แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1065 ใยแมงมุมที่กำลังถักถอ
“จิ๊ๆ…เจ้าเฟิ่งจื่อนั่นอุตส่าห์เปิดใจกับนาย ทำไมนายพูดแบบขอไปทีอย่างนั้นกับเขาล่ะ?”
อวี่เหวินซวนเพิ่งออกไปได้ไม่นาน เสียงเล็กแหลมหนึ่งก็ดังมาจากข้างหลัง
หลิงม่อกลอกตาขาว บอกว่า “บางเรื่อง ไม่ให้คนอื่นรู้จะเป็นการดีกว่า แล้วนี่…แค่แอบฟังคนอื่นคุยกันเงียบๆ ก็แล้วไป แต่นี่ยังกล้าเดินออกมาเสนอความเห็นเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาเลยนะ!”
“แต่ฟังจากคำพูดที่แฝงความนัยของเขา เขาน่าจะรู้ความจริงมาตลอดไม่ใช่หรอ?” สองมือที่เกาะขอบหลังคาไว้ของเฮยซือออกแรงเล็กน้อย จากนั้นเท้าเล็กๆ ข้างหนึ่งก็ก้าวขึ้นมา ปากยังพึมพำต่อว่า “ร่างกายนี่เคลื่อนไหวไม่สะดวกเอาซะเลย! จะบอกให้นะ ถ้าหากว่านับตาอายุของหมา…ตอนนี้ฉันก็เลขสามแล้วนะ…”
“แกจะบอกว่าแกโตกว่าฉันงั้นหรอ? เหอะ ใช้ชีวิตตามอายุหมาไปเงียบๆ เลย! ร่างกายของแกตอนนี้อย่างกับเด็กสามขวบ เหมาะกับแกพอดีเลยนี่” หลิงม่อถากถาง จากนั้นก็ทอดถอนใจ พูดเสียงเบา “ถึงจะเป็นอย่างนั้น ฉันก็บอกเขาตรงๆ ไม่ได้หรอก ให้บอกว่าความจริงย่าหลินเป็นซอมบี้ แล้วจากนั้นล่ะ?”
เฮยซือเดินโซเซมาหยุดข้างกายเขา บอกว่า “ที่แท้นายก็กลัวเขาถามนี่เอง…แต่ว่าเรื่องนี้ นายวางแผนไว้นานแล้วไม่ใช่หรอ? บอกตามตรง ฉันคิดว่าการปรากฏตัวของอสุรกายนรกพวกนั้นกลับทำให้นายได้วัตถุดิบอย่างดีมา…ถึงแม้พวกมันแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้เพียงชั่วคราว แต่ว่านั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า การเป็นทั้งซอมบี้และมนุษย์ในเวลาเดียวกันมีโอกาสเป็นไปได้จริงๆ ไม่ใช่หรอ?”
“อื่ม…ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน…” หลิงม่อพยักหน้า
เฮยซืออึ้งงัน จากนั้นก็ถามอย่างสงสัย “แต่นายดูเหมือนไม่ค่อยดีใจเลยนะ…เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่นายอยากทำให้สำเร็จที่สุดไม่ใช่หรอ? อีกอย่าง…ทำไมนายไม่ด่าที่ฉันแอบอ่านความคิดนายล่ะ? ทำไมอยู่ๆ ก็ใจกว้างขึ้นมา ไม่ชินเลย…”
“เรื่องนี้น่ะ…อาจเป็นเพราะรูปร่างของแกทำให้ฉันตระหนักได้ว่าแกเป็นแค่เด็กสามขวบ ฉันเลยขี้เกียจถือสาเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม…” หลิงม่อบอก
“นี่…เชื่อไหมว่าฉันจะกินนายก่อนที่แมงมุมพวกนั้นจะมาถึงเสียอีก…” ดวงหน้าเล็กๆ บึ้งตึง พลางพูดอย่างโมโห
หลิงม่อกลับยื่นมือออกไป บอกว่า “เอาเถอะ เข้าเรื่องสำคัญดีกว่า…ฉันไม่ได้ไม่ดีใจ แต่ว่า…คงจะเหมือนกับอวี่เหวินซวนล่ะมั้ง ค้นพบว่าเรื่องที่อยากทำอยู่แค่ตรงหน้าแล้ว แต่อยู่ๆ กลับลังเลขึ้นมาซะเฉยๆ ตามหาความทรงจำ ความรู้สึกทั้งหมดของมนุษย์กลับมา และใช้ชีวิตในฐานะซอมบี้กับมนุษย์ไปพร้อมๆ กัน นี่จะใช่บทสรุปที่พวกเธอต้องการจริงๆ หรือเปล่า?”
