แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1109 “มังกร” พ่นไฟ
“…” ซย่าน่าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบ “ถ้าหากเป็นร่างแม่ตัวนั้นจริงๆ งั้นพวกเราก็ต้องเตรียมตัวรับศึกหนักแล้วล่ะ…”
“พวกเธอระวังตัวด้วย ดูสถานการณ์ก่อน อย่าวู่วามเคลื่อนไหวส่งเดชเด็ดขาด” หลิงม่อกำชับ
“อื่ม วางใจ พวกเราแค่คอยเปิดทาง พวกพี่ตามหลังมาจะได้ไม่ถูกพวกมันซุ่มโจมตี” ซย่าน่าตอบ
หลังจากตัดสาย หลิงม่อก็หันไปพูดกับพวกเย่ไค “พวกเรามีปัญหาใหญ่แล้ว…”
หลังจากที่เขาอธิบายการคาดเดาของตัวเองให้พวกเขาฟังอย่างชัดเจน พวกเย่ไคต่างพากันเงียบ
เป็นปัญหาใหญ่จริงๆ ดังคาด…ซอมบี้ฆ่าคนได้ ก็ถือว่าโหดมากแล้ว…แต่ซอมบี้ที่ฆ่าคนแล้วไม่ทิ้งร่องรอย เรียกว่าโหดยิ่งกว่าโหดเสียอีก!
กอปรกับคนที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มพวกเขา คือผู้มีความสามารถพิเศษ “สายพลังจิต”…เรื่องนี้ทำให้ระดับความน่ากลัวของร่างแม่สายพลังจิตตัวนั้น พุ่งพรวดในชั่วพริบตา…
“มีซอมบี้แบบนี้อยู่ด้วยหรอ…” เย่ไคพึมพำ สำหรับผู้รอดชีวิตทั่วไปที่ไม่ค่อยได้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอก และถึงแม้ต้องออกมาก็จะพยายามเลี่ยงพวกซอมบี้อย่างสุดความสามารถอย่างเขา เรื่องที่มีซอมบี้สายพลังจิตอยู่ด้วย ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ครั้งใหม่ของเขา…
“ต่อไปจะมีซอมบี้อะไรอีกล่ะ? จะมีซอมบี้สายศักยภาพร่างกายไหม?”
“แน่นอนว่ามี หรือถ้าจะพูดให้ถูก ซอมบี้ทุกตัวก็เป็นสายศักยภาพร่างกายอยู่แล้ว…ในหมู่พวกมันมีเพียงสายพลังจิตกับสายกลายพันธุ์ถึงจะเรียกว่าซอมบี้กลายร่าง…ถึงแม้มีหลายจุดที่ต่างกัน แต่โดยเนื้อแม้แล้ว ซอมบี้ล้วนเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ…ผู้มีความสามารถพิเศษที่ไร้สมอง…อีกทั้ง พวกมันก็ยังถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท…” หลิงม่อบอก
วิวัฒนาการของซอมบี้มองผิวเผินอาจเหมือนก้าวหน้าทุกด้าน และในทุกด้านล้วนดูสมดุล ทว่าแท้จริงแล้วระหว่างซอมบี้ด้วยกันเองยังมีความแตกต่างกันในแต่ละตัว และซอมบี้กลายร่างก็คือซอมบี้สายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นจากการที่ “เอกลักษณ์” เหล่านี้วิวัฒนาการจนเด