แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1101 ผนังฝังศพ
“ลูก?! …”
หลิงม่ออึ้ง ทว่าไม่นานก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพราะถูกเย่เลี่ยนจ้องอยู่ แล้วถามเสียงราบเรียบ “อื่ม…ถึงเราจะยังไม่รู้ว่าซอมบี้ตัวนั้นเป็นเพศอะไร แต่แมงมุมตัวนั้นเป็นตัวผู้ และมั่นใจได้ว่ามีความสามารถในการคลอดลูกได้แน่นอน ดังนั้นที่เด็กโง่พูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน! แต่ว่า…ทำไมเธอถึงคิดอย่างนี้ล่ะ?”
“อา…! ฉันไม่ได้หมายความว่าพวกมันทำ…อย่างนั้นอย่างนี้…แล้วค่อยเกิดพวกนี้ออกมา…” เย่เลี่ยนโบกมือทันควัน พร้อมกับอธิบายว่า “ฉันหมายถึง…ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่ใช่สายพันธุ์เดียวกัน…แต่ถ้าหาก…”
เย่เลี่ยนหันไปมองหน้าซย่าน่าราวกับขอความช่วยเหลือ ซย่าน่าเองก็หันไปมองเธอ พลันเผยสีหน้าถึงบางอ้อ และรีบอธิบายต่อจากเธอทันที “ฉันเข้าใจความหมายของพี่เย่เลี่ยนแล้ว พี่เขาอยากบอกว่า เจ้าพวกนี้ไม่ได้เป็นเพียงผลผลิตของแมงมุมยักษ์กับเจ้าซอมบี้นั่น แต่เกิดจากการทรมานด้วยวิธีพิเศษบางอย่างของพวกมัน อย่างน้อยดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เรื่องราวไม่ได้ง่ายดายอย่างการที่สองตัวนั้นกัดพวกนี้คนละคำแล้วทำให้พวกมันกลายเป็นอย่างนี้แน่นอน…ดังนั้นแทนที่พวกเราจะศึกษาพวกมัน สู้ไต่ตรองให้ดีว่าในตัวแมงมุมยักษ์กับเจ้าซอมบี้นั่นมีอะไรอยู่จะดีกว่า โดยที่สิ่งที่ว่านั้นจะต้องเป็นผลดีต่อพวกมันสองตัวแน่นอน……”
“อื้มๆ!” เย่เลี่ยนยืนพยักหน้าอยู่ด้านหนึ่ง เห็นหลิงม่อมองมาที่ตัวเอง ก็รีบก้มหน้างุดอีกครั้ง แล้วพูดเสียงเบาว่า “ฉัน…ฉันแค่พูดไปอย่างนั้น…”
“ไม่หรอก! เด็กโง่พูดถูกแล้ว” หลิงม่อกลับฉายแววตาครุ่นคิด เขาจ้องศพที่อยู่บนพื้นครู่หนึ่ง พลันเงยหน้าบอกว่า “ถ้าหากว่ามีจุดที่คล้ายกัน…ก็ต้องเป็นเรื่องสติปัญญา?”
“สติปัญญา…” เฮยซือดุนคางทำท่าครุ่นคิด แล้วอยู่ๆ ก็ตบมือดังฉาด “ใช่แล้ว! ที่แมงมุมยักษ์กับซอมบี้ตัวนั้นร่วมมือกันอย่างนี้ได้ แสดงว่าสติปัญญาของซอมบี้ตัวนั้นฟื้นฟูกลับมาอยู่ในระดับคนทั่วไปแล้ว และ ‘คน’ ที่พวกเราเจอเมื่อกี้ ทั้งที่ร่างกายของมันไม่ได้วิวัฒนาการ แต่วิธีการคิดของมันกลับเหมือนซอมบี้ระดับต่ำไม่มีผิด ส่วนเจ้าตัวนี้…ร่างกายของมันก็ไม่ได้มีร่องรอยวิวัฒนาการที่ชัดเจนเหมือนกัน ด้านสติปัญญา…”
เหล่าซอมบี้สาวมองหน้ากัน และพูดออกมาพร้อมกันจนแทบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า “สิ่งที่พวกมันต้องการดัดแปลงคือสมองของมนุษย์และซอมบี้พวกนี้!”