เห็นหลิงม่อยื่นมือมา เฮยซือพลันยกมือขึ้นป้องตามสัญชาตญาณ และขยับก้นหนีทันที แต่ปากกลับพูดเสียงจริงจังว่า “จิ๊…ก็นึกกำลังกังวลอะไรซะอีก มนุษย์ช่างคิดอะไรให้ยุ่งยากกันเก่งเหลือเกินนะ! นายลืมไปแล้วหรอตอนนี้พวกเธอยังเป็นซอมบี้นะ เจ้านายซย่าน่าเป็นกรณีพิเศษจะไม่พูดถึงแล้วกัน…ซอมบี้ปกติล้วนดื้อดึงกันทั้งนั้น! ทั้งๆ ที่พวกเธอรู้ว่านายคิดอะไร แต่กลับยังอยู่ข้างกายนายไม่ไปไหน นั่นก็บ่งบอกทุกอย่างได้ดีแล้วไม่ใช่หรอ? เป็นเจ้านายกลับต้องให้สัตว์เลี้ยงมาชี้แนะ ที่ว่ามนุษย์หน้าโง่คงจะจริง…”
“ฉันกะแล้วเชียว เวลาพวกแกทำหน้าตาออดอ้อนน่ารัก ความจริงกำลังพูดคำพวกนี้อยู่ในใจสินะ! แต่เอาเถอะ…ที่แกพูดน่ะฉันรู้หมดแหละ แต่ที่มนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์อยู่วันยังค่ำ ก็เพราะแม้บางเรื่องคิดจนกระจ่างแล้ว ก็ยังอดกังวลไม่ได้ไงล่ะ…เอาเป็นว่า ยังไงฉันก็ดีใจมาก ไม่ว่าอย่างไร เรื่องที่แต่เดิมแทบไม่มีความหวัง กลับมองเห็นความเป็นไปได้ขึ้นมาริบหรี่ ต่อไปสิ่งที่ต้องทำ ก็เหลือแต่รอให้เหล่าหลันวิจัยศพของอสุรกายนรกพวกนั้นเท่านั้น แล้วก็แมงมุมที่อยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างพวกนี้ ก็น่าจะเป็นเบาะแสได้ใช่ไหม?”
หลิงม่อตบหัวมันอีกครั้ง เฮยซือลืมตัวนั่งลง และยกสองมือขึ้นไปข้างหน้าทันที…ทว่าไม่นานเธอก็ได้สติ ยกมือข้างหนึ่งถูวนใบหูเบาๆ แค่นเสียงไม่พอใจเบาๆ “มนุษย์ พอได้แล้วมั้ง…”
“ไม่เสียแรงที่ถูกฝึกซ้อมมาอย่างดี…”
“…เขาเรียกว่าฝึกฝน!”
