แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1092 โง่คูณสอง
ตู้โดยสารของรถขนสินค้าคันนี้ไม่ถือว่าสูงมาก แต่ก็มองเห็นเพียงศีรษะของคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งเท่านั้น เวลานี้สิ่งที่หลิวหยางกำลังจ้องอยู่ ก็คือศีรษะของเวินเสี่ยวอวี่…
“เวิน…เวิน…” เข้าอ้าปากค้าง พูดเสียงติดๆ ขัดๆ เวินเสี่ยวอวี่หันหน้ามา
เธอมองหน้าเขาอย่างงงงัน โดยมีหน้าต่างรถบานหนึ่งกั้นขวาง ถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า?” พูดไป เธอก็เหมือนสังเกตได้ถึงสิ่งผิดปกติ จึงยกมือลูบใบหูตัวเอง “น่าแปลก ทำไมถึงได้รู้สึกแปลกๆ อย่างนี้นะ…”
“เธอ…” หลิวหยางอึ้งค้างกับภาพที่เห็น เขาจดจ้องไปที่ท้ายทอยของเวินเสี่ยวอวี่อย่างไม่ละสายตา
เวลานี้ เวินเสี่ยวอวี่ถอดหมวกฮู้ดลายพรางออก เสี้ยววินาทีที่ศีรษะของเธอเผยออกมาให้เห็นเต็มตา หลิวหยางพลันตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ขณะเดียวกัน เวินเสี่ยวอวี่พลันหยุดเคลื่อนไหว ค้างไว้ในท่าก้มศีรษะ โดยที่ฝ่ามือยังคงวางไว้บนศีรษะตัวเอง
ตุบ…
ก้นบุหรี่พลันร่วงจากหว่างนิ้วของหลิวหยาง ปากหนากระตุกสั่น ค่อยๆ เอื้อมมือไปที่เอวตัวเอง ตรงเอวเขา มีดาบสั้นเหน็บไว้หนึ่งเล่ม…
แต่ในเวลานี้เอง เวินเสี่ยวอวี่กลับเงยหน้าขึ้นกะทันหัน และคลี่ยิ้มประหลาดให้เขา “เห็นแล้วงั้นหรอ?”
นี่มันไม่ใช่เวินเสี่ยวอวี่!
“อย่าเข้า…”
หลิวหยางเพิ่งจะชักดาบสั้นออกมา เตรียมจะตะโกนเสียงดัง ทันใดนั้น สัมผัสประหลาดพลันถูกส่งผ่านมาจากท้ายทอย
การเคลื่อนไหวของเขาพลันชะงักค้าง นิ้วมือยังคงกระตุกสั่นเบาๆ…และบนใบหน้าของเขา ยังคงฉาบไปด้วยความตื่นตะลึงและหวาดกลัวค้างอยู่อย่างนั้น…เวลานี้ม่านตาเขาหดเล็กลง สายตาค่อยๆ เลื่อนไปทางหน้าต่างรถบานนั้น…
บนกระจกหน้าต่างรถสะท้อนเงาหน้าเขาเลือนราง รวมถึงผู้หญิงคนนั้น ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์…สิ่งของคล้ายใยแมงมุมสีแดงเลือด กำลังเลื้อยไล้มาที่หูของเขา และเจาะเข้าไปในสมองของเขาอย่างช้าๆ…
“อ๊ะ…”
หลิวหยางอยากตะโกนออกมา แต่สิ่งที่เขาได้ยิน กลับเหลือเพียงเสียงของเวินเสี่ยวอวี่ที่ราวกับห่างออกไปเรื่อยๆ “ดูท่าเวลาอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน คงต้องระวังตัวให้มากหน่อย ตอนแรกไม่ได้อยากควบคุมผู้หญิงคนนี้เร็วขนาดนี้ แต่ไม่คิดว่าจะถูกคนจับได้เสียก่อน…แต่ก็ดีเหมือนกัน ยังไงฉันก็สืบรู้เรื่องแผนการและที่พักของมนุษย์พวกนี้แล้ว…อื่ม…ถ้าหากไม่ใช่ว่าได้ยินพวกเขาพูดชื่อหลิงม่อขึ้นมาในตัวเมือง ฉันก็คงไม่ต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้…”
พูดถึงตรงนี้ เวินเสี่ยวอวี่เองก็หันหน้ามามองกระจกหน้าต่างรถ จากนั้นก็เลื่อยสายตาไปที่กระจกมองหลัง ในกระจก หนวดสีแดงที่กำลังขยับไหวค่อยๆ หดตัวกลับเข้าไปในหูของเธอ และตรงท้ายทอยของเธอก็ปูดบวมขึ้นราวกับมีวัตถุสีแดงอยู่ตรงนั้น…ภายใต้ผิวหนังที่ถูกเบียดดันจนแทบจะโปร่งใส วัตุสีแดงก้อนนั้นกำลังเต้นตุบตับราวกับหัวใจมนุษย์…
“ถ้ามนุษย์เห็นเจ้าสิ่งนี้แล้วจะตกใจหรอ?” หลังจากเอ่ยคำถามนี้กับเงาในกระจก เวินเสี่ยวอวี่ก็หยิบหมวกฮู้ดขึ้นสวมใส่เหมือนเดิม…
พลั่ก!
