แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1046 อำเภอร้าง
“อันดับแรก เธอต้องกอัพเกรดพลังต่อสู้ก่อน…” เฮยซือเพิ่งจะเปิดปากพูดคำแรกออกมา ก็ถูกซย่าน่าตบหัวคะมำทันที
“เรื่องนี้น่ะ…” ซย่าน่ามองสวี่ซูหานที่กำลังมีสีหน้ากังวล บอกว่า “ความจริงถ้าดูจากภายนอก เธอก็ไม่ได้พูดผิดเหมือนกันนะ…”
“แล้วจะตบฉันทำไมเล่า!”
“เพราะความจริงแล้ว ฉันกับเธอไม่ได้หมายความเหมือนกันน่ะสิ!” ซย่าน่าพ่นลมหายใจ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ว่ายังไง การอัพเกรดพลังก็คือเงื่อนไขจำเป็นในการมีชีวิตรอด โดยเฉพาะสำหรับซอมบี้ การอัพเกรดระดับวิวัฒนาการคือทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเรา แน่นอนว่า สิ่งที่เธอไม่เหมือนกับพวกฉัน คือเธอได้รักษาความทรงจำและสติปัญญาเอาไว้ตั้งแต่แรกที่เธอกลายพันธุ์แล้ว กระทั่งยังสามารถรักษาอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างไว้ได้ด้วย…”
“หมายถึงความกลัวน่ะหรอ…” สวี่ซูหานยิ้มขมขื่น “ฉันเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกลายเป็นซอมบี้ขี้ขลาดไปได้ ก่อนกลายพันธุ์ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้เลย…แต่ว่าเรื่องนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าความจริงฉันเป็นคนขี้ขลาด การใช้ชีวิตที่ต้องสู้สุดตัวอย่างนี้อยู่เสมอ บางทีอาจไม่เหมาะกับฉันจริงๆ ก็ได้…”
“นี่คือเหตุผลที่เธออยากไหว้ฉันเป็นครูหรอ?” เฮยซือถาม
ฉันไม่ได้พูดว่าจะไหว้ครูอะไรซักหน่อย! ส่วนเหตุผลน่ะ นี่เป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น…อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ฉันหวังว่าตัวเองจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็จะสามารถทำเรื่องที่ตัวเองอยากทำได้แล้ว เมื่อก่อนหลิงม่อเคยบอกฉันว่า คนเรามีชีวิตอยู่ไม่ใช่เพื่อใช้ชีวิตไปวันๆ ฉันว่าฉันก็เห็นด้วยกับคำพูดของเขาเหมือนกัน ดังนั้น…” สวี่ซูหานพูดอย่างจริงใจ “ขอให้ฉันได้ติดค้างน้ำใจพวกเธอซักนิดเถอะ แค่ไม่กี่วันนี้ก็พอ แค่ไม่กี่วันนี้…”
ดูเหมือนว่าเธอคงคิดเรื่องนี้มานานแล้ว และการที่หลิงม่อหลับไหลไปในครั้งนี้ สำหรับเธอถือว่าเป็นโอกาสดีในการยกเรื่องนี้มาพูด เพียงแต่ถึงแม้อย่างนั้น เธอก็ยังรอตั้งสามวัน จนกระทั่งมั่นใจว่าอาการของหลิงม่อคงที่แล้ว เธอถึงได้พูดออกมาอย่างสบายใจ
ซย่าน่ากัดเม้มริมฝีปากครุ่นคิด แล้วอยู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มประหลาด เธอมองพิจารณาสวี่ซูหานขึ้นลงหนึ่งรอบ ถามว่า “พูดง่ายๆ ก็คือ เธออยากให้ฉันฝึกซ้อมเธอ ใช่ไหม?”
