แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1078 การต่อสู้ 30 เมตร
ขณะใกล้ถึงหนึ่งนาที ชายคนนั้นสูดลมหายใจลึก พลันเงยหน้าตะโกน “ฉันรู้ว่าพวกแกตั้งใจมาตามหาโกดังอาหาร! แต่ในโกดังเต็มไปด้วยแมงมุมตั้งนานแล้ว! ถ้าพวกฉันต้องการ พวกฉันจะทำให้อาหารทั้งโกดังติดเชื้อเมื่อไหร่ก็ได้! พวกแกจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ!”
ตะโกนเสร็จ เขาก็เริ่มตัวสั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้…อีกฝ่ายจะไม่ฆ่าเขาจริงๆ หรอ? ถ้าหากพวกนั้นไม่ได้มาตามหาโกดังอาหาร เขาต้องตายแน่ๆ…
ในอีกด้าน หลังจากฟังที่ชายคนนั้นตะโกนพูดเสร็จ ทุกคนที่อยู่หลังประตูเหล็กพลันนิ่งงันไปครู่หนึ่ง นี่อีกฝ่ายกำลัง…ข่มขู่งั้นหรอ?
“ทุกคนได้ยินแล้วใช่ไหม? ถ้าเป็นอย่างนี้ เราจะเอายังไงกันต่อดี?” มู่เฉินครุ่นคิด แล้วพูดขึ้นอย่างลังเล เพราะถึงอย่างไรโกดังอาหารก็เป็นเป้าหมายหลักของพวกเขา ภายใต้สถานการณ์ที่อาหารขาดแคลนมากขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็แยกตัวออกจากฟอลคอนโดยสิ้นเชิงแล้ว รากฐานความมั่นคงและความเชื่อมั่นของค่ายปาฏิหาริย์ ล้วนขึ้นอยู่กับเสบียงอาหารจำนวนนี้ ไม่อย่างนั้น พวกเขาคงไม่ต้องเร่งรีบออกมาทำภารกิจขนาดนี้
“จากที่ฉันดู อีกฝ่ายแค่กำลังหยั่งเชิงพวกเรา” อวี่เหวินซวนบอก
เฮยซือจับคางทำท่าครุ่นคิดเหมือนผู้ใหญ่ แต่กลับพูดขึ้นด้วยเสียงเล็กแหลมว่า “ดังนั้นไม่ต้องคิดมากแล้ว ฆ่ามันเลย ที่พวกมันอาศัยอยู่ในสถานที่ที่เงียบจนนกยังไม่กล้าวางไข่อย่างที่นี่มาจนถึงตอนนี้ เพราะมีโกดังอาหารแห่งนั้นอยู่ นอกเสียจากว่าอับจนหนทางแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นพวกมันจะทุบหม้อข้าวตัวเองแบบนี้ทำไม?”
“ถึงจะไม่ผิดที่พูดอย่างนี้ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าพวกมันกำลังคิดอะไรอยู่…แล้วพอสถานการณ์เป็นอย่างนี้ พวกเราก็ฆ่าพวกมันไม่ได้ไม่ใช่หรอ?” สวี่ซูหานถอนหายใจ แล้วพูดอย่างปวดหัว
“ฉันว่า นี่คงเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายแน่ๆ ทำให้พวกเราหวาดกลัวเหมือนกับที่พวกมันเป็น” จางซินเฉิงที่เอาแต่หน้าบึ้งไม่พูดไม่จามาโดยตลอด เวลานี้อยู่ๆ กลับพูดขึ้น
พอเขาพูดอย่างนี้ หลิงม่อก็พยักหน้า แล้วพูดอย่างเห็นด้วย “ถูกต้อง และปัญหานี้ฉันก็เคยคิดมาแล้ว แต่ฉันว่าคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ ไม่ใช่คนพวกนี้แน่นอน คนอื่นฉันไม่รู้ แต่อย่างน้อยก่อนที่เชลยคนนั้นจะตาย มันมีเวลามากพอที่จะทำเรื่องนี้ อีกเหตุผลที่ทำให้ฉันคิดอย่างนี้ คือระหว่างร่างปรสิตแมงมุมตัวผู้พวกนี้กับแมงมุม สามารถอยู่ไกลกันได้ในระยะทางที่จำกัด ทุกคนลองคิดดูดีๆ สิ คิดว่าโกดังอาหารแห่งนั้น น่าจะอยู่ส่วนไหนในแผนที่?”