เวลานี้ หลิวหยางพลันตัวอ่อนล้มลงไป…
เวินเสี่ยวอวี่เดินไปหาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก้มหน้าดูหลิวหยางแวบหนึ่ง ไม่ถึงสองวินาที หลิวหยางพลันเบิกตาโพลง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ทั้งสองมองหน้ากันครู่หนึ่ง สิ่งที่น่าประหลาดคือแม้ว่ารูปร่างและเพศของพวกเขาล้วนต่างกัน แต่สายตาและสีหน้า กลับเหมือนกันเกือบทุกประการ…
ที่สำคัญที่สุด ห่างออกไปไม่ไกล ยังมีเงาร่างที่สามยืนอยู่ตรงนั้น…โดยที่เงาร่างนั้น มีสีหน้าและสายตาไม่ต่างจากพวกเขาเลย…
หลังจากลุกขึ้นยืน หลิวหยางบิดคอไปมาสองสามที และเวลานี้ เงาร่างที่สามนั่นก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ซุ่มเสียง…
“เวินเสี่ยวอวี่ ฉันว่าเธอรู้สึกไปเองล่ะมั้ง? เอารถไปซ่อนกันเถอะ”
“อื่ม…”
ทั้งสองมองหน้ากันและสนทนาราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทว่าหลังจบประโยคพวกเขาต่างก็เผยรอยยิ้มประหลาดออกมา
…………
โครม!
หัวหน้าทีมถีบประตูห้องพักที่เปิดแง้มไว้เสียงดัง พร้อมกับฟันซอมบี้ที่กระโจนเข้ามาจนมันร่วงกองบนพื้น
เขาเตะศพออกไปให้พ้นทางอย่างนึกรังเกียจ จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปชั้นบน บอกว่า “ไม่คิดว่าที่นี่จะยังมีพวกเวรนี่อยู่ด้วย มันรอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไงวะ?”
“เดาว่าคงมีมันอยู่ตัวเดียวล่ะมั้ง ไม่เห็นหรอว่ามันหิวโซจนมีสภาพอย่างนี้ไปแล้ว” ชายอีกคนเดินตามเข้าไป ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาให้คนที่อยู่ข้างหลังให้เข้ามาลากศพออกไป
ศพซอมบี้ตัวนี้ซูบผอมมากจริงๆ อย่างที่เขาว่า ดูจากภายนอกน่าจะยังอายุไม่มาก แต่ร่างกายกลับเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น หลังจากสิ้นลมปากก็ยังอ้าค้างอยู่อย่างนั้น บนริมฝีปากที่อ้ากว้างยังมีน้ำลายเลอะติดอยู่
“ถ้าไม่มีอีกจะดีที่สุด อุตส่าห์มาถึงที่แบบนี้แล้ว ฉันไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าพวกนี้อีกแล้ว” หัวหน้าทีมเดินขึ้นไปชั้นบน หลังจากกวาดมองเข้าไปในห้องสองข้างทางหนึ่งรอบ ก็หันกลับมาบอกว่า “ฉันว่าอาหารจำพวกแฮมตากรมควันของที่นี่คงหมดไปนานแล้ว ไม่ต้องแตะต้องพวกธัญพืชล่ะ ไว้ค่อยไปเอาที่โกดัง”
“แม่เอ็ง ต้องรอให้พวกหลิงม่อมาก่อน จะทำความสะอาดห้องพักก็ไม่ได้ พวกนายแยกย้ายกันไปหาห้องดีๆ แล้วกัน” หัวหน้าทีมถ่มน้ำลายอย่างอารมณ์เสีย แล้วพูดขึ้น
ชายคนที่เดินตามหลังเขารีบโบกมือสั่งสมาชิกด้านหลังอย่างรู้หน้าที่ “พวกนาย ขึ้นไปดูข้างบนกับฉัน แล้วก็พวกนาย ไปหาของกินที่โกดังกลับมาหน่อย ระวังอย่าทิ้งร่องรอยไว้ล่ะ แล้วก็สำรวจดูด้วยว่ามีไอ้พวกซอมบี้เวรนี่อยู่อีกไหม ถ้าหากยังมีก็ฆ่าทิ้งให้หมด”
สมาชิกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว กลุ่มที่ขึ้นไปสำรวจชั้นบนก็เดินหายลับไปบนบันไดอย่างรวดเร็ว หัวหน้าทีมเงยหน้ามองข้างบนแวบหนึ่ง จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปที่ห้องด้านขวา พลันก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เดินสำรวจดูรอบห้องผ่านๆ
และเมื่อเขาหันหน้ากลับมา ก็พลันสะดุ้งสะเด็น
“เชี่ย!”