แต่อยู่ๆ หลิงม่อกลับเปลี่ยนสีหน้า ปล่อยเฮยซือ แล้วถามอย่างจริงจัง “ตอนนี้บอกมาได้แล้ว…เกิดอะไรขึ้นกับแกกันเน่? ก่อนหน้านี้แกเคยบอกว่านี่เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของแกเท่านั้น…”
“ก็นึกว่านายจะไม่ถามแล้วซะอีก…” เฮยซือทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้า บอกว่า “ฉันไม่ได้พูดไปมั่วๆ หรอกนะ ตอนนี้ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ถือว่าเป็นแค่ครึ่งหนึ่งของฉันเท่านั้น นายน่าจะยังจำได้นะ ตอนที่ฉันกับซือหรานอยู่ด้วยกัน เริ่มมีสัญญาณดูดกลืนซึ่งกันและกันปรากฏขึ้นแล้ว ถึงยังไงการที่ร่างกายร่างเดียวถูกควบคุมโดยประสาทศูนย์กลางสองอัน ย่อมเกิดปัญหา นอกจากว่าจะเป็นเหมือนกับเจ้านายซย่าน่า ที่พื้นฐานเป็นคนคนเดียวกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าหากพูดกันตามจริง เธอก็เป็นเหมือนมนุษย์สองหน้าไม่ใช่หรอ?”
“แต่ว่าฉันกับซือหรานน่ะไม่เหมือนกัน พวกเราไม่เพียงแต่ไม่ได้เป็นร่างเดียวกัน แต่ยังต่างเผ่าพันธุ์กันอีกด้วย ถึงแม้ว่าฉันเคยคิดจะแทนที่เธอ แล้วสืบทอดความคิดที่อยากกินนายต่อจากเธอ และกลับไปเป็นสัตว์เลี้ยงในตอนสุดท้าย แต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ…”
“พูดแผนชั่วออกมาได้หน้าตาเฉยเลยนะ! กะแล้วเชียว สายตาแกเหมือนกำลังสังเกตว่าฉันหยุดหายใจหรือยัง ที่แท้ฉันไม่ได้รู้สึกไปเองสินะ!” หลิงม่อตกใจ
เฮยซือแก้มป่อง บอกว่า “เรื่องเล็กน้อยที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปน่า เป็นผู้ชายต้องเรียนรู้ที่จะละทิ้งอดีตและก้าวไปข้างหน้านะ…เอาเป็นว่า หลังจากตระหนักได้ว่าหากอยู่กับเธอจะยากต่อการทำเรื่องสำคัญของฉันให้สำเร็จ ฉันก็เริ่มคิดหาทางอื่น…”
“นี่เท่ากับแกกำลังประกาศว่าแกไม่ยอมแพ้ไม่ใช่หรอ?! ที่กลายเป็นแบบนี้ก็เพื่อจะกินฉันนี่!” หลิงม่อบอก
เฮยซือปฏิเสธทันควัน “เปล่าๆ ฉันก็แค่อยากจะเป็นเจ้านายบ้างเท่านั้นเอง…”
“ไม่ได้ดีขึ้นเลย กลับยิ่งฟังดูแย่ลงกว่าเดิมซะอีก…”
“ตอนแรกฉันอยากเป็นเหมือนเจ้านายซย่าน่า…แต่สุดท้ายก็พบว่าจะให้หมาตัวหนึ่งแยกบุคลิกออกเป็นสองนั้น เป็นเรื่องยากเกินไป…ฉันก็เลยเริ่มคิดหาทางอื่น…อย่างเช่น ในเมื่อได้ละทิ้งร่างกายส่วนใหญ่ไปแล้ว งั้นทำไมไม่ทิ้งไปทั้งร่างเลยล่ะ? ซึ่งหมายความว่า ย้ายร่างจริงไปยังพลังงานทางจิต โดยเฉพาะพลังงานกลุ่มที่เป็นประสาทควบคุมส่วนกลางที่ผูกติดอยู่กับซือหรานนั่น ขั้นตอนนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้าเนิ่นนาน และเพราะเหตุผลนี้ ฉันถึงได้หยุดอยู่แค่ในระดับภาพวาดลายเส้นง่ายๆ ตั้งนาน ไม่มีความก้าวหน้า…” เฮยซือเล่า