ทั้งหมดนิ่งงัน อวี่เหวินซวนรีบกางแผนที่ หลังจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตะโกนขึ้นอย่างตกตะลึง “นี่มันอยู่ไกลมากเลยนี่! แต่ถ้าดูจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ อำเภอหลีหมิงเป็นอำเภอที่อยู่ใกล้โกดังแห่งนั้นที่สุดแล้ว การที่อีกฝ่ายจะมาค้นหาสิ่งของ และรวดสำรวจที่นี่ไปด้วย ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าจะพูดกันตามจริง มันไม่ใช่ระยะทางที่จะเดินสิบนาทีแล้วถึงเลยนะ”
“เพราะอย่างนี้ ถ้าหากพวกมันสามารถควบคุมได้ในระยะห่างที่ไกลขนาดนั้น พวกมันจะมาถึงนี่ด้วยตัวเองทำไม?” หลิงม่อบอก เขาพูดออกไปตรงๆ ไม่ได้ว่าตัวเองรู้เรื่องนี้ผ่านหมีแพนด้ากลายพันธุ์ ถ้าไม่อย่างนั้น เขาคงระบุตัวเลขที่ชัดเจนกว่านี้ออกไปแล้ว นั่นก็คือ ระยะห่างจะต้องไม่เกิน 1000 เมตรแน่นอน และหากต้องการควบคุมแมงมุมจำนวนมาก หรือต้องการทำเรื่องที่ซับซ้อน ระยะห่างก็ยิ่งต้องสั้นลงด้วย ร่างปรสิตเหล่านั้นถึงแม้ว่าเคยหัวเราะเยาะลู่เหริน แต่ความจริงหากจะให้พวกเขาควบคุมแมงมุมไปกัดคนหรือวางพิษ ก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน ถ้าทำถึงขั้นนั้นจริงๆ พวกเขาคงถูกพวกเย่เลี่ยนจับได้ก่อนแล้ว ก็เหมือนกับลู่เหริน ในการลอบโจมตีครั้งที่สองเขาเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ถูกอวี๋ซือหรานดมกลิ่นได้ทันที
“ถ้าอย่างนั้น ไอ้คนที่อยู่ข้างนอกนั่นก็โกหกน่ะสิ?” เย่ไคถาม
หลิงม่อกลับส่ายหน้า “ไม่หรอก ตรงกันข้ามเลยล่ะ เขาพูดความจริงแน่นอน ถึงแม้ร่างปรสิตพวกนี้จะต้องรักษาระยะห่างกับแมงมุม แต่ก่อนที่เชลยคนนั้นจะตายมันเคยบอกไว้ไม่ใช่หรอ? แมงมุมตัวผู้พวกนั้น มีสัมผัสรู้ร่วมกับบลัดมาเธอร์ ซึ่งก็หมายความว่า มีเพียงสายสัมพันธ์ระหว่างบลัดมาเธอร์กับแมงมุมพวกนั้นเท่านั้น ที่จะสามารถสื่อสารถึงกันระหว่างอำเภอหลีหมิงและโกดังแห่งนั้นได้ มีแค่มันเท่านั้นที่จะทำแบบนี้ได้”
“หรือพูดอีกอย่างก็คือ คนที่ส่งหมอนั่นมาคุยกับเรา คือคนที่รับมือได้ยากที่สุด ส่วนสิ่งที่อันตรายต่อพวกเรามากที่สุด ก็คือบลัดมาเธอร์ ซึ่งก็ไม่เปลกถ้ามันจะไม่เผยตัวออกมา ที่แท้พวกมันก็ยังมีไพ่ตายใบนี้ซ่อนอยู่นี่เอง” หลิงม่อพูดสรุปเสียงเย็นชา
พอได้ยินทุกคนก็อึ้งปากอ้าตาค้าง ขณะเดียวกันก็ลอบคิดว่าเกือบไปแล้ว อีกฝ่ายคายความลับที่สำคัญขนาดนี้ออกมา จนพวกเขาเกือบงับเหยื่อซะแล้ว ตอนนี้ในเมื่อรู้แล้วว่าไพ่ลับที่แท้จริงของอีกฝ่ายคืออะไร เรื่องก็ง่ายขึ้นเยอะแล้ว…
“นี่แสดงว่า พวกเราต้องล่อแมงมุมตัวนั้นที่เอาแต่ซ่อนอยู่ข้างหลังออกมา แค่นั้นก็พอ ใช่ไหม?” เฮยซือเดาผิดพลาด จึงกำหมัดแน่นอย่างไม่สบอารมณ์ พลางพูดขึ้น