เวินเสี่ยวอวี่ยืนอยู่หน้าประตูห้องเงียบๆ และกำลังจ้องเขาตาไม่กระพริบ…
หลังจากมองดูดีๆ แล้วเห็นว่าเป็นเวินเสี่ยวอวี่ หัวหน้าทีมเหมือนเคอะเขินที่ตัวเองยั้งสติไม่อยู่ ทว่าพอคิดได้ว่าผู้หญิงคนนี้เดิมก็เป็นคนไม่ช่างพูดอยู่แล้ว เขาจึงกระแอมแห้งๆ แล้วพูดอย่างไม่ใคร่สบอารมณ์นัก “เสี่ยวอวี่ เธอช่วยส่งเสียงหน่อยไม่ได้หรือไง? เป็นแบบนี้จะทำให้คนตกใจตายเข้าซักวันนะ! เอารถไปซ่อนเสร็จแล้วใช่ไหม?”
“เสร็จแล้ว” เวินเสี่ยวอวี่ตอบหนึ่งคำ จากนั้นก็หมุนตัวเตรียมเดินจากไป แต่ในตอนนั้นเอง เธอกลับชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหันมาถามว่า “หลิงม่อจะมาเมื่อไหร่?”
หัวหน้าทีมอึ้งงัน ครุ่นคิดแล้วตอบว่า “น่าจะรออีกไม่นานแล้วล่ะ”
“ภารกิจของพวกคุณ คือฆ่าเขาใช่ไหม?” เวินเสี่ยวอวี่ถาม
หัวหน้าทีมขมวดคิ้ว “พวกคุณ” อะไรกัน? …ทว่าเมื่อลูกทีมถาม เขาก็ยังคงตอบอย่างใจเย็น “ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ ว่าต้องดูสถานการณ์ก่อน แน่นอนว่าหากจับเป็นได้ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็สามารถฆ่าได้เลย”
“ฉันเข้าใจแล้ว” เวินเสี่ยวอวี่พยักหน้า
“ทำไมวันนี้เธอถึงได้…” หัวหน้าทีมหมายจะถาม แต่กลับพบว่าเวินเสี่ยวอวี่กำลังยิ้มให้เขา คำถามที่ใกล้หลุดออกจากปากก็พลันถูกกลืนลงคอไปทันที “ช่างเถอะๆ เธอไปเถอะ ตามพวกเขาไปดูที่โกดัง แล้วคิดหาวิธีทำอาหารปรุงสุกสักหน่อย”
หลังจากเวินเสี่ยวอวี่เดินจากไป หัวหน้าทีมจึงค่อยถอนหายใจ พลางพูดกับตัวเองอย่างขบขัน “แม่เอ็ง เมื่อก่อนฉันก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอหญิงงามนี่หว่า! แต่จะว่าไป ได้ยินมาว่าพวกผู้หญิงที่อยู่กับหลิงม่อต่างหากคือหญิงงามตัวจริง…”
พูดถึงตรงนี้ เขาพลันนึกถึงใบหน้าหล่อเหลางามสง่าหนึ่งขึ้นมา…
“เหอะ ไม่คิดเลยว่าเจ้าแซ่หวังนั่นจะเลวระยำได้ขนาดนี้ เพื่อจะได้ร่วมมือกับพวกเรา เขากลับเสนอเงื่อนไขออกมาได้ทุกรูปแบบ ซ้ำยังขายข้อมูลของเจ้าแซ่หลิงเสียหมดเปลือก แต่ถ้าไม่ใช่เพราะอย่างนี้ เดาว่าเจ้านายก็คงไม่ยอมรับปาก…แต่ไม่ว่ายังไงหมอนั่นก็ไม่ใช่คนดีแน่นอน ทำเป็นบอกว่าค่ายปาฏิหาริย์ร่วมมือกับพวกมัน ใครจะไปเชื่อวะ…”
นอกห้อง เวินเสี่ยวอวี่ยืนชิดผนังอยู่เงียบๆ…พอได้ยินถึงตรงนี้ เธอก็ยืนตัวตรง สายตาพลันฉายแววประหลาดพาดผ่าน…
“หื้ม?”
ในอำเภอหลีหมิง หลิงม่อยกมือขึ้นกุมหัวใจ ขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้ว
ซย่าน่ายื่นน้ำขวดหนึ่งให้เขาจากด้านข้าง ถามว่า “เป็นอะไรไปหรอ?”
