แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1058 ความจริงเกี่ยวกับผู้ลอบโจมตี
หลิงม่อเพิ่งจะทิ้งตัวลงบนพื้นนอกหน้าต่าง ก็ได้ยินเสียงซย่าน่าดังในสมอง “พี่หลิง ทำไมทางนั้นเสียงดังจัง…พี่เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไร ตอนนี้หนีออกมาได้แล้ว…” พูดจบเขาก็สับเปลี่ยนมุมมองสายตาไปที่เธอ พลันสบถด่าออกมาโดยอัตโนมัติ “ชิท!”
ตอนนี้ประตูร้านแทบจะถูกเงาดำเหล่านั้นล้อมมิดแล้ว แม้แต่หน้าต่างชั้นสองก็ถูกพวกมันเกาะก่ายอยู่เต็มไปหมด…ดูท่าพวกมันคงจะมุดเข้าไปใน “รู” อะไรซักอย่างในชั้นสอง จากนั้นก็มุดเข้าไปในโกดังที่เขาอยู่เมื่อกี้ ดีที่หลิงม่อไม่ได้เลือกที่จะสู้ตายอยู่ในนั้น ไม่อย่างนั้นนอกจากจะไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว อาจจะถูกเงาดำพวกนั้นล้อมตายอีกด้วย
“คิดไม่ถึงว่าพวกมันถึงขั้นใช้แผนส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมกับแผนลวงให้ตายใจเป็นด้วย…” หลังจากฟังหลิงม่อเล่า ซย่าน่าก็อดพูดขึ้นไม่ได้
“หึ…คนที่คิดแผนพวกนั้น เกรงว่าจะไม่ใช่พวกมันน่ะสิ…” หลิงม่อวิ่งไปตามตรอกเล็กๆ อย่างบ้าคลั่ง พลางบอกว่า “อีกอย่าง เมื่อกี้ฉวยโอกาสตอนที่พวกมันยังไม่มุดออกมา ฉันลองใช้พลังสัมผัสรู้อย่างละเอียดดูอีกที…แล้วก็เป็นไปตามคาด พลังจิตของพวกมันอ่อนมาก อ่อนถึงขั้นมองเห็นเป็นจุดเล็กมากๆ มิน่าล่ะ ฉันถึงได้สัมผัสรู้ถึงพวกมันได้ยากนัก…ทั้งตอนที่พวกมันซ่อนตัวอยู่ในรถ หรือตอนที่พวกมันเข้าไปในท่อระบายน้ำด้วย”
“งั้นก็หมายความว่า…ถ้าหากเปรียบดวงแสงแห่งจิตของคนธรรมดาเป็นพายโรยงา พวกมันก็เป็นแค่งาที่โรยอยู่บนพาย ถูกไหม?” ซย่าน่าถามอย่างครุ่นคิด
“…มันก็ถูกอยู่หรอกนะ แต่ช่วยเปรียบเทียบกับอย่างอื่นแทนได้ไหม?”
“ทำไมล่ะ? พูดถึงมนุษย์…ความคิดแรกก็ต้องเป็นอาหารไม่ใช่หรอ? เจ้านายซย่าน่าถือว่าพูดอ่อนโยนสุดๆ แล้ว” เสียงเจื้อยแจ้วของเฮยซือดังแทรกขึ้น
“เชี่ย ตกใจหมด…นี่ไม่มีอะไรทำหรือไงอยู่ๆ ถึงได้มาแทรกตอนคนอื่นเขาคุยกันเนี่ย!” หลิงม่อเคือง
ตอนนี้คนที่รู้สึกกังวล มีแค่เขาคนเดียวงั้นหรอ?! เวลาอย่างนี้ ช่างแสดงให้เห็นความแตกต่างของมนุษย์กับซอมบี้ได้อย่างชัดเจนจริงๆ!