หลิงม่ออดตบหัวมันเบาๆ ไม่ได้ ที่มันเดาผิด ก็เป็นเพราะรู้ข้อมูลไม่มากพอต่างหาก…ไม่นานเขาก็พยักหน้า “อื่ม นี่คือข้อสรุปที่ดีที่สุดแล้ว จากนั้นก็…ห้ามเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายแม้แต่น้อย ความจริงเชลยคนนั้นพูดบางอย่างไว้ถูกมาก นั่นก็คือสภาพของพวกมัน ยากจะเจอใคร และก็ไม่สามารถเจอซอมบี้ได้ด้วย โดยเฉพาะบลัดมาเธอร์ตัวนั้น ถ้าหากว่ามันจะไปจากที่นี่จริงๆ เกรงว่าคงอยู่รอดต่อไปได้ยาก”
คนรอบข้างจ้องเขาอย่างสงสัย ทว่าหลิงม่อกลับพูดต่อว่า “ดังนั้น หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ มันก็จะไม่มีทางยอมแพ้ และก่อนที่มันจะยอมแพ้ พวกเราเพียงต้องฆ่ามันให้ได้ บอกตามตรง ถ้าหากจะเจรจาสงบศึกกับมัน พวกเราเชื่อใจมันไม่ได้หรอก…”
แมงมุมตัวใหญ่ยักษ์ขนาดนั้น จะเจรจกันยังไงล่ะ! พฤติกรรมของร่างแม่ใต้ดิน ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดให้หลิงม่อ ดูเหมือนว่านอกจากซอมบี้ที่สามารถวิวัฒนาการจนเกิดอารมณ์ความรู้สึกอย่างมนุษย์ได้แล้ว สัตว์ประหลาดประเภทอื่นล้วนกลายพันธุ์ไปจนไม่เหลือคราบเดิม แต่บลัดมาเธอร์ตัวนี้กลับไม่ได้จัดอยู่ในประเภทนี้ เรื่องนี้ ดูจากท่าทีของมนุษย์ที่อยู่ใต้อำนาจมันก็รู้แล้ว คนที่สามารถควบคุมแมงมุมพวกนี้เพื่อกินมนุษย์คนหนึ่งจนสิ้นซากได้ คงมองว่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นเพียงคู่แข่งและอาหารไปนานแล้ว เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาแตกต่างจากสัตว์ประหลาดอย่างหนึ่งก็คือ พวกเขากลัวตาย……
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราต้องทำยังไง?” จางซินเฉิงเผยสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็ถาม
พวกเย่ไคยืนยันว่าจะฆ่าคนคนนั้นซะ และหลิงม่อก็กำลังอยู่ในระหว่างตรึกตรอง…
“เงียบนานกว่าสิบวินาที…” ชายคนนั้นพึมพำเสียงสั่น จากนั้นก็รวบรวมความกล้าตะโกนอีกครั้ง “ฉันรู้ว่าพวกแกไม่เชื่อ ฉันก็ไม่ได้มาเจรจาสงบศึกกับพวกแกเหมือนกัน! แต่พวกเราสามรถต่อรองกันได้นะ! เพราะนอกจากโกดังอาหารแล้ว ฉันยังมีอีกเรื่องจะบอกพวกแก คนที่ถูกลู่เหรินฆ่าตายนั่น ความจริงแล้วยังไม่ตาย!”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดจากปากเขา ทุกคนที่อยู่หลังประตูพลันตะลึงงันไปอีกครั้ง มู่เฉินมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วที่สุด เขาหันไปมองหลิงม่อ จากนั้นก็พูดอย่างเดือดดาล “ไอ้เชี่ย! พวกมันยังไม่ยอมจบอีก! นี่คิดจะปั่นหัวพวกเราเล่นหรือไง! จางเส่อตายไปแล้ว เชลยคนนั้นยอมรับกับปากตัวเอง! ถ้าหากเขาโกหก หัวหน้าต้องดูออกแน่นอน!”