“สมอง…เอาล่ะ ไม่ว่าเรื่องจะเป็นอย่างนี้จริงหรือไม่ พวกเราเพียงต้องหาคำตอบก็จะรู้เอง” หลิงม่อพูดขึ้น
ในขณะที่พวกเขายืนถกเถียงกันอยู่รอบศพ พวกมู่เฉินถือไฟฉายและเดินสำรวจบริเวณรอบๆ อย่างละเอียด
“หัวหน้า มาดูนี่เร็ว!” เย่ไคมองไล่ออกไปทีละนิดๆ จนในที่สุดก็ค้นพบบางอย่าง เขาจึงรีบหันกลับไปตะโกนเรียกเสียงดัง
หลิงม่อรีบเดินไปตามเสียงเรียก ในรัศมีแสงไฟฉายที่ส่องไป เห็นเพียงนิ้วมือซีดขาวนิ้วหนึ่ง…โผล่ออกมาจากผนัง
สวี่ซุหานเดินเข้าไปดูด้วยแวบหนึ่ง ทว่าไม่นานก็สูดจมูกอย่างรังเกียจ แล้วบอกว่า “นี่เป็นศพของมนุษย์…และดูจากความแรงของกลิ่น ในผนังนี้น่าจะมีศพอยู่มากมาย คงเป็นเพราะเชื้อไวรัสล่ะมั้ง ศพนี้ถึงยังไม่เน่า”
“โอ้…ไม่คิดเลยว่าแมงมุมยักษ์ตัวนั้นจะจับเขาฝัง แทนที่จะจับเขากิน…” อวี่เหวินซวนจ้องศพนั้น แล้วรำพึงอย่างประหลาดใจ
“เดาว่าคงมีเหตุผลที่กินไม่ได้อยู่ล่ะมั้ง…” หลิงม่อเองก็พูดอย่างครุ่นคิด
“นี่ๆ เรื่องโหดร้ายอย่างนี้พวกนายยังจะเอามาคุยต่อหน้าคนตายได้อย่างหน้าตาเฉยได้ยังไง!” มู่เฉินเอ็ด
“ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้ยินแล้วนี่” เย่ไคยกมือตบไหล่มู่เฉิน แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ที่ใดบ้างไม่เหมาะแก่การฝังศพผู้กล้า…” ไม่รอให้มู่เฉินพูดอะไร เขาก็พลิกมือหยิบพลั่วขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเป้ ถามว่า “หัวหน้า ให้ขุดไหม?”
“เชี่ย นี่นายเตรียมพร้อมแล้วหรอ…ไม่สิ ประเด็นคือ…ทำไมนายถึงได้พกของแบบนี้ติดตัวล่ะ!” มู่เฉินร้องตกใจ
“อ้อ…ผมหยิบมาตอนที่ลงจากเฮลิคอปเตอร์น่ะ ตอนแรกตั้งใจจะเอามาตักข้าวสาร แต่ตอนนี้เอามาใช้ขุดศพได้พอดี” เย่ไคยืดอกอธิบายอย่างย่ามใจ จากนั้นก็พูดเสริมว่า “ในเมื่อศพนี้มีปัญหา ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรขุดออกมาดูไม่ใช่หรอ? ยิ่งไปกว่านั้นผมรู้สึกว่า เขาเองก็น่าจะยินยอมด้วยซ้ำ ถ้าเป็นผม คงไม่อยากตายแบบไม่รู้อะไรเลย แถมยังถูกฝังไว้ในที่แบบนี้อีก อย่างน้อยก็อยากให้คนอื่นรู้ว่าทำไมผมถึงตาย และก่อนตายต้องเจอกับอะไรบ้าง”
“…ถึงขั้นเอาตัวเองเป็นตัวอย่างขนาดนี้ ฉันจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?” มู่เฉินถอนหายใจ แล้วยื่นมือไปข้างหน้า “ยังมีพลั่วอีกอันไหม?”
“มีถุงมือยาง…”
เวลานี้ หลิงม่อเองก็พยักหน้า “ขุดเถอะ บางทีคำตอบอาจอยู่ที่พวกเขา”
ดูออกว่าศพถูกฝังอย่างเร่งรีบ เวลาขุดออกมาจึงง่ายดายและรวดเร็ว…เพียงแต่สิ่งที่ทำให้คาดไม่ถึงคือเมื่อศพร่างนี้ล้มลงมาจากผนังดินในสภาพแข็งทื่อ ศพอีกมายมายก็พลันปรากฏให้เห็นทันที…
แขน…มือ…ใบหน้าครึ่งหนึ่ง…ส่วนต่างๆ ในร่างกายอันซีดขาวพวกนั้นโผล่ออกมาจากผนังดินสีดำ มองแวบแรก ผนังด้านนี้ราวกับผนังที่อัดแน่นไปด้วยศพก็ไม่ปาน
“กรี๊ดด!”