“จิ๊…ก็ฉันมีเรื่องจะบอกเลยมานี่ไงเล่า” เฮยซือถอนหายใจ แล้วบอกว่า “เอาเป็นว่า ซือหรานเจออะไรบางอย่างนอกรั้วโรงงาน…ก่อนหน้านี้นายสั่งให้เธอนั่งเฝ้าอยู่ข้างรั้วไม่ใช่หรอ? เธอเลยตั้งหน้าตั้งตาเฝ้าอยู่ตรงนั้นอย่างตื่นเต้น…แต่เพราะอยู่ไกลกันมากเลยไม่ได้ยินที่พวกนายคุยกัน แต่กลับกันเธอดันไปเจออะไรอย่างอื่นเข้า”
“กลับกันอะไรของเธอ…ไอ้เรื่องที่เธอพูดหลังจากกลับกันควรเป็นเรื่องสำคัญสิ…ว่ามา เจออะไรล่ะ? ไม่แน่ว่า อาจเป็นเรื่องเดียวกับที่ฉันเจอก็ได้…” หลิงม่อหันกลับไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง ก็เห็นเงาดำพวกนั้นไล่ตามมาอีกครั้งแล้ว แถมพวกมันยังเร็วขื้นเรื่อยๆ อีกด้วย เขาอาศัยหนวดสัมผัสเปลี่ยนทิศทางไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ทำให้ระยะห่างอยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัย
แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งมีชีวิตพวกนั้นก็ไม่มีท่าทียอมแพ้ กลับกันอยู่ๆ พวกมันก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามามากกว่าเดิม นั่นทำให้หลิงม่อระแวดระวังตัวยิ่งกว่าเดิม ในใจก็คิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่หยุดจนกว่าเขาจะตาย…
“เธอบอกว่า…ตอนที่พวกนายวิ่งออกมาจากอาคาร เหมือนเธอจะได้กลิ่นอะไรรางๆ” เฮยซือบอก
“มันคืออะไร? กลิ่นแปลกมากไหม?” ซย่าน่าถาม
“ไม่…ตรงกันข้ามเลย มันเป็นกลิ่นเหม็นเน่าที่ธรรมดามาก แต่อย่าลืมสิ รอบๆ โรงงานมีแต่ป่าร้าง น้ำในห้วยก็แล้งไปนานแล้ว นอกจากนี้ แถวๆ นี้ก็ไม่มีศพเลยด้วย…ดังนั้นการที่กลิ่นเหม็นเน่ามาอยู่ในสถานที่แบบนี้ มันแปลกไม่ใช่หรอ?” เฮยซือพูดต่อ “ซือหรานให้ฉันมาเตือนพวกนาย เป็นไปได้มากว่ากลิ่นนั้นมาจากตัวพวกมัน พวกนายสามารถเอามันไปเป็นเบาะแสสืบต่อได้นะ…”
เมื่อหลิงม่อตัดสายไปดื้อๆ เสียงของเฮยซือก็หายไปจากสายสัมพันธ์ทางจิตของทั้งสอง ซย่าน่าครุ่นคิดอย่างละเอียด แล้วอยู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “กลิ่นนั้น…ไม่ได้มาจากตัวของพวกมัน ความจริงแล้วนอกจากกลิ่นคาวเลือดที่จางมากๆ แล้ว บนตัวพวกมันก็ไม่มีกลิ่นอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษอีกเลย อาจเป็นเพราะตัวเล็กเกินไปล่ะมั้ง แม้แต่กลิ่นของเชื้อไวรัส ก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น…”
“ดังนั้น กลิ่นเหม็นเน่านั่นไม่ได้มาจากตัวพวกมันสินะ…” หลิงม่อขมวดคิ้ว
“งั้นตอนนี้จะเอายังไงดี? ดูจากระดับสติปัญญาและความยากในการรับมือของพวกมัน แทบเป็นไปไม่ได้หากเราจะฆ่าพวกมันให้หมด แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ถึงแม้พวกเราจะสลัดมันหลุด ต่อไปพวกเราก็ยังต้องถูกพวกมันลอบโจมตีอยู่ดี…ฉันกับพวกพี่เย่เลี่ยนน่ะไม่ว่า แต่ว่าพี่กับมนุษย์พวกนั้นมีศักยภาพร่างกายที่จำกัด ถ้าหากต้องสู้กันอย่างนี้ต่อไป ฝ่ายที่เสียเปรียบก็มีแต่เรา” ซย่าน่าวิเคราะห์อย่างกังวล
หลิงม่อยกมือนวดหว่างคิ้ว แล้วอยู่ๆ ก็ถาม “ตอนนี้พวกเธอสลัดพวกมันหลุดแล้วใช่ไหม?”