เสียงตะโกนของชายคนนั้นดังมาก ความจริงไม่ใช่แค่พวกหลิงม่อ คนอื่นที่ซ่อนตัวอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ล้วนได้ยิน รวมถึงนักบินที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องควบคุมด้วย เขาลุกพรวดแทบจะในทันที หันไปถามกู่ซวงซวง “หมอนั่นว่าอะไรนะ? เหมือนเขากำลังพูดว่า จางเส่อยังไม่ตาย? ไม่ได้การ…ฉันจะออกไปฟัง…”
“นายอย่าเพิ่งตื่นตูม” กู่ซวงซวงรีบวิ่งไปขวางหน้าประตู “หัวหน้าจะจัดการเอง”
เจ้าลิงผอมพูดเสียงเบา “ถ้านายออกไปก็มีแต่จะเพิ่มความลำบากให้พวกเขา อยู่ที่นี่เถอะ”
นักบินเดินกลับไปกลับมาด้วยสีหน้าสับสน สุดท้ายก็ยกมือกุมหัว แล้วนั่งลงไป
หลังประตูเหล็กบานนั้น สีหน้าของเย่ไคบึ้งตึงสุดขีด เดิมทีเขาก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากอยู่แล้ว เมื่อกี้ตอนที่อีกฝ่ายโยนศพสองศพนั้นเข้ามา เขาก็แทบจะคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว ตอนนี้หลังสะกดกลั้นมานาน อยู่ๆ เขาก็สบถสียงดังออกมา “เย็*โคตรเหง้าแม่เอ็ง!” จากนั้นก็หันไปถีบเครื่องใช้ที่อยู่ไม่ไกล และใช้กำปั้นชกพื้นอย่างแรง
มู่เฉินรีบวิ่งเข้าไปกอดเขาแน่น บอกว่า “อย่าสติแตก! อีกฝ่ายพูดอย่างนี้เพื่อปั่นหัวพวกเรา! ถ้านายเป็นแบบนี้ พวกเราก็ติดกับน่ะสิ! นายไม่เชื่อใจหัวหน้าหรอ!”
“เชื่อสิ! แต่ถ้าจะให้ผมเอาแต่อดทนอยู่อย่างนี้ ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ…” เย่ไคทำหน้าเหมือนอยากจะอ้อนวอนขอคำสั่ง แต่สุดท้ายได้แต่ฝืนข่มกลั้นเอาไว้ แต่ด้วยเพราะในใจเต็มไปด้วยเพิลงแค้น เขากลับทุบตีเครื่องใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งมีเลือดกระเซ็นออกมา เขาก็ยังทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร
อีกอย่างไม่ใช่แค่เขา แม้แต่จางซินเฉิงก็กำลังขมวดคิ้วแน่น สองมือกำเข้าหากันสุดแรง ข้อนิ้วกระทั่งส่งเสียงดังกร๊อบ แม้แต่อวี่เหวินซวนก็เริ่มหน้าเครียดขึ้นมาแล้ว เพราะจนถึงตอนนี้ คนที่อยู่ข้างนอกนั่นก็ยังตะโกนพูดต่อไปไม่หยุด…
“พวกแกคงกลัวที่จะออกมาช่วยเขาสินะ ถึงได้โกหกตัวเองว่าเขาตายไปแล้ว? เห็นศพเขาแล้วหรอ? เคยหาเจอแล้วงั้นหรอ?” ความจริงชายคนนี้กำลังกลัวจนแทบบ้าแล้ว แต่สิ่งที่ซุนซวี่บอกไว้เขากลับไม่กล้าลืมแม้แต่ประโยคเดียว ยิ่งไม่กล้าลดเสียงให้เบาลง ถึงแม้เขาไม่ได้เชื่อใจซุนซวี่แม้แต่น้อย แต่นับจากที่เขาตะโกนประโยคแรกออกไป เขาก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายเริ่มไม่ได้ดั่งใจแล้ว ตามคาด คนเราล้วนอยากมีชีวิตอยู่ แม้ว่าความหวังจะริบหรี่แค่ไหนก็ตาม…เขายังไม่อยากตาย…