“เห็นระดับความยากได้จากภาพวาดลายเส้นสินะ…”
“การก้าวข้ามครั้งสุดท้าย คือตอนที่ซือหรานสู้กับมนุษย์ที่ชื่อผีเสื้อคนนั้น เธอใช้เรี่ยวแรงแทบทั้งหมด สัญชาตญาณถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง นั่นทำให้ฉันได้รับผลกระทบมาก จนต้องเข้าสู่ภาวะไร้จิตใต้สำนึก พอตื่นขึ้นมา ฉันก็ทำสำเร็จแล้ว…” เฮยซือพูดต่อ “แต่หลังจากลายเป็นพลังงานทางจิต ดวงแสงแห่งจิตของซือหรานก็ยากรองรับฉันได้ ดังนั้นฉันก็เลยแบ่งอีกครึ่งหนึ่งไปไว้ในร่างจริงอีกครั้ง เพื่อทำความฝันที่อยากมีร่างเป็นของตัวเองให้สำเร็จ ฉันจึงเริ่มมองหาร่างร่วมที่เหมาะสม…เรื่องต่อจากนั้น ก็เป็นอย่างที่นายรู้นั่นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้น…” หลิงม่อฟังแล้วก็ปวดหัว หมาตัวหนึ่งกลับสู้ขนาดนี้ โลกใบนี้เพื่อวิวัฒนาการแล้วช่างบ้าคลั่ง…เขาเรียบเรียงคำพูด แล้วถาม “ตอนนี้แก มีร่างร่วมสองร่าง? ร่างหนึ่งคือร่างที่นั่งอยู่ตรงนี้ อีกร่างก็คือซือหราน?”
“ถูกต้อง” เฮยซือหัวเราะ บอกว่า “ดังนั้นนายวางใจเถอะ เด็กผู้หญิงนั่น หนีจากเงื้อมมือนายไปไม่ได้หรอก!”
“…เริ่มแรกแกเป็นคนจับเขามาต่างหาก! อย่ามาพูดเหมือนฉันเป็นคนอยู่เบื้องหลังนะ!” หลิงม่อเงียบไปสองวินาที แล้วอยู่ๆ ก็พูดอย่างโมโหขึ้นมา
ในตอนนั้นเอง ทั้งสองกลับหุบปากพร้อมกันทันที
ราตรีอันเงียบสงัด อำเภอเล็กๆ ไร้เงาผู้คนแห่งนี้…ในความมืด ราวกับมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้…
หลังจากเงี่ยฟูฟังสิบกว่าวินาที อยู่ๆ เฮยซือก็เงยหน้าขึ้น ถามเสียงเบา “ได้ยินแล้วใช่ไหม?”
หลิงม่อพยักหน้า สีหน้าตึงเครียด “ได้ยินแล้ว…”
ไม่ใช่แค่เขาสองคน ทีมสังเกตการณ์ที่อยู่บนกำแพงกับหลังคารถ รวมถึงทีมตั้งรับที่เฝ้าอยู่หน้าประตูอาคาร ล้วนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน และมองไปยังทิศทางเดียวกัน…
สวบๆๆ
ทุกอย่างยังคงเงียบสงัดไร้เสียง และยังคงไร้เงาคนปรากฏให้เห็น ทว่าเสียงเคลื่อนไหวที่แผ่วเบาแต่ดังระงมชวนสะดุ้งนั้น กลับกำลังเคลื่อนเข้ามาดั่งคลื่นที่ซัดสาดมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว
มาแล้ว
หลิงม่อจ้องมองไปข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อ พลางลอบกำหมัดแน่น
ขณะที่หนังศีรษะตึงชา เขาก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นด้วย…
ใช่แล้ว หลังจากที่ความหวังปรากฏ ก็ต้องมีชีวิตอยู่…เพื่อบรรลุเป้าหมายให้ได้!
———————————–