แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1080 ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง
ในอาคารโรงงานอันเงียบสงัด พวกเฮ่อเจิ้นเดินไปจนถึงหน้าประตูด้วยใบหน้าแตกตื่น แต่พวกเขากลับยังไม่เจอเหตุไม่คาดฝันใดๆ ทั้งสิ้น และเมื่อยืนหน้าประตูแล้วมองเข้าไป ด้านในกลับว่างเปล่าไร้เงาคน หน้าประตูยังมีคราบเลือดผสนน้ำคลำหลงเหลืออยู่ นอกจากนั้น ก็มองไม่เห็นร่องรอยอย่างอื่นอีก
“ดูเหมือนว่า…พวกมันคงจะซุ่มอยู่ในนั้น” เฮ่อเจิ้นพูดเสียงเบา ข้างกายเขายังมีชายคนหนึ่งกำลังตัวสั่นเบาๆ พอสังเกตเห็น เขาพลันขมวดคิ้ว พูดเสียงเข้ม “หยุดคิดมากกันได้แล้ว! ตอนนี้พวกแกอย่ามัวแต่คิดจะเอาตัวรอดอยู่เลย พวกแกก็เห็นแล้ว คนที่มีความคิดอย่างนี้ มีแต่ต้องตายเร็วขึ้นเท่านั้น ถึงขนาดนี้แล้ว พวกเราทำได้แค่ต้องลุยแล้วล่ะ มีแต่ทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้พวกเรารอดได้ พวกมันไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้นหรอก เมื่อก่อนพวกเราก็สามารถกวาดล้างทั้งอำเภอได้ ตอนนี้แค่ต้องกวาดล้างอาคารโรงงานหลังเดียว จะทำไม่ได้เชียวหรอ? ฉันว่า พวกเราสบายกันมานานเกินไป ตอนนี้พอเจอปัญหาเข้าหน่อย เลยไม่กล้าลุยเหมือนแต่ก่อน…”
พอเขาพูดจบ คนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันอย่างเงียบๆ…
ซุนซวี่เดินตามหลังไม่ใกล้ไม่ไกล เขาเองก็ได้ยินคำพูดนี้อย่างชัดเจน แต่เขากลับไม่คิดจะพูดแทรกแต่อย่างใด สำหรับเขา การที่ทำให้ใครคนหนึ่งในกลุ่มพูดอย่างนี้ออกมาได้ ก็แสดงว่าเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว ส่วนคนอื่นๆ มีหรือพวกเขาจะไม่เข้าใจ…
“ช่วยไม่ได้ ลุยกันเถอะ!” ร่างปรสิตที่ตัวสั่นเมื่อกี้ลอบหยิกตัวเองหนึ่งที พลางพูดขึ้น
“ถ้ายังไง…พวกเราปล่อยแมงมุมเข้าไปก่อนดีไหม อีกอย่างบอกตามตรง พวกเราใช้วิธีโจมตีด้วยไฟหรืออะไรทำนองนั้น บีบให้พวกมันออกมาก็ได้นี่ ก่อนหน้านี้พวกมันก็ทำแบบนี้ไม่ใช่หรอ? ถึงจะยุ่งยากหน่อย แต่…” ชายอีกคนเหลือบมองซุนซวี่แวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้น
“ไม่มีประโยชน์หรอก ซุนซวี่เคยบอกแล้วไม่ใช่หรอ? ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าเปิดประตู ก็แสดงว่าไม่สนใจวิธีการพวกนี้อีกแล้ว ถ้าพวกเราวางเพลิง อีกฝ่ายอาจหนีไปได้ และเมื่อไหร่ที่พวกมันหนีไปซ่อนตัวที่อื่นในอำเภอหลีหมิง แล้วเรียกกำลังเสริมมาสำเร็จ พวกเราก็เสียเปรียบน่ะสิ แกคิดว่าทำไมซุนซวี่ถึงคิดแต่จะล่อพวกมันออกมา กลับไม่คิดจะทำลายอาคารโรงงานตรงๆ กันล่ะ? ส่วนแมงมุม…พวกแกดูนั่นสิ” เฮ่อเจิ้นชี้ไปยังด้านหน้า แล้วพูดขึ้น แมงมุมเหล่านั้นพอเข้าไปในประตูได้ไม่นาน ก็เริ่มเดินวนไปวนมาที่เดิม ราวกับสูญเสียทิศทางกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างตกตะลึง
“พวกแกไม่รู้สึกว่าที่นี่มืดกว่าปกติหรอ?” มีคนถามขึ้นเสียงเบา