“ฮ่าๆๆๆ! พวกขี้ขลาด! ฉันอยู่นี่แล้ว ถ้าพวกแกมีปัญญา ก็ออกมาฆ่าฉันเซ่!” หลังจากตะโกนประโยคนี้ออกไปอย่างสั่นๆ ชายคนนี้ก็เริ่มขาสั่นพับๆ…สิ่งที่ซุนซวี่อยากให้เขาทำ คือก้าวไปข้างหน้าสิบเมตร…สิบเมตรแม้ไม่ไกล แต่นั่นกลับหมายถึงเขากำลังเข้าใกล้อีกฝ่ายขึ้นมาก ขณะเดียวกันก็หมายถึงว่าเขากำลังเดินห่างจากพวกซุนซวี่ด้วยเช่นกัน
แต่ซุนซวี่เคยบอกไว้ หากไม่ทำ ก็ต้องตาย…
ดังนั้นท่ามกลางความหวาดกลัวสุดขีด ชายคนนั้นจึงจำใจก้าวเท้าไปข้างหน้าช้าๆ…
ขณะดียวกัน หลิงม่อที่อยู่ในอาคาร พลันยื่นมือไปทางประตู
“แผนของอีกฝ่าย คือทำให้พวกเรากลัว และทำให้พวกเราโกรธจนคุมตัวเองไม่อยู่ ในเมื่อเป็นอย่างนี้…
สิบวินาทีต่อมา ขณะที่ในที่สุดชายคนนั้นก็เดินเข้ามาสิบเมตร ทันใดนั้น ประตูอาคารพลันเปิดแง้มเป็นช่องมืดๆ ดัง “แอ๊ด” …
“เปิดแล้ว? ทำไมจู่ๆ ถึงได้…ไหนบอกว่าไม่มีทางเปิดไงล่ะ!” ชายคนนั้นร่างกายค้างแข็งไปทันที ในเสี้ยววินาทีที่ประตูเปิด เขารู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ
ห่างออกไปสี่สิบเมตร สายตาของซุนซวี่ที่จดจ้องประตูเหล็กอยู่ตลอดพลันเป็นประกายขึ้นมา มุมปากหยักยิ้มเล็กน้อย บอกว่า “ตามคาด…ถ้าหากฆ่าเขาแล้วโยนศพกลับมาอย่างเมื่อกี้ ก็ถือว่าเป็นการตอกกลับที่เจ็บแสบเหมือนกัน แต่หลายคนก็ย่อมหลายความคิด เพื่อทำให้จิตใจคนในทีมสงบลง จึงยากจะใช้วิธีนั้นโต้กลับได้เหมือนเดิม แต่ตั้งแต่ที่พวกแกตอบสนองอย่างนั้นต่อการท้าทายครั้งแรกของฉัน ฉันก็เดาไว้แล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนี้”
แม้ว่าซุนซวี่กำลังพึมพำกับตัวเอง แต่คนเหล่านั้นที่อยู่ข้างหลังเขากลับได้ยินและพากันขนลุก เห็นชัดๆ ว่าเขากำลังบอกว่าอีกฝ่ายไม่เหี้ยมพอที่มองข้ามชีวิตคนอื่นไปได้ง่ายๆ แต่ตัวเขานั้นโหดร้ายพอ ทว่าเวลาพูดคำพูดประเภทนี้ เขากลับไม่คิดจะปิดบังพวกเขาเลยแม้แต่น้อย! แถมพอพูดถึงคำว่า “หลายคนหลายความคิด” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่พวกเขารู้สึกว่าซุนซวี่กำลังหมายรวมถึงพวกเขาด้วย…
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ แผนการของซุนซวี่ กลับเป็นเพียงการทดลองครั้งหนึ่งเท่านั้น…ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนสุดท้าย เป็นเพียงการทดลองเท่านั้น!
ตอนนี้ไม่มีใครมีแก่ใจคิดถึงรางวัลอีกแล้ว เหมือนกับที่ชายคนนั้นพูดไว้ พวกเขาทุกคนกำลังหวาดกลัวอย่างสุดซึ้งจากการเชือดไก่ให้ลิงดูในครั้งนี้…
“เขาเดินเข้าไป…ทำไมน่ะ…” เฮ่อเจิ้นพูดตะกุกตะกัก
ซุนซวี่ราวกับแสยะยิ้ม บอกว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ? ฉันก็กำลังลุ้นอยู่เหมือนกัน”