แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1064 เตรียมรบ
ทุกคนยืนล้อมศพ พลางมองหน้ากัน
“…ฟังจากที่เขาพูด คืนนี้ ลูกพี่อะไรนั่นคงจะพาบลัดมาเธอร์ตัวนั้นมาหาพวกเราที่นี่สินะ?” มู่เฉินอ้าปากพูดคนแรก
“แม่แมงมุมตัวนั้นน่ะหรอ…” อวี่เหวินซวนลูบคาง เผยสีหน้าครุ่นคิด “ขนาดแมงมุมตัวผู้ยังวุ่นวายขนาดนี้…ถ้าอย่างนั้นแม่แมงมุมก็น่าจะรับมือได้ยากกว่าสินะ? อีกอย่างพวกนายน่าจะสังเกตเห็นแล้ว เมื่อกี้ตอนที่หมอนี่พูด เขาใช้คำว่า ‘พวกฉัน’ ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง นั่นหมายความว่า น่าจะมีแมงมุมตัวผู้อยู่หลายตัว ถูกไหม?”
ทุกคนหันไปมองหลิงม่อเป็นตาเดียว ในขณะที่หลิงม่อกำลังชั่งน้ำหนักขวดแก้วในมือ พยักหน้าบอกว่า “อื่ม อวี่เหวินซวนพูดถูก ดูจากจำนวนการแพร่พันธุ์กับปริมาณอาหาร แค่ตัวผู้ตัวเดียวไม่พอแน่ คนที่เป็นเหมือนหมอนี่ น่าจะยังมีอีก…ดังนั้นหากคำนวณตามนี้ แมงมุมที่จะมาหาเรา น่าจะถูกเลี้ยงมาอย่างดีกว่าหมอนี่หลายเท่า และเพราะมันเกี่ยวพันกับเรื่องโกดังอาหาร อีกฝ่ายคงจะสู้จนถึงที่สุด…”
ปัจจุบันสิ่งของและอาหารเริ่มค้นหายากขึ้นเรื่อยๆ สามารถครอบครองโกดังอาหารแห่งหนึ่งได้ เท่ากับมีหลักประกันในการอยู่รอดที่ดีที่สุด นอกจากนี้ดูจากสภาพแวดล้อมของอำเภอหลีหมิง ที่นี่ไม่มีภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด ซึ่งก็คือภัยจากซอมบี้แล้ว ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะคาดเดาว่าอีกฝ่ายจะคิดทำอย่างไร และจากมุมมองของพวกหลิงม่อ…ถึงแม้ไม่คำนึงถึงเรื่องโกดังอาหาร พวกเขาก็ไม่อาจปล่อยคนพวกนี้ไปเฉยๆ เพราะอีกฝ่ายไม่เพียงฆ่าจางเส่อ แต่ยังคิดฆ่าพวกเขาทุกคนด้วย
ดังนั้น ถึงแม้จุดยืนต่างกัน แต่สองฝ่ายกลับมีเป้าหมายหนึ่งเดียว นั่นก็คือ…
“ฆ่าอีกฝ่าย! พวกเขาคิดอย่างนี้ พวกเราก็คิดแบบเดียวกัน” หลิงม่อพูดต่อ “แน่นอนดูจากสถานการณ์ตอนนี้ พวกเราอยู่ในที่แจ้ง พวกเขาอยู่ในที่ลับ พวกเราเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่คิดดูดีๆ ตั้งแต่เริ่มสู้จนถึงตายไป หมอนี่ยังไม่เคยรายงานข้อมูลใหม่กลับไปซักครั้ง ซึ่งหมายความว่า ลูกพี่ที่หมอนี่พูดถึง ยังคงรู้จักพวกเราแค่ผิวเผินเท่านั้น ในขณะที่พวกเรากลับล้วงข้อมูลจากคนของมันมาได้ไม่น้อย”
“นั่นหมายความว่า…ได้เปรียบเสียเปรียบพอกันหรอ?” สวี่ซูหานก้าวออกมา แล้วถาม
อวี่เหวินซวนครุ่นคิด พลางหัวเราะเย็นชา “อย่างนี้ก็ดี ให้พวกเรากับพวกมันได้สู้กันอย่างยุติธรรมซักตั้ง!”
เย่ไคเองก็แค่นเสียง พลางลูบคมมีดบอกว่า “ก็แค่แมงมุมไม่ใช่หรือไง? เปรียบพวกมันเหมือนซอมบี้หรือสัตว์กลายพันธุ์ก็ได้นี่ ถึงอย่างไร ขอเพียงฆ่าพวกมันให้หมด และพวกเรารอดกลับมา เท่านั้นก็พอ!”
ทุกคนต่างสบตากัน และพยักหน้าอย่างเงียบงัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง อยู่ๆ เฮยซือก็เบียดมุดออกมาจากข้างกายหลิงม่อ จ้องศพนั้นแล้วบอกว่า “คือว่า…ทุกคนพูดจบแล้วใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นฉันจะจัดการเขาก่อนแล้วกัน ปล่อยทิ้งไว้ที่นี่คงไม่ดีเท่าไหร่…”
“ป๊าบ!”