หลังจากสงบสติอารมณ์ คนกลุ่มนี้ก็เริ่มแสดงความสามารถในการสังเกตการณ์ทันที…ทว่าถึงแม้อย่างนั้น เมื่อพวกเขาค้นพบเรื่องเหล่านี้ ในน้ำเสียงก็ยังแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนกอยู่ลึกๆ…ไม่ว่าอย่างไร ภาพที่ชายคนนั้นกรีดร้องตกใจจนเสียสติ ก็ยังอยู่ในหัวของพวกเขา
“พอแกพูดอย่างนี้ ฉันก็รู้สึกทันทีเลย” เฮ่อเจิ้นหยิบไฟฉายออกมา หลังจากบิดเปิดก็โยนเข้าไป เขาไม่คิดจะถือไฟฉายเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีปืนเด็ดขาด หากพวกเขาทำอย่างนั้นก็ไม่ต่างกับเป้ายิงเคลื่อนที่เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ตอนนี้ พวกเขาก็กำลังแนบตัวติดประตูอาคารสองข้าง แล้วสังเกตการณ์ข้างในอย่างระมัดระวัง
ไฟฉายกลิ้ง “ขลุกขลักๆๆ” เข้าไปข้างใน จากนั้นก็ค่อยๆ หยุดนิ่ง พวกเขาหรี่ตาจ้องเข้าไปอย่างละเอียด ไม่นานก็ต้องตะลึงตาค้างไป ในอาคารหลังนี้ กลับเต็มไปด้วยไอหมอกมืดบางๆ ชั้นหนึ่ง…
“นั่นมันอะไรน่ะ?” เฮ่อเจิ้นถาม
ชายอีกคนจ้องแมงมุมบนพื้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คาดเดาว่า “เป็นก๊าซรบกวนอะไรทำนองนั้นรึเปล่า? พวกแกดูสิ พอไปถึงขอบๆ ไอหมอกมืด แมงมุมก็หยุดเดินทันที” พูดถึงตรงนี้ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ซุนซวี่จะต้องค้นพบเรื่องนี้แล้วแน่ๆ ถึงได้พูดแบบนั้น เพียงแต่เขาไม่ได้บอกพวกเราก่อน เพื่อที่จะดูว่าไอหมอกมืดพวกนี้สามารถรบกวนสิ่งมีชีวิตทุกชนิดหรือไม่ อีกทั้ง หากทำอย่างนี้ก็จะรู้ว่าไอหมอกมืดพวกนั้นอันตรายหรือเปล่า…”
ได้ยินถึงตรงนี้ ทุกคนต่างเงียบไปอีกครั้ง ซุนซวี่ไม่ได้ปิดบังจุดประสงค์ของตัวเอง พวกเขาเองก็ไม่คิดจะพูดลับหลังเขาเหมือนกัน แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ พวกเขาก็ยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ บอกว่าเป็นการสำรวจเปิดทาง ปรากฏว่าตอนนี้พวกเขาได้กลายเป็นก้อนหินถามทางไปแล้วจริงๆ…แถมในระหว่างนี้ ซุนซวี่ก็ไม่คิดจะเตือนพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงเดินตามมาช้าๆ เพื่อสังเกตการณ์อยู่ข้างหลัง
“พวกแกว่า ไอหมอกมืดชนิดนี้ ทำไมพวกมันไม่เอาออกมาใช้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้? เป็นเพราะใช้ได้แต่ในสภาพแวดล้อมแบบห้องหรือเปล่า?” มีคนพูดขึ้น
“ใช้นอกห้องก็น่าจะได้ผลเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่เสมอไป พวกแกสังเกตหรือเปล่า? ถึงแม้ประตูจะเปิดอยู่ แต่ไอหมอกมืดพวกนั้นกลับไม่ขยับซักนิด แล้วที่พวกมันไม่เอาออกมาใช้ก่อนหน้านี้ก็อาจไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะมีจำนวนจำกัด” เฮ่อเจิ้นบอก พลางควบคุมแมงมุมหลายตัวให้เดินเข้าไปในไอหมอกมืด “เอาเป็นว่าลองดูก่อนแล้วกันว่ามีพิษหรือไม่ ถ้าหากแมงมุมไม่มีปฏิกิริยา ก็แปลว่าถ้าพวกเราเข้าไปก็อาจมีอัตราการรอดชีวิตสูง”