สวี่ซูหานกรี๊ดลั่นทันที และผงะถอยหลังโดยสัญชาตญาณ
เพียงแต่ช่องทางเดินนี้กว้างเพียง 4 – 5 เมตร และเธอไม่เพียงลืมว่าตัวเองเป็นซอมบี้ แต่ยังลืมตัวถอยหลังสุดแรงอีกด้วย…
“โครม!”
เมื่อผนังด้านหลังถูกเธอชน ท่ามกลางเสียงเศษดินที่ร่วงลงมาดัง “ซ่าา” แขนข้างหนึ่งพลันห้อยลงมาอยู่ตรงหน้าสวี่ซูหานพอดี
สวี่ซูหานยืนอึ้งอยู่กับที่ในสภาพดินเลอะทั่วตัว เวลานี้พอมองเห็นมือซีดขาวข้างนั้นผ่านหน้ากาก จึงกรีดร้องเสียงดังลั่น “กรี๊ดดดด!”
“เชี่ย…” คนที่เหลือต่างมองผนังฝังศพที่ถูกขุดออกมา รวมถึงผนังฝั่งที่เพิ่งถูกสวี่ซูหานชนด้วยใบหน้าตะลึงลาน…
“นี่มันถึงขั้นทำลายกฎแห่งธรรมชาติแล้ว…”
แค่คำนวณจากแขนขาส่วนที่โผล่ออกมา ศพที่อยู่ในผนังสองด้านนี้ก็เกินสามสิบแล้ว และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีทางที่พวกเขาจะเจอศพที่ถูกฝังอยู่ตรงนี้อย่างบังเอิญ…ดังนั้นสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ก็คือช่องทางเดินทั้งเส้นนี้ มีศพแบบนี้ถูกฝังอยู่ตลอดทาง…
“พวกนายยังจำคำพูดของเชลยคนนั้นได้ใช่ไหม? ศพในอำเภอหลีหมิงล้วนถูกขนย้ายมาเก็บตุนไว้…” หลิงม่อจ้องศพพวกนี้ แล้วพูดด้วยใบหน้าเย็นชา
“อื่ม…” เฮยซือเขย่งปลายเท้าอยู่ตรงหน้าผนังด้านหนึ่ง พูดเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ความจริงถ้าดูดีๆ ด้านในสุดของผนังฝังศพนี้ล้วนเป็นศพที่ตายมาค่อนข้างนานแล้ว แถมส่วนใหญ่ยังเป็นซอมบี้อีกด้วย ยังมีอีกส่วนที่เป็นมนุษย์ซึ่งหลังถูกกัดจนตายก็ยังไม่ทันถูกกิน ดังนั้นดูจากจุดนี้ แมงมุมยักษ์ตัวนั้นถือเป็นเพียงแรงงานขนศพเท่านั้น อา…แต่ว่าพวกที่อยู่นอกสุดถูกมันฆ่าตายแน่นอน”
“ยัยเปี๊ยกนี่กำลังพูดเรื่องตลกอะไรอยู่ข้างๆ ฉันกัน! รีบช่วยฉันปัดดินฝังศพพวกนี้ออกจากตัวสิ ฉันขยับตัวไม่ได้แล้ว!” สวี่ซูหานยังคงยืนอยู่ที่เดิม และจ้องแขนข้างนั้นอย่างเงียบๆ…สำหรับเธอที่ขี้ขลาดเหมือนหนู เกรงว่าเวลานี้คนที่อยากจะหลบเข้าไปในผนังมากที่สุด ก็คือเธอ…
“เอาล่ะ พวกเรามาดูศพนี้กันหน่อย” หลิงม่อเลื่อนสายตาไปยังศพที่อยู่บนพื้น หรือก็คือเจ้าของนิ้วมือเมื่อกี้ เขาถูกฝังไว้ไม่ลึก เดาว่าน่าจะตายช้าที่สุดในบรรดาศพเหล่านี้…
เสี่ยวเฮยปรากฏตัวโดยไม่มีผู้ใดเห็น จากนั้นก็ใช้หนวดสัมผัสมัดแขนขาทั้งสี่ข้างของศพ เมื่อหลิงม่อขยับนิ้ว เสี่ยวเฮยก็ยกแขนขึ้น และยกศพขึ้นมาราวกับควบคุมหุ่นกระบอก
ศพนี้ราวกับฟื้นคืนชีพวิต ค่อยๆ ยืนขึ้น และเงยหน้า…
ดูจากใบหน้า ศพนี้เหมือนไม่ได้กลายพันธุ์ไปมากนัก รูปร่างค่อนข้างผอมบาง แก้มตอบจนเป็นหลุม เพียงแต่ตรงส่วนลำคอของเขามีรอยแผลเน่าเปื่อยอยู่หนึ่งจุด ซึ่งดูแล้วเหมือนหลุมสีดำ นอกจากนั้นหัวของมันก็ยังใหญ่กว่าปกติ หลิงม่อจ้องเขาครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มุ่งเป้าความสนใจไปที่หัวของเขา