“หา? คือว่า…จะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ถูก…ฉันก็แค่…เพราะดูเหมือนว่าเธอจะเคยเรียนวิชาต่อสู้มา ดังนั้น…ฉันก็รู้ ว่าฉันไม่มีพื้นฐานเรื่องการต่อสู้เลย การใช้อาวุธปืนมาอุดช่องโหว่ตรงนี้ก็ไม่ได้ผลเท่าไหร่นัก และสำหรับซอมบี้อาวุธที่แกร่งที่สุด ความจริงก็คือร่างกายตัวเอง ดังนั้น…”
สวี่ซูหานชะงักไป ไม่นานเธอก็สัมผัสได้ถึงรังสีเย็นยะเยือก…เธอเหลือบมองเฮยซืออย่างไม่รู้ตัว แต่อีกฝ่ายกลับมองหน้าเธอและส่ายหน้าอย่างเห็นใจ…
“อ้าว?! เมื่อกี้คนที่ดูจริงจังเป็นซย่าน่าแท้ๆ…หรือว่าเรารู้สึกไปเอง? ไม่ ไม่มีทาง ไม่ใช่รู้สึกไปเองแน่นอน…ถ้าอย่างนั้นเธอแสดงละครงั้นหรอ? ก็ไม่น่าใช่! ซอมบี้จะแสดงละครเป็นได้ยังไง! ความรู้สึกอย่างนี้ควรอธิบายว่ายังไงดี…หรือว่าเธอเปลี่ยนสีหน้าเป็นงั้นหรอ…”
แต่เวลานี้ซย่าน่ากลับถือเคียวดาบเดินมาตรงหน้าเธอ เด็กสาวยืนมองเธอพร้อมกับผมยาวสลวย พลางหรี่ดวงตาสีแดงอ่อนจ้องเธอ “ถ้าอย่างนั้นตกลงว่าเธออยากแกร่งขึ้น หรือว่าอยากเป็นซอมบี้ที่อ่อนแอต่อไปกันแน่ล่ะ? ทำอะไรก็ไม่ได้ ช่วยอะไรก็ไม่ได้…เหอะ…ชีวิตแบบนั้น เธอคงไม่ปรารถนาหรอกมั้ง?”
“ฉันยัวไม่เคยพูดอย่างนั้นเลยนะ…ถึงแม้ว่าฉันจะคิดอย่างนั้นจริงก็ตาม แต่ฉันยังไม่เคยพูดออกมาเลยนี่นา!” สวี่ซูหานหัวใจเต้นแรง เธอเม้มปากแน่น ค่อยๆ พยักหน้าท่ามกลางสายตากดดันสุดขีดของซย่าน่า “แน่นอนว่า…ต้องอยากแกร่งขึ้นอยู่แล้ว”
“พูดเสียงดังหน่อย”
“ฉันอยากแกร่งขึ้น!”
หลังจากตะโกนสุดเสียง สวี่ซูหานเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ลอบจิกฝ่ามือตัวเองเงียบๆ “ไม่มีช่วงเวลาไหนที่น่าอัปยศได้เท่าตอนนี้อีกแล้ว…หรือว่าการฝึกซ้อมได้เริ่มขึ้นแล้ว?”
แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น กลับพบว่าเด็กสาวนิสัยประหลาดและน่ากลัวตรงหน้ากำลังเผยรอยยิ้มสดใสร่าเริง และตบไหล่เธออย่างอ่อนโยน บอกว่า “วางใจเถอะ ฉันจะช่วยเธออย่างเต็มที่เอง ความจริงตอนที่เป็นมนุษย์ ฉันเคยเป็นคนดีนะ…”
“จริง…จริงหรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันก็…ดีใจ…” สวี่ซูหานพูดพร้อมสีหน้าเหยเก
เธอเหลือบมองหลิงม่อที่นอนอยู่บนเตียง ในใจลอบคิด “หลิงม่อ ฉันเริ่มเสียใจที่ฉวยโอกาสพูดเรื่องนี้ตอนนายหมดสติซะแล้วสิ…นายรีบฟื้นเถอะ!”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาเริ่มจากการเลือกอาวุธก่อนแล้วกัน อาวุธที่มีความยาวควบคุมได้ยาก ดังนั้นดูจากสภาพร่างกายเธอ ฉันแนะนำว่าเธอใช้มือเลยจะดีกว่า…”
ทว่าหลิงม่อที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่ม กลับกำลังขมวดคิ้วเบาๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น…
“ที่นั่นมีมินิมาร์ทอยูร้านหนึ่ง! เร็วเข้า ไม่แน่ว่าอาจหาของกินได้บ้าง! ถ้าหาอาหารกระป๋องกับเครื่องดื่มได้จะดีที่สุด!” บนถนน มู่เฉินชี้ไปข้างหน้า พลางร้องเรียกอย่างตื่นเต้น
แต่ในตอนนั้นเอง อวี่เหวินซวนกลับดึงแขนเขาไว้ และพูดเสียงเบา “เดี๋ยวก่อน! มู่เฉิน นายไม่รู้สึกหรอ?”