“น่าแปลก ถึงแม้ว่าไอหมอกพวกนี้จะมีกลิ่นแปลกๆ แต่ก็ไม่ถือว่าเข้มข้นมาก ปกติแมงมุมจะไม่ได้รับผลกระทบจากกลิ่นพวกนี้นี่ พวกมันใช้อะไรกันแน่?” มีคนเปิดปากพูดขึ้นอย่างสงสัย
“ใครจะไปรู้ล่ะ…”
ขณะกำลังพูดคุย แมงมุมกลุ่มนั้นก็เดินกลับมา ทว่าสีหน้าของเฮ่อเจิ้นกลับไม่ค่อยดี เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “มันไม่มีพิษฆ่าคนตาย แต่ว่าแมงมุมของเราล้วนอาศัยการดมกลิ่นตามหาคน ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบมาก ฉันว่า พวกเรารวบรวมแมงมุมทั้งหมดมาไว้ข้างตัวดีกว่า พวกมันดันมาใช้วิธีนี้ในเวลาอย่างนี้ ยุ่งยากจริงๆ…”
พวกเขาสียเวลาอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายกลับยิ่งตื่นตระหนกกว่าเดิม แต่ภายใต้การจับตามองของซุนซวี่ พวกเขากลับจำต้องฮึดสู้ และค่อยๆ ก้าวเข้าไปในไอหมอกมืดพวกนั้น…เพื่อเพิ่มอัตราความปลอดภัย พวกเขาเลือกที่จะเดินใกล้ๆ กัน แถมยังเลือกทางเดินที่ติดกับผนังด้วย ซุนซวี่ปล่อยให้พวกเขาทำอย่างนั้นโดยการเงียบไม่แสดงความเห็น เขาเดินตามไม่ช้าไม่เร็วอยู่ข้างหลัง
ทันทีที่เข้าไปในไอหมอกมืด คนกลุ่มนี้ก็รู้สึกว่าสายตาตัวเองเริ่มพร่ามัว เฮ่อเจิ้นใช้แมงมุมกลุ่มหนึ่งแบกไฟฉายกระบอกนั้นขึ้น และส่องแสงไปด้านหน้าของพวกเขา พอเห็นเขาเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังอย่างนี้ เหล่าร่างปรสิตที่อยู่ข้างๆ เขาต่างลอบถอนใจโล่งอก เมื่อเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ปลอดภัยขึ้นหน่อยแล้ว มีไฟฉาย ก็เท่ากับมีเครื่องเตือนภัยอยู่ คนที่เหลือต่างทำตามเขา มีบางคนถึงขนาดเอาไฟฉายห้อยไว้บนผนัง
เมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเขาจึงมีพื้นที่สว่างเพิ่มขึ้นมาโซนหนึ่ง ท่ามกลางความเลือนรางพร่ามัว พวกเขามองเห็นเครื่องจักรกลพวกนั้น ทว่าพวกเขายังคงมองไม่เห็นเงาร่างใดๆ เหมือนเดิม
“ไม่รู้ว่าภายใต้สถานการณ์ที่กังวลเรื่องโกดังอาหารอย่างนี้ คนพวกนี้จะทำยังไง…สรุปว่าทุกคนระวังตัวหน่อยแล้วกัน พวกเรายังสามารถปล่อยแมงมุมออกไปไกลประมาณ 10 เมตรได้อยู่ ถึงตอนนี้แล้วก็อย่ามัวประหยัดเลือดกันอยู่เลย อายุสั้นลงไม่กี่ปีก็ยังดีกว่าต้องตายวันนี้ ซุนซวี่บอกแล้วไม่ใช่หรอ นี่คือราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป” เฮ่อเจิ้นพูดเสียงเบา ทว่าคราวนี้เขากลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับ ทุกคนล้วนกำลังตึงเครียด แต่กลับไม่กล้าเดินใกล้กันเกินไป ถ้าไม่อย่างนั้นหากใครคนใดคนหนึ่งถูกหมายหัว ก็อาจทำให้คนอื่นพลอยซวยไปด้วย
รัศมี 10 เมตรที่เฮ่อเจิ้นพูดถึง ก็คือระยะห่างที่พวกเขาเริ่มถอยห่างจากกันช้าๆ…เพียงแต่พวกเขากลับไม่ทันสังเกต ตั้งแต่ที่เข้ามาในไอหมอกมืด ซุนซวี่ที่เดินตามหลังพวกเขา อยู่ๆ ก็หายตัวไป…