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะเดาถูกแล้ว เป้าหมายที่พวกมันต้องการดัดแปลง ก็คือสมองมนุษย์…และเพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพ พวกมันยังใช้ทั้งมนุษย์และซอมบี้เป็นหนูทดลองอีกด้วย…เดี๋ยวก่อน!” หลิงม่อพลันพูดขึ้น “แมงมุมยักษ์ตัวนั้นก็เป็นอย่างนี้ ร่างกายของมันกลายพันธุ์ไปแล้ว แต่กลับยังมีความคิดและสติอันครบถ้วน! ดังนั้น…เป็นไปได้ไหมที่มันจะเป็นผลงานที่สำเร็จเป็นชิ้นแรก? หรือพูดอีกอย่างก็คือ สาเหตุที่ซอมบี้ตัวนั้นหมายตามัน เพราะว่าเล็งเห็นเรื่องนี้?”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราก็รู้จุดประสงค์ของซอมบี้นั่นแล้ว…สิ่งที่มันต้องการ คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์…” หลิงม่อชะงักงัน สายตาพลันสะดุดที่ร่างเสี่ยวเฮย “มันต้องการพลังจิต!”
“อื่ม…ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกที่มันจะหมายหัวพี่หลิง…” ซย่าน่าหันไปมองหลิงม่อ แล้วพูดเสียงเบา
ทุกคนต่างหันไปมองหลิงม่อ มู่เฉินพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “ถ้าเป็นอย่างนี้ สำหรับมัน หัวหน้าก็เป็นเหมือนลูกชิ้นแสนอร่อยหลายร้อยลูกที่วางอยู่ตรงหน้าและไร้หนทางสู้…มันต้องลงมือแน่อยู่แล้ว”
“ไม่…มันจะต้องระวังตัวมากแน่นอน” หลิงม่อกลับส่ายหน้า ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมซอมบี้ตัวนั้นถึงไม่หมายหัวพวกเย่เลี่ยน…มันไม่ได้มองพวกเธอเป็นอาหาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ระวังพวกเธอ ดังนั้นจนถึงตอนนี้ ซอมบี้นั่นต้องกำลังแอบมองพวกเขาจากที่มืด เพื่อมองหาจังหวะลงมืออยู่แน่นอน
โชคดีที่หลิงม่อรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายก่อนที่อีกฝ่ายจะหาโอกาสนั้นเจอ เมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเขาก็สามารถหาทางรับมือที่เหมาะสมได้แล้ว…
“พอทุกคนพูดอย่างนี้แล้ว งั้นคนพวกนี้…ก็เหมือนกับ ‘ผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต’ ที่พวกมันพยายามสร้างขึ้นมาสินะ? เพียงแต่ดูจากผลลัพธ์แล้ว พวกมันทำล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัด อย่างมากก็ทำได้เพียงสร้างคนบ้าที่มีพลังสังหารกับคนบ้าทั่วไปขึ้นมาเท่านั้น แต่ดูจากที่ทั้งมนุษย์และซอมบี้ล้วนกลายเป็นคนบ้าไปแล้ว เชื้อไวรัสและพิษส่วนใหญ่ล้วนถูกใช้ไปกับสมองของพวกเขาแล้วล่ะ” เฮยซือชี้ศพนั้น แล้วบอกว่า “อย่างแบบนี้คือถูกพวกมันฆ่าตายโดยตรง ส่วนที่ถูกมัดแขวนไว้พวกนั้น คือพวกที่รอดมาได้ แต่ไม่ได้มาตรฐานตามที่วางไว้”
“ไม่แน่ว่า หากเดินลงไปช้างล่างสุดอาจจะมีตัวที่ผ่านเกณฑ์อยู่ก็ได้ ถ้าหากหาตัวที่ผ่านเกณฑ์เจอ เจ้านายก็ใช้มันเป็นเหยื่อล่อได้แล้ว” เฮยซือยืนเท้าเอว แล้วบอก
“ถึงปากจะเรียกฉันว่าเจ้านาย แต่การกระทำกลับบ่งบอกว่าเตรียมพร้อมใช้ฉันเป็นเหยื่อล่อแล้ว…” หลิงม่อขมวดคิ้ว…