“อะไร?” มู่เฉินมองหน้ามองหลังหนึ่งรอบ แล้วถามขึ้น
ถึงแม้ทั้งสองจะเป็นผู้รอดชีวิตที่มีประสบการณ์โชกโชน แต่หลังจากที่ไม่ได้เผชิญหน้ากับอันตรายมาระยะหนึ่ง จึงช่วยไม่ได้ที่มู่เฉินจะคลายความระวังตัวลง ความจริงแล้ว เป็นเพราะบนถนนเส้นนี้ไม่มีอะไรให้ต้องระวังด้วย…นอกจากรถเก่าๆ ไม่กี่คัน ก็มีแต่ความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่กำลังเคลื่อนไหว ก็มีแต่พวกเขาสองคนเท่านั้น
“พอนายพูดอย่างนี้ อยู่ๆ มันก็น่ากลัวขึ้นมาเลยเนี่ย…” หลังจากที่สังเกตอย่างละเอียดอยู่นานสองนาน มู่เฉินถลึงตาใส่เขาอย่างหงุดหงิด “แต่มันก็ยังน่ากลัวน้อยกว่าอยู่กับนายอยู่ดี! ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ถึงนายจะหลอกฉันยังไง ฉันก็ไม่ไปกับนายหรอก ที่นี่จะว่าใหญ่ก็ไม่ใช่ แต่จะว่าเล็กก็ไม่เชิง ถึงแม้พวกมันจะซ่อนตัวอยู่จริงๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าพวกมันซ่อนอยู่ที่ไหน…” หลังพูดจบ เขาก็หันหน้าเดินไปทางมินิมาร์ทต่อ “ยังไม่แน่ใจว่าจะหาอาหารได้หรือเปล่า ฉันไม่มีเวลามาบ้าเป็นเพื่อนนายหรอกนะ…คนที่บ้าน…ถุ้ยย คนในทีมกำลังรอกินข้าวอยู่นะ ชีวิตฉันก็ไม่ง่ายเหมือนกันนะโว้ย!”
พูดไป เขาก็บ่นพึมพำเสียงเบา “ชิท! นี่ฉันกลายเป็นพี่เลี้ยงไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ…”
อวี่เหวินซวนกลับยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาดึงสายกระเป๋าเป้ สายตากวาดมองจากข้างซ้ายไปข้างขวาอย่างระแวดระวัง
บนท้องถนนโล่งเปล่าไร้เงาสิ่งมีชีวิต ในรถราที่พลิกคว่ำก็ไม่มีอะไรอยู่เลย ด้านในร้านรวงสองข้างทางก็ว่างเปล่าและมืดมิด ประตูส่วนมากถูกเปิดทิ้งไว้ และส่งเสียงเสียดสีเป็นระยะๆ ยามลมพัดผ่าน…
“มู่เฉิน…” อยู่ๆ สีหน้าของอวี่เหวินซวนก็แปลกไป เขาก้าวขาเร็วๆ สองก้าว และกระชากแขนมู่เฉินอีกครั้ง พลางพูดอย่างร้อนใจ “เรื่องที่ชัดเจนขนาดนี้ พวกเรากลับไม่รู้ตัวเลยซักนิด…”
“รู้ตัวอะไร?” มู่เฉินถาม
“ที่นี่ไม่มีอะไรเลย!” อวี่เหวินซวนบอก
วูบ~~~
ลมเย็นยะเยือกสายหนึ่งพัดผ่านตัวเขาไป
มู่เฉินขมวดคิ้ว พลางทำหน้าเหมือนกำลังบอกว่า “นายกำลังแกล้งฉันเล่น”…
“ใช่แล้ว เพราะเหตุผลนี้…เพราะที่นี่ไม่มีอะไรเลย พวกเราก็เลยไม่รู้ตัว! ความจริงพวกเราควรรู้ตั้งแต่วันแรกแล้ว…” อวี่เหวินซวนพูดอย่างตื่นตระหนก
“นายต้องการจะบอกอะไรกันแน่…” มู่เฉินถาม เขารู้สึกได้รางๆ ว่าครั้งนี้อวี่เหวินซวนไม่ได้กำลังล้อเล่น เขาค้นพบบางอย่างเข้าแล้วจริงๆ
“ฉันหมายถึง ที่นี่ไม่ใช่ว่าไม่มีซอมบี้อย่างเดียว แต่ยังมีอีกอย่างที่ที่นี่ไม่มี…” อวี่เหวินซวนชี้ไปทางร้านอาหารเล็กๆ ด้านข้าง “นายดูสิ ที่นี่…ไม่มีกระดูก!”
