แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1077 มนุษย์ไมค์โครโฟน
ชายคนนั้นกลับไม่คิดจะถามว่าอัตรารอดชีวิตสูงเท่าไหร่ เขาเพียงแค่นเสียง แล้วพูดอย่างเสียงสะบัด “บอกแผนการของแกมา”
“ความจริงมันก็ไม่ได้ซับซ้อน…” ซุนซวี่เริ่มพูดทันที “แกเดินไปยังจุดที่ห่างจากพวกมัน 30 เมตรก่อน…หากนับตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้น 30 เมตรน่าจะอยู่กึ่งกลางทางเดินเส้นตรงเส้นนี้ที่ทอดยาวจากที่นี่ไปยังอาคารหลังนั้น อย่างนี้ถึงแม้อีกฝ่ายคิดจะโจมตีแก ฉันก็จะได้ไปช่วยทัน เข้าใจหรือยัง? แน่นอน อีกฝ่ายก็กลัวระยะห่างเท่านี้เหมือนกัน ดังนั้นอัตราความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะโจมตีแก ก็จะลดลงไปมาก เรื่องสำคัญที่แกต้องทำจากนั้น คือคำพูดที่แกจะตะโกนบอกพวกมัน สิ่งที่แกต้องทำ ก็คือล่อพวกมันออกมา อย่างน้อย ก็ทำให้พวกมันคุยกับแกให้ได้”
ชายคนนั้นฟังซุนซวี่อธิบายแผนการเงียบๆ แต่พอฟังถึงตรงนี้ อยู่ๆ เขาก็แค่นหัวเราะเย็นชา “ฉันเข้าใจแล้ว แกจะส่งฉันไปเป็นเหยื่อล่อสินะ? พูดออกมาตรงๆ ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ไม่เห็นต้องทำเป็นพูดถึงเรื่องอัตราการรอดชีวิตอะไรนั่นเลยนี่! แกคิดว่าฉันตาบอดมองไม่เห็นจุดจบของสองคนนั้นหรอวะ?” เขาชี้ไปที่ก้อนเนื้อเละๆ ที่กระจายอยู่บนพื้น แล้วกัดฟันกรอด อารมณ์กลับมาพลุ่งพล่านอีกครั้ง
“ทำไมล่ะ แกคิดว่าสิ่งที่ฉันทำไปเมื่อกี้มันเปล่าประโยชน์งั้นหรอ?” ซุนซวี่ยกมือขึ้นลูบหน้า บอกว่า “แต่ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกมันก็ไม่จำเป็นต้องลำบากโจมตีกลับมาแบบนี้เลยนี่? พวกมันรู้ดีแก่ใจ ว่าการโต้กลับแบบนี้ไม่ได้มีความหมายมากนัก ถ้าหากว่าไม่สนใจจริงๆ พวกมันคงเมินเฉยไปแล้ว จะได้ไม่ต้องเปลืองแรงเปล่า ฉันมั่นใจได้เลย ตอนนี้พวกมันกำลังโมโหจนแทบอกแตกตายแน่ๆ ถึงแม้จะฝืนข่มกลั้นไว้ได้ แต่ก็กระตุ้นให้โกรธอีกครั้งได้ไม่ยาก แต่แกไม่จำเป็นต้องกลัวขนาดนั้น ฉันไม่ได้จะให้แกไปด่าพวกมัน แต่จะให้ไปเจรจา”
“เจรจา?” รอบข้างมีคนถามขึ้นอย่างสงสัย
ซุนซวี่พยักหน้า “ว่ากันตามตรง พวกมันไม่ใช่ซอมบี้ หรือสัตว์ประหลาดเสียหน่อย เสียงประหลาดที่พวกแกได้ยินก่อนหน้านี้ก็น่าจะเป็นเสียงที่พวกมันสร้างขึ้นเอง อย่างอื่นไม่ว่า แต่สัตว์ประหลาดที่ไหนขับเครื่องบินเป็นกันล่ะ? ดังนั้น ขอเพียงอีกฝ่ายเป็นคน เรื่องนี้ก็ยังมีโอกาสให้เจรจาได้อยู่”
“เราฆ่าคนของพวกมันตาย จะเจรจายังไง?” ชายคนนั้นพูดแทรกขึ้นด้วยเสียงเย็นชา
คนที่เหลือต่างพากันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่กลับไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่พวกเขาเองก็มีคนตายเช่นกัน…
“เรื่องนี้ฉันคิดมาแล้ว หากวิเคราะห์จากพฤติกรรมของพวกมัน พวกมันคงไม่คิดยอมแพ้จริงๆ แต่ลองคิดย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนแรกสิ…ตอนแรก ทำไมพวกเราถึงโจมตีพวกมัน?” ซุนซวี่ถาม
เฮ่อเจิ้นขมวดคิ้วตอบ “เพราะว่า…พวกมันอาจตั้งใจมาตามหาโกดังอาหาร?”
“นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ในอีกด้านเป็นเพราะกูเหมือนพวกมันคิดจะอาศัยอยู่ที่นี่ไปอีกนาน ดังนั้นลู่เหรินถึงตงิดใจและไปสำรวจดู ไม่งั้นถึงแม้พวกมันจะไม่สนใจโกดังอาหาร แต่ก็อาจค้นพบปัญหาที่แท้จริงของอำเภอหลีหมิงเข้าก็ได้ เพราะมีการคาดเดาที่ต่างกันสองแบบ ดังนั้นพวกเราจะมั่นใจเต็มร้อยก็ไม่ได้” ซุนซวี่ชะงักไปครู่หนึ่ง หันไปมองชายหนุ่มแล้วบอกว่า “อันดับแรก แกต้องถามเรื่องนี้กับพวกมัน เพื่อให้บทสนธนายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แกจะบอกตำแหน่งโกดังอาหารให้พวกมันรู้เลยก็ได้ อีกอย่างเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายลงมือฆ่าแกทันที แกจำเป็นต้องพูดตามนี้…”
เขาครุ่นคิด เขยิบเข้าไปใกล้ชายคนนั้น แล้วกระซิบเสียงเบาอยู่ครู่หนึ่ง
ส่วนชายคนนั้นนิ่งฟังเงียบๆ สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนไปซักนิด ไม่รู้ว่าเขาฟังเข้าใจหรือไม่ และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
พูดจบ ซุนซวี่ก็ยืดตัวตรง ดูท่าทางเขาเองก็ไม่ได้สนใจความคิดของชายคนนั้น เพียงพูดตรงๆ ว่า “เรื่องที่ฉันบอกแกเมื่อกี้ ทุกขั้นตอนล้วนสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนสุดท้าย ถ้าหากแกไม่ทำพลาดได้ ฉันรับรองว่าแกจะไม่ตาย หลังจากที่แกรอด ฉันจะบอกลูกพี่ ให้อัพเกรดแมงมุมในร่างแก ถึงแกจะไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษ แต่ถ้าได้อัพเกรด อย่างน้อยแกก็จะได้ตำแหน่งที่ไม่น้อยหน้ากว่าฉัน”
“อะไรนะ…”
คนที่เหลือพอได้ยินถึงตรงนี้ ก็ฮือฮาขึ้นมาทันที บางคนดวงตาเป็นประกายลุกวาว ทว่าพอเห็นสายตาของชายคนนั้น รวมถึงกองเนื้อเละๆ บนพื้น พวกเขาก็สงบปากสงบคำทันที แม้รางวัลตอบแทนจะดีอีกแค่ไหน แต่ก็ต้องรอดชีวิตกลับมาให้ได้ก่อน ความจริงตำแหน่งอะไรนั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย…
ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของคนเหล่านี้ ส่วนมากก็ถึงวัยกลางคนกันแล้ว บางคนกระทั่งใกล้ 50 – 60 ปีแล้วด้วยซ้ำ ตรงกันข้าม ซุนซวี่แม้จะผมหงอกขาวเต็มหัว แต่รูปร่างหน้าตากลับยังดูหนุ่มแน่น…นอกจากนี้ ต่อหน้าซุนซวี่ พวกเขาไม่มีสิทธิ์คัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาเทียบไม่ได้แม้แต่กับแมลงตัวหนึ่งด้วยซ้ำ เป็นแมลงยังลอบกัดได้ แต่พวกเขาแค่คิดจะลงมือก็ยังทำไมได้…
การอัพเกรดแมงมุมที่พูดถึงนั้น ความจริงคือวิวัฒนาการอย่างหนึ่ง หลังจากที่วิวัฒนาการจากแมงมุมธรรมดาเป็นระดับที่สูงขึ้น แมงมุมก็จะไม่ตาย ทำให้พวกเขาไม่ต้องเปลี่ยนแมงมุมบ่อยๆ เมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเขาย่อมไม่ต้องใช้เลือดจำนวนมากหล่อเลี้ยงพวกมันอีก แต่นอกเหนือจากนี้ยังมีข้อดีอะไรอื่นอีกไหมนั้น คนเหล่านี้ล้วนไม่แน่ใจ…แต่ไม่ว่าอย่างไร แค่การอัพเกรดอย่างนี้ ก็ทำให้คนหวั่นไหวได้ไม่น้อยแล้ว ถ้าหากไม่ใช่ว่าภารกิจนี้เสี่ยงมาก หลายคนในพวกเขาแทบอยากจะขออาสาไปแทนแล้ว…
“ถ้าเข้าใจหมดแล้ว แกก็ไปได้เลย” ซุนซวี่ลอบคำนวณเวลาเงียบๆ แล้วพูดขึ้น