ซย่าน่าหันไปมองเย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินที่อยู่อีกทาง รวมถึงเสี่ยวป๋ายที่หดตัวแล้ว พลางพยักหน้าบอกว่า “อื่ม สลัดหลุดแล้ว ตอนนี้พวกฉันกำลังไปหาพี่ พี่หลิง พี่ต้องอดทนไว้ให้ได้นะ…”
ในตรอกเล็กๆ พวกเธอกำลังวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง…
“ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…” เวลานี้ ภาพเหตุการณ์ที่ซย่าน่าบังเอิญเห็นเข้าระหว่างต่อสู้เมื่อกี้ พลันผุดขึ้นมาในสมองของเธอ…หลังจากที่พลิกซากรถยนต์ให้คว่ำติดต่อกันหลายคัน เธอเหลือบเห็นฝาท่อที่เปิดแง้มไว้บนพื้น…
“ดังนั้น พวกมันน่าจะเคลื่อนไหวกันใต้ดิน จากนั้นก็ค่อยมุดออกมาจากท่อใต้ดิน และมุดเข้าไปซ่อนในรถผ่านทางท่อน้ำทิ้งอีกที ถ้าคิดอย่างนี้ สองฝั่งอาคารที่เราอาศัยอยู่ ก็มีร่องน้ำและท่อให้พวกมันแฝงตัวอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรอ? นอกจากนี้ ในอาคารยังมี ‘ทางเข้าออก’ ที่เป็นท่อน้ำ กับท่อระบายอากาศอยู่อีกตั้งเยอะ เพราะอย่างนี้ พวกมันถึงสามารถเคลื่อนไหวราวกับเงาได้…และเพราะอย่างนั้น พี่ถึงได้มองเห็นแค่เงาดำถึงแม้ว่าสับเปลี่ยนมุมมองสายตาไงล่ะ…” ซย่าน่าพูดต่อ “พี่ต้องระวังตัวนะ พวกมันอาจใช่วิธีเดียวกันล้อมพี่อีกครั้งก็ได้!”
หลิงม่อพยักหน้า จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเย็นชา “เงาดำตัวที่ถูกฉันตามทัน เมื่อกี้มันคงจะรับบทเป็นเหยื่อล่อพวกเราสินะ?”
“หืม? อ๋อ ใช่แล้ว…ทำไมหรอ…” ซย่าน่าชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วรีบถาม
“ถ้าอย่างนั้นสถานที่ที่มันยังคงวนเวียนอยู่ตอนนี้ เธอคิดว่าที่นั่นเป็นอะไรหรอ?” หลิงม่อพูดขึ้น
“เป็นอะไรงั้นหรอ…อาจเป็นกับดัก หรืออาจไม่ได้เป็นอะไรเลย…เพราะถึงยังไงตอนนี้พี่ก็โดนเพ่งเล็งแล้ว ถ้าอย่างนั้นความสำคัญของเหยื่อล่อก็น่าจะลดลงไปด้วย” ซย่าน่าครุ่นคิด แล้วตอบ
“หึหึ…ดูจากพฤติกรรมของอีกฝ่าย ฉันว่าอย่างแรกน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด…คนที่ระวังรอบคอบ เจ้าแผนการและฆ่าทุกอย่างไม่เหลือซากอย่างนี้ คงไม่มีทางที่จะไม่เตรียมแผนสำรองไว้หรอก ถูกไหม…เหมือนร่างแม่สมควรตายตัวนั้นไง!”
“พี่หลิงพูดอะไรน่ะ คนหรอ?”
“ใช่แล้ว คน!”
ร่างกายหลิงม่อพลันลอยขึ้นกลางอากาศและพุ่งไปข้างหน้า หลังจากลอยข้ามรั้วมา เขาก็ทิ้งตัวลงบนพื้นซึ่งเป็นทางแยกของตรอกเล็กๆ เส้นหนึ่ง…
—————————————————————————–