“อ้อ เปล่าหรอก” หลิงม่อรีบเงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน โดยบังเอิญ เขาเหลือบไปเห็นเย่เลี่ยนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ยัยเด็กโง่คนนั้นกำลังแอบมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วงอยู่หลังเครื่องจักรตัวหนึ่ง พอเห็นว่าตัวเองถูกจับได้ ก็รีบหดตัวกลับไปทันที
“พี่หลิง พี่ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพี่เย่เลี่ยนหรือเปล่า?” ซย่าน่าเองก็มองเห็นภาพนั้นด้วยเช่นกัน จึงหันมาพูดกับหลิงม่อพร้อมรอยยิ้ม
หลิงม่อมองหน้าเธออย่างคนความรู้สึกไว พลางถาม “เธอรู้อะไรมาใช่ไหม?”
“ก็ไม่รู้สินะ” ซย่าน่าเอียงคอ
“รนหาที่ซะแล้ว…”
“ชิ พูดอย่างว่าตอนนี้พี่ขยับตัวได้งั้นแหละ”
หลังจากสังหารบลัดมาเธอร์ ตอนนี้สมาชิกทีมส่วนใหญ่ล้วนเหมือนหลิงม่อ ต่างกำลังนั่งพักเอาแรงอยู่บนพื้น…
โชคดีที่หอพักหลังนี้ไม่ใช่สนามต่อสู้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงต้องยืนพักผ่อน เพราะมีแมงมุมอยู่เต็มพื้นไปหมด สถานที่อื่นในอำเภอแม้ไม่มีศพ แต่กลับยังมีแมงมุมที่มีชีวิตอยู่ และภายใต้สถานการณ์ที่ท้องฟ้าสว่างแล้ว พวกเขาก็ไม่อยากเสียเวลาเพื่อตามหาที่พักใหม่อีกแล้ว…
“ทางเฮลิคอปเตอร์จัดการกันไปถึงไหนแล้ว?” เห็นเฮยซือกับอวี๋ซือหรานเดินเข้ามา หลิงม่อจึงรีบถามขึ้น
เฮยซือหัวเราะคิกคัก แล้วตอบ “ยังดี พวกนั้นไม่มีปัญญาแบ่งกำลังไปทำลายเฮลิคอปเตอร์ ดังนั้นนอกจากแมงมุมบางส่วน ก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างนะ…”
“เจ้าลิงผอมอาศัยความสามารถในการได้ยินตามหาแมงมุมเจอหมดแล้ว” อวี๋ซือหรานพูดต่อ
“นักบินคนนั้นก็สำรวจการทำงานของเครื่องยนต์เรียบร้อยแล้ว” เฮยซือบอก
“พวกเราบินออกจากที่นี่ได้ภายในวันนี้เลย” อวี๋ซือหรานพูดต่อ
หลิงม่อมองพวกเธออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกมือกุมหน้าผาก “ฉันรู้สึกเวียนหัวนิดๆ…”
“ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะไม่อาจใช้ร่างร่วมกับยัยโง่แล้ว แต่กลับสามารถเพิ่มสกิลการสื่อสารร่วมกับเธอได้ ถ้าทำอย่างนี้ เธอก็จะได้ไม่ต้องโง่มากแล้ว” เฮยซืออธิบายอย่างได้ใจ
“ไม่โง่? เธอไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหนกันแน่? เห็นชัดๆ ว่าโง่คูณสองต่างหาก!” หลิงม่อทอดถอนใจอย่างหมดคำพูด ขณะเดียวกันก็ทุบหน้าอกไปด้วย
“จิ๊…” อวี๋ซือหรานหน้าง้ำ “นายเองก็ไม่เห็นต้องถึงขั้นตีอกชกหัวเลยนี่!”
“ใครตีอกเพราะพวกเธอกันล่ะ!” หลิงม่อหงุดหงิด ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในใจเขา เหมือนจะมีอาการถี่ขึ้นเรื่อยๆ…ตกลงว่ามันเป็นลางบอกเหตุอะไรกันแน่?
“ไปช่วยรุ่นพี่เก็บกวาดข้าวของเลย”
ในอาคารโรงงาน หลี่ย่าหลินกำลังกระชับจูบอสรพิษแน่น เมื่อเจอแมงมุมตัวใหญ่หนึ่งตัว เธอก็ตวัดคมมีดจัดการตัวแล้วตัวเล่า…
“ข้าวของ…” อวี๋ซือหรานและเฮยซือสบตากันทันที จากนั้นก็เลียริมฝีปากอย่างตื่นเต้น
“ห้ามกินของส่งเดช!”
หลิงม่อตะโกนไล่หลังพวกเธอมา ทว่าพอหันกลับไป เขากลับค้นพบด้วยใบหน้าเอือมระอา เมื่อพบว่าแม้แต่ซย่าน่ากับเย่เลี่ยนก็หายไปด้วย…