มู่เฉินมองตามเขา…ในร้านอาหารเล็กๆ มีแต่ความวิเวกวังเวง โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาดเต็มพื้น บนผนังเต็มไปด้วยคราบเลือดสีน้ำตาลเข้ม คราบฝุ่นที่สะสมมานานจนกลายเป็นชั้นๆ เคลือบอยู่บนประตูกระจก…แต่อวี่เหวินซวนพูดถูก ใน “ซากปรักหักพัง” นี้ กลับไม่มีกระดูกให้เห็นแม้แต่ครึ่งท่อน…
สำหรับผู้รอดชีวิตแล้ว กระดูกที่อยู่บนท้องถนนและในอาคารก่อสร้าง คือสิ่งที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไปจนชินตา…แต่เพราะชินเกินไป ดังนั้นพออยู่ๆ ไม่มีให้เห็น จึงไม่มีใครตระหนักได้เลยซักคน หรือจะบอกว่า สถานการณ์ “ไร้ซึ่งเงาคน” ในสถานที่แห่งนี้ ได้เบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาออกไปก็ได้…
“ที่นี่…ต้องเคยเกิดการสังหารหมู่แน่ๆ” มู่เฉิน
“อื่ม…” อวี่เหวินซวนพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น…ศพล่ะ?” มู่เฉินถามอีก
เขาหันไปมองจุดที่มีรอยเลือดทุกจุดบนถนนอีกครั้ง…อย่าว่าแต่ศพเลย แม้แต่กระดูกซักท่อนก็ยังไม่มีให้เห็น แต่ใกล้รอยเลือดพวกนั้น กลับมีวัตถุสีดำน่าสงสัยจับตัวกันอยู่บนพื้น…
หลังชะงักงันไปครู่หนึ่ง เหงื่อเย็นๆ พลันผุดพรายท่วมหัวมู่เฉิน เขาหันไปมองอวี่เหวินซวน ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสองได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน
ในเมื่อที่นี่ไม่มีอะไรเลย…ถ้าอย่างนั้น ใครเป็นคนเก็บศพมนุษย์และซอมบี้พวกนั้นไปล่ะ?
คำถามนี้…ยิ่งคิดยิ่งน่ากลัว!
พอนึกถึงอำเภอร้างนี้ขึ้นมาอีกครั้ง มู่เฉินไม่ได้แค่รู้สึกกลัวธรรมดา…แต่กลับรู้สึกหวาดผวา!
“พอคิดดูแล้ว ไม่ใช่แค่กระดูก แต่ที่นี่ไม่มีนกเลยซักตัว…” มู่เฉินยกแขนชี้ไปข้างบนช้าๆ พลางพูด
อวี่เหวินซวนพยักหน้าแรงๆ
ทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความตระหนกจากสายตาของอีกคน
“เร็วเข้า ไปเอาของแล้วกลับกันก่อน!” มู่เฉินพลันพูดขึ้น
อวี่เหวินซวนเองก็เห็นด้วย ทั้งรีบพุ่งตัวเข้าไปในมินิมาร์ทด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากเมื่อกี้หลายเท่า…
“สูบไหม?” บนลานกว้างของโรงงานร้าง นักบินคนหนึ่งถอดถุงมือสีดำออก ล้วงบุหรี่กล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วเดินเข้าไปถามเย่ไค พอเห็นว่าเย่ไคส่ายหน้าปฏิเสธ เขาจึงนั่งลงบนฝากระโปรงรถ จุดบุหรี่พลางถามว่า “ลูกพี่เป็นยังไงบ้าง?”
เย่ไคหันไปมองทางอาคารเล็กๆ หลังนั้นแวบหนึ่ง บอกว่า “น่าจะยังนอนหลับอยู่…”
“ถ้าหากลูกพี่ฟื้นเมื่อไหร่ พวกพี่ก็คงจะเริ่มทำภารกิจกันเลยสินะ?” นักบินถาม
“อื่ม ถ้าจบเรื่อง ก็ยังต้องให้พวกนายมารับช่วงต่อ” เย่ไคบอก
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว…” นักบินสูดบุหรี่เข้าปอดลึกๆ อย่างพึงพอใจ
เย่ไคครุ่นคิด ถามว่า “ใช่สิ แล้วอีกคนไปไหน?”
นักบินยิ้ม แล้วพูดอย่างผ่อนคลาย “คงไปยิงกระต่ายล่ะมั้ง”
เย่ไครีบยืนตัวตรง ขมวดคิ้วถาม “ไปเมื่อไหร่? ที่ไหน?”
“เพิ่งไปเมื่อกี้เองมั้ง วางใจน่า คงอยู่แถวๆ นี้แหละ…” นักบินตอบ
แต่เย่ไคกลับกระโดดลงมาจากหลังคารถ “แล้วทำไมฉันถึงไม่เห็นเขา?”
“จะเป็นไปได้ไง น่าจะอยู่…” นักบินเพิ่งจะยกมือขึ้นชี้ แต่ก็ชะงักไป เขาพลันลุกขึ้นยืนตัวตรง แล้วรีบกวาดมองซ้ายขวาอย่างตื่นตระหนก “เป็นไปไม่ได้…”
————————————–