม่อไม่ได้กินไม่ได้ดื่ม สีหน้ากลับแดงเรื่อขึ้นอย่างนี้…”
เย่เลี่ยนมองมันแวบหนึ่ง แล้วก็หันไปมองหลี่ย่าหลิน พูดเสียงเบาว่า “รุ่นพี่ป้อนแล้ว ซย่าน่าเองก็…”
“อะแฮ่มๆ…” ซย่าน่ารีบกระแอมขัดจังหวะทันที “ในเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็แสดงว่าทุกอย่างปกติดีน่ะสิ ตอนนี้สิ่งที่พี่หลิงต้องการก็คือเวลา จากที่ฉันดู เดาว่าคงอีกไม่นานแล้วล่ะ”
เห็นสวี่ซูหานยังทำท่าจะถามอะไรอีก ซย่าน่ารีบย้อนถามเธอทันที “เจ้าลิงผอมล่ะ? เขาเป็นยังไงบ้าง?”
“เริ่มได้สติเป็นพักๆ แล้วล่ะ ตอนแรกเขาตื่นตระหนกมาก แต่หลังจากได้ยินว่าหลิงม่อฆ่าร่างดวงจิตตัวนั้นไปแล้ว เขาเลยสงบลงหน่อย แต่พอถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขากลับไม่ยอมบอก แต่ว่าวันนี้จู่ๆ เขาก็บอกว่า…” สวี่ซูหานเหมือนจะลำบากใจอยู่เล็กน้อย
“บอกอะไร?” หลี่ย่าหลินถามออกไปตรงๆ
แม้แต่อวี๋ซือหรานเองก็เงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่เธออย่างอยากรู้อยากเห็น
“เขาบอกว่า…หลังจากที่หลิงม่อฟื้น เขามีเรื่องสำคัญต้องบอกกับหลิงม่อ…” สวี่ซูหานบอก
ซย่าน่าขมวดคิ้ว “ในเมื่อเป็นเรื่องสำคัญ บอกพวกเราก็ได้ไม่ใช่หรอ…”
“ฉันก็บอกเขาไปแบบนี้เหมือนกัน แต่เขาบอกว่าเขาไม่รีบ ยังไงก็ต้องบอกเรื่องพวกนี้กับหลิงม่อด้วยตัวเองให้ได้” สวี่ซูหานพูดด้วยสีหน้าสับสน
ชั่วขณะหนึ่ง บรรยากาศในห้องพลันเงียบกริบ
เห็นชัดว่า…สิ่งที่เจ้าลิงผอมต้องการจะบอกหลิงม่อ ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับร่างแม่ตัวนั้นแน่นอน เขาเคยถูกร่างแม่ตัวนั้นจับตัวไว้นาน และระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง กลับไม่มีใครล่วงรู้เลย…
“เดิมทีฉันก็อยากถามอะไรเขาเพิ่มอีก แต่กู่ซวงซวงอยู่ข้างๆ…เจ้าลิงผอมเลยไม่ยอมพูด ฉันก็เลยทำอะไรไม่ได้” สวี่ซูหานถอนหายใจ
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องสงสัยเขาแล้ว เขาเองก็สละชีพเพื่อทำภารกิจเหมือนกันไม่ใช่หรอ?” อยู่ๆ หลี่ย่าหลินก็โบกมือไปมา แล้วพูดขึ้น ในฐานะซอมบี้ เธอรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าบรรยากาศเปลี่ยนไป นั่นทำให้เธอต้องพูดอะไรที่เหมือนมนุษย์ออกมาอย่างผิดๆ ถูกๆ
เพียงแต่หนึ่งวินาทีต่อมา อวี๋ซือหรานกลับพูดเสียงเบาขึ้นมา “เขายังไม่ได้สละชีพซักหน่อย…”
“ยังหรอกหรอ?!”
“ใช่ ยังเลย…”
“อย่างนี้นี่เอง…” หลี่ย่าหลินครุ่นคิด แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเงียบๆ จากนั้นก็เดินออกไปนอกห้อง “ฉันไปเอาผ้าขนหนูให้หลิงม่อดีกว่า…”
หลังผ่านช่างเวลาแห่งความกระอักกระอ่วนไป อวี๋ซือหรานลุกขึ้นแล้วตบมือ “ฉันจะไปหาเสี่ยว…ฉันจะไปเล่น” เธอเปลี่ยนคำพูดดื้อๆ และเห็นชัดว่าเพิ่งกลืนคำพูดหนึ่งลงคอไปอย่างโจ่งแจ้ง…ทว่าไม่รอให้สวี่ซูหานครุ่นคิดอย่างละเอียด เด็กสาวตัวน้อยก็เดินหายลับออกไปแล้ว
สวี่ซูหานหันไปมองคนที่เหลือ แล้วอยู่ๆ ก็ยิ้มแห้งๆ ขึ้นมา “คือว่า…ความจริงแล้ว ฉันอยากจะปรึกษากับพวกเธอหน่อย…ฉันรู้ว่าพวกเธอไม่ค่อยคุ้นเคยกับฉัน แต่ว่าตอนนี้ฉันก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์บ่อยๆ เหมือนกัน…ดังนั้น…”
“เปล่าหรอก ไม่ใช่ไม่คุ้นเคย…” ซย่าน่าส่ายหน้า จากนั้นก็หันไปมองเย่เลี่ยน
ความจริงหากไม่ใช่เพราะสายสัมพันธ์ทางจิต ตอนแรกพวกเธอเองก็คงอยู่ร่วมกันอย่างสงบไม่ได้…สำหรับซอมบี้ทุกตัว ซอมบี้ตัวอื่นล้วนมีโอกาสถูกมองเป็นอาหารทั้งนั้น ในเผ่าพันธุ์ซอมบี้ ใครอ่อนแอก็ถูกกิน ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด
ที่ตอนนี้พวกเธอสามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างสงบสุข ก็เพราะมีหลิงม่อคอยเป็นคนกลาง บวกกับพวกเธอคอยข่มสัญชาตญาณตัวเองไว้ ถึงทำให้พวกเธอควบคุมความปรารถนาในการโจมตีอย่างรุนแรงไว้ได้ แต่ถึงแม้อย่างนั้น ในยามปกติพวกเธอก็ยังคงรวมตัวกันเป็นกลุ่ม และพยายามรักษาระยะห่างกับมนุษย์พวกนั้นให้มากที่สุดอยู่ดี
“ไม่ๆ ที่ฉันจะบอกก็คือ…” อยู่ๆ น้ำเสียงของสวี่ซูหานก็เปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว “พวกเธอ…สอนวิธีเป็นซอมบี้ให้ฉันเถอะนะ!”
——————————————-