“หายไปคนหนึ่งแล้ว หมอนั่นฝีมือไม่เลว ไม่คิดเลยว่าจะมีวิธีอำพรางตัวอย่างนี้ด้วย แต่ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะแมงมุมในร่างเขา ถึงแม้ไม่ชัดเจน แต่ฉันรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวเขา แตกต่างจากคนอื่นมาก นอกจากพลังความสามารถส่วนตัว จะต้องมีความแตกต่างในเรื่องระดับของร่างปรสิตแมงมุมแน่นอน” ณ มุมหนึ่งในอาคารโรงงาน ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งกระพริบเบาๆ ขณะเดียวกัน เสียงอ่อนหวานเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในสมองของหลิงม่อ “แต่ว่าคนที่เหลือล้วนเดินเข้าไปในไอหมอกมืดแล้ว ดูเหมือนพวกมันไม่ใช่แค่มาสำรวจเส้นทาง แต่เป็นเหยื่อล่อที่หมอนั่นโยนเข้ามาให้เราด้วย หมอนั่นจิตใจโหดเหี้ยมมาก หลังจากตระหนักได้ว่าพวกเรารับมือยาก ก็รีบตัดสินใจอย่างเด็ดขาดอย่างนี้ทันที แล้วยังสามารถทำให้คนพวกนั้นยอมเดินเข้ามาด้วยตัวเองอีกด้วย เจ้านาย ที่หมอนั่นใช้คนกลุ่มหนึ่งมาล่อเราอย่างนี้ แสดงว่าจะต้องมั่นใจในฝีมือตัวเองมากแน่ๆ”
“คงจะอย่างนั้นแหละ เอาเป็นว่าแกระวังหน่อยแล้วกัน ไอหมอกมืดที่แกปล่อยออกมาได้ไม่ถือว่ามาก ต้องประหยัดหน่อย” หลิงม่อบอก
“แต่เจ้านายรู้ได้ไงว่าฉันปล่อยไอหมอกมืดได้?”
“ถึงยังไงนี่ก็เป็นหนึ่งในร่างจริงที่ร่างแม่ใต้ดินตัวนั้นเตรียมไว้กับมือ แกคิดว่าฉันความจำเสื่อมหรือไง? ถึงแกจะปล่อยไอหมอกมืดออกมาไม่ได้ แต่ก็น่าจะปล่อยอะไรที่คล้ายๆ กันออกมาได้ แต่ฉันก็คิดไม่ถึงเหมือนกันนะว่าพลังด้านนี้ของแกจะมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยอย่างนี้ ไม่มีการวิวัฒนาการเลยซักนิด” หลิงม่อตอบ
“เอาน่าๆ ร่างกายร่างนี้ของฉันยังอยู่ในวัยเด็กอยู่เลย จะว่าไปแล้ว นายรู้ได้ยังไงว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจเข้ามาสู้อย่างเดียว?” เฮยซือถาม
“กับดักที่ดูออกง่ายขนาดนี้ ถึงยังไง พวกเขามีหรอจะจะเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงส่งเดช แต่ในเมื่อหมอนั่นส่งคนคนหนึ่งเข้ามาเป็นเหยื่อล่อได้ ก็แสดงว่าเขาอาจส่งคนอื่นเข้ามาเป็นเหยื่อล่อได้ด้วย ถ้าหากมองเรื่องนี้ออก ก็จะคิดได้เอง” หลิงม่อบอก
“หมายถึงความเป็นคนน่ะหรอ? ช่างเป็นนักเดิมพันที่เห็นแก่ตัวจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเพราะมีแมงมุมอยู่หรือเพราะวิธีอะไรก็ตาม คนที่สามารถสั่งการคนอื่นได้อย่างนี้ ยังไงก็รับมือได้ยาก” เฮยซือพูดเสียงเบา “ดังนั้นทุกคนต้องระวังตัวให้ดี สิ่งที่หมอนี่ต้องการ คือเล่นเกมตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง…”
“เหอะ กลัวก็แต่ว่าหมอนั่นจะยังไม่รู้ ว่าใครกันแน่ที่เป็นจั๊กจั่นผู้โชคร้ายตัวนั้น…”
“สวบสาบๆๆ…”
เมื่อเสียงเสียดสีเบาๆ ดังขึ้น นอกรั้วโรงงาน พลันมีเงาร่างขนาดใหญ่ปรากฏตัวขึ้นเงียบๆ…มันจ้องมองอาคารโรงงานนั้นเงียบๆ จากนั้นเสียง “ซ่อกแซ่กๆ” ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง มันก็หายตัวไปจากตรงนั้น และทั้งหมดนี้ กลับไม่มีใครมองเห็นซักคน…