ชายคนนั้นเมื่อกี้ยังดูใจเย็น แต่พอถึงเวลานี้ สองมือของเขากลับกระตุกสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ หลังจากจ้องหน้าซุนซวี่อยู่นานสองนาน ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ หมุนตัว และก้าวเดินไปข้างหน้าช้าๆ ขณะที่เขาเดินเข้าไปในประตูโรงงาน ทุกคนต่างลุ้นระทึกจนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ แม้แต่ตัวชายคนนั้นเองก็สะดุดไปเล็กน้อย ทว่าสองวินาทีผ่านไป ในโรงงานกลับยังคงเงียบสงัดดังเดิม มีเพียงกลิ่นน้ำมันฉุนๆ ที่ลอยตลบอบอวล และมีกลิ่นประหลาดผสมอยู่ด้วย ถึงแม้บอกไม่ถูกว่าเป็นกลิ่นอย่างไร แต่จิตใต้สำนึกของชายคนนั้นกลับรู้ดี ว่ามันคือกลิ่นของศพถูกเผานั่นเอง
เวลานี้สมองของเขาขาวโพลนไปหมด หลังจากที่เดินเข้าไปข้างใน 5 – 6 เมตร เขาถึงค่อยได้สติ เขาตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ในสมองกลับนึกย้อนไปถึงผู้หญิงคนนั้นที่ซุนซวี่พูดถึง…เขาเคยเห็นคนตายมานักต่อนัก แต่มีเพียงสภาพศพของผู้หญิงคนนั้นที่เขายังคงจำติดตามาจนถึงทุกวันนี้…
“แม่งเอ๊ย! ทำไมถึงยังจำได้วะ! แล้วอยู่ๆ พูดขึ้นมาในเวลาแบบนี้ คือจะให้ฉันยอมรับชะตากรรม ตายไปพร้อมกับนังนั่นงั้นหรอ? อะ…อัตรารอดชีวิต…” ชายคนนั้นคิดฟุ้งซ่าน กว่าจะเดินไปถึงจุด 30 เมตร สายตาของเขาก็สับสนฟุ้งซ่าน ขณะจับจ้องไปที่ประตูเหล็กเลอะคราบเลือดบานนั้น ชายคนนั้นกระทั่งรู้สึกว่า ตัวเองอาจถูกพลังงานที่มองไม่เห็นฆ่าได้ทุกเมื่อ และในขณะที่เขาเกิดความคิดนี้ขึ้น สัมผัสอันตรายถึงชีวิตพลันบังเกิดทันใด
“คนที่เดินเข้ามาหยุดแล้ว” เฮยซือหมุนตัวมา แหงนหน้าพูดเสียงเล็กแหลม “คิกๆๆ…ดูเหมือนจะไม่ได้ถูกส่งมาตายนะ ไม่เห็นปล่อยแมงมุมเลย”
“อะไรนะ? ไม่เดินเข้ามาแล้วหรอ? งั้นมันคิดจะทำอะไรกันล่ะ? ถ้าหากคิดจะยอมจำนน ก็ฆ่ามันซะเลย!” เย่ไคพูดเสียงดุดัน
อวี่เหวินซวนกลับเสนอว่า “น้องเขยถ้านายยอมช่วยฉันเล็ง ฉันลงมือได้นะ ถึงแม้ฉันจะลงมือได้ไม่น่ากลัวเท่านาย แต่ฉันจะทำให้ทุกคนรู้ว่าอะไรที่เรียกว่ารนหาที่ตาย”
“ถูกไฟครอกตายทั้งเป็นยังไม่น่ากลัวเท่าพลังของหัวหน้าหรอก…นี่นายกำลังถ่อมตัวหรือกำลังว่าคนอื่นอยู่กันแน่?” มู่เฉินถลึงตาจ้องเขา แล้วพูดขึ้น
“ยอมจำนน? เป็นไปไม่ได้หรอก อย่างไรเป้าหมายของพวกมันก็คือล่อพวกเราออกไปแน่นอน” สวี่ซูหานกลับพูดขึ้น
หลิงม่อครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็กระตุกมุมปากยิ้ม พูดเสียงเรียบ “ถ้าอย่างนั้น เราก็ฟังก่อนแล้วกันว่ามันจะมาพูดอะไร หรือพูดอีกอย่างก็คือ ฟังว่าหัวหน้าของพวกมันจะพูดอะไร”
“ถ้าอย่างนั้น แสดงว่ามันแค่มาทำหน้าที่เป็นไมค์โครโฟนอย่างงั้นหรอ?” เย่ไคถาม
หลิงม่อพยักหน้า บอกว่า “ก็คงจะมีแต่ความเป็นไปได้นี้เท่านั้น”
“งั้นก็เท่ากับพวกมันกำลังคิดจะเล่นลูกไม้อะไรอยู่น่ะสิ?” มู่เฉินพูดอย่างดูแคลน หลิงม่อแค่โยนศพกลับไปให้อีกฝ่ายเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับเปลี่ยนแผนมาเล่นลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้แล้ว ยอมถอยเร็วเกินไปหรือเปล่า! พวกเขาอุตส่าห์ตั้งตารอดูอีกฝ่ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทนไม่ไหวพุ่งเข้ามาซึ่งๆ หน้า!
“หึ…คนคนนั้นฉลาดมาก มันไม่มีทางหลงกลง่ายๆ แน่ แต่ไม่รู้ว่ามันจะพูดอะไรบ้าง” หลิงม่อบอก
หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เงียบกริบ ทุกคนล้วนกำลังรอให้ผู้รอดชีวิตที่อยู่ข้างนอกอ้าปากพูด…และในระหว่างที่รอนั้น เวลาก็ได้ผ่านไป 5 วินาที…10 วินาที…