หลิงม่อวางฝ่ามือลงกลางศีรษะเล็กๆ ของมัน บอกว่า “อยู่เฉยๆ เลย…”
“จิ๊…”
“จิ๊อะไร…”
ขณะนี้ยังเหลือเวลาอีกช่วงหนึ่ง ก่อนจะถึงเที่ยงคืน…
เพื่อเตรียมรับมือกับการลอบโจมตีที่อาจมาเยือนได้ทุกเมื่อ พวกหลิงม่อจึงเพิ่มกำลังเฝ้ายาม
กลุ่มหนึ่งคือทีมตั้งรับศึกที่มีเย่ไคเป็นผู้นำ อีกกลุ่มคือทีมสังเกตการณ์ที่มีจางซินเฉิงเป็นคนนำ
ที่เหลือ รวมตัวกันเพื่อเป็นกำลังหลักในการต่อสู้…
การแบ่งกลุ่มอย่างนี้แม้ง่ายดาย แต่กลับมีประสิทธิภาพสูง ยิ่งเมื่อชั้นนอกสุด ยังมีหมีแพนด้ากลายพันธุ์คอยซุ่มโจมตีอยู่อีกชั้นด้วยแล้ว
ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด ทุกคนต่างเตรียมพร้อมกันอย่างเงียบๆ
สนามหลักในการต่อสู้ ถูกกำหนดไว้ในอาคารโรงงานซึ่งมีเนื้อที่กว้างพอ และสามารถหลีกเลี่ยงการถูกล้อม
แน่นอนจากที่เย่ไคเล่าให้ฟัง…จางเส่อตายที่นี่ ฉะนั้นเขาจะทำให้คนพวกนั้นถูกฝังเป็นเพื่อนเขาอยู่ที่นี่
“นี่…”
บนหลังคาอาคารโรงงาน อวี่เหวินซวนทิ้งตัวอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็เดินไปหาหลิงม่อที่นั่งอยู่บนจุดสูงสุด “ทำอะไรอยู่?”
“พวกเขาล่ะ?” หลิงม่อทอดมองอำเภอหลีหมิงอันมืดมิดเบื้องหน้า ถามโดยไม่หันมามอง
อวี่เหวินซวนนั่งลงข้างเขา ตอบว่า “กำลังเตรียมตัวกันอยู่ หรือไม่ก็ตรวจอาวุธกันอยู่ล่ะทั้ง จะว่าไป สมาชิกทีมนี้ถือว่ามีศักยภาพในการต่อสู้สูงมาก เพราะถึงยังไง เมื่อก่อนทุกคนก็เป็นแค่คนธรรมดามาก่อนนี่นา”
เขาล้วงบุหรี่ออกมาหนึ่งมวน ยกขึ้นคาบ แล้วถามหลิงม่อ “ซักมวนไหม?”
“ไม่เอาล่ะ…สูบบุหรี่ตรงนี้ ระวังจะกลายเป็นเป้า” หลิงม่อมองหน้าเขาครู่หนึ่ง แล้วบอก
“นายคิดว่าตัวเองไม่ใช่เป้าหรือไง…” พูดถึงตรงนี้ อยู่ๆ อวี่เหวินซวนก็เปลี่ยนเรื่อง “ถ้าเรื่องนี้จบ ฉันอาจไม่กลับค่ายซักพักล่ะ ถึงยังไงตอนนี้ก็มีนายเป็นลูกพี่แล้ว และถึงนายไม่ชอบงานบริหาร ก็ยังมีจางอวี่อยู่นี่? อีกอย่าง ฉันว่ามู่เฉินก็ไม่เลวเหมือนกัน อ้อ ใช่สิ ยังมีลูซี่จากกองกำลัง F อีก เธอน่าจะช่วยนายได้ไม่น้อย ส่วนทางฟอลคอน ยังมีซูเชี่ยนโหรว…”
“เดี๋ยว…นายจะไปไหน?” หลิงม่อรีบตัดบทเขา แล้วถามอย่างแปลกใจ
หมอนี่เป็นพวกบ้าน้องสาวตัวเองไม่ใช่หรอ…
“อะแฮ่ม…จะว่าไงดีล่ะ ความจริงฉันก็ทำใจห่างย่าหลินไม่ได้หรอกนะ กลัวว่าเธอจะถูกนายรังแก…” อวี่เหวินซวนสูดหายใจลึก พลางพูดขึ้น
“หยุดตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จได้แล้ว เห็นๆ กันอยู่ว่าเธอต่างหากที่เป็นฝ่ายใช้กำลังกับฉัน…” หลิงม่อพึมพำ
“ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะถือโอกาสจัดพิธีแต่งงานหรืออะไรทำนองนั้นให้พวกนายดีไหม แต่น่าเสียดายยังไม่ทันเตรียมเสร็จ นายก็ต้องออกมาทำภารกิจนี้เสียก่อน” อวี่เหวินซวนพูดต่อเหมือนไม่ได้ยินหลิงม่อ
“พิธีแต่งงานหรอ…เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้นายหมายความว่า…นายเตรียมไว้แล้วงั้นหรอ! ทำไมฉันไม่รู้เรื่องซักนิดเลยล่ะ!”
อวี่เหวินซวนพลันเผยยิ้มบางๆ ทอดมองไปข้างหน้าแล้วบอกว่า “ดังนั้นฉันก็เลยคิดว่า…เอาไว้รอฉันตามหาเธอคนนั้นเจอก่อน พวกเราค่อยจัดพิธีแต่งงานคู่แล้วกัน? ฉันกับเธอ นายกับย่าหลิน เราสองพี่น้องออกเรือนพร้อมกัน…ถึงแม้อยู่ในยุคสิ้นโลก แต่มันก็น่าจะเป็นเรื่องน่ายินดีมากไม่ใช่หรอ? ใช่สิ…ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเรื่องชุดแต่งงาน ฉันได้สั่งให้คนตามหาไว้สิบตัว…”
“นี่นายคำนวณยังไงถึงออกมาเป็นสิบตัว…ช่างเถอะ เรื่องนี้เอาไว้ก่อน เธอที่นายพูดถึงคือ…” หลิงม่อถาม
“คู่หมั้นล่ะมั้ง…ถึงแม้เมื่อก่อน ฉันอาจไม่ได้รักเธอ แต่ตั้งแต่ตอนนั้น…” เขาก้มหน้าสูบหรี่ลึกๆ อีกครั้ง แล้วจึงค่อยเงยหน้าพูดต่อ “ความจริง คนที่สูญเสียไปแล้ว แล้วค่อยมารู้คุณค่าอย่างฉัน ใครรู้เข้าคงโดนด่าว่าเสแสร้งสินะ? อุวะฮ่าฮ่าฮ่า…ฉันก็ไม่ได้สนความคิดคนอื่นหรอกนะ แต่ด่านสำคัญที่ฉันไม่รู้ว่าจะผ่านไปได้ไหม คือไม่รู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า? ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ เธอจะเป็นยังไงไปแล้ว? หลังจากตามหาเธอเจอ ฉันจะทำยังไงต่อ? ถ้าคิดดูดีๆ แล้ว ที่ฉันตามพวกนายออกมา ความจริงเพราะเหตุผลส่วนตัวซะมากกว่า…”
หลิงม่อฟังเงียบๆ ไม่พูดอะไร…ถึงแม้ยามปกติอวี่เหวินซวนจะบ้าๆ บอๆ คำพูดที่ออกจากปากเขามักทำคนคลั่งได้ง่ายๆ แต่อยู่ๆ ได้ยินเขาพูดจาเย้ยหยันและเกลียดชังตัวเองด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบนี้ หลิงม่อกลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยถาม “อะไรที่ทำให้นายตัดสินใจได้?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก…แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็อาจเป็นเพราะช่วงสามวันที่นายไม่ได้สติล่ะมั้ง พอเห็นย่าหลินกับพวกเธอคอยดูแลนาย ทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นได้ เมื่อก่อน เธอก็เคยดูแลฉันอย่างนั้น…เพื่อหน้าที่การงาน ฉันมักดื่มจนเมาหมดสภาพอยู่บ่อยๆ แต่ทุกครั้งฉันจะตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนนุ่มๆ เสมอ น่าเสียดาย ที่ฉันไม่รู้จักใส่ใจรายละเอียดเหล่านั้นและรักษามันให้ดี…” อวี่เหวินซวนหัวเราะ แต่ครั้งนี้น้ำเสียงกลับเจือแววขมขื่น มากกว่าคลุ้มคลั่ง
“ดังนั้นครั้งนี้ ถึงตาฉันควรดูแลเธอบ้างแล้ว เหมือนที่นายคอยดูแลพวกเธอตอลดเวลานายสบายดีไงล่ะ ทำเป็นบอกว่าถูกรังแก…ความจริงนายคงเต็มใจมากกว่าสินะ? ขอเพียงพวกเธอมีความสุข นายยินยอมพร้อมใจเสมอ ใช่ไหมล่ะ?” พูดถึงตรงนี้ อยู่ๆ อวี่เหวินซวนก็หันมาถาม “หลิงม่อ ฉันไม่รู้ว่าต่อไปเรื่องราวจะเป็นยังไง ไม่ว่าจะตามหาเธอเจอ หรือไม่เจอ ฉันก็มองไม่เห็นเลยว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปในทางไหน นายล่ะ? นายเคยคิดถึงอนาคตบ้างไหม?”
หลิงม่อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยตอบ “มาถึงป่านนี้แล้ว ยังจะมาพูดเรื่องอนาคตอะไรกัน…แค่ใช้ชีวิตให้ดีในแต่ละวัน ก็ไม่เหลือแรงคิดอะไรแล้วไม่ใช่หรอ?”
อวี่เหวินซวนมองหน้าเขาอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยถอนสายตากลับท่ามกลางควันบุหรี่เบาบาง
“งั้นหรอ? ก็จริงนะ…ถ้าหากตามหาเธอเจอ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ ฉันก็จะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน…”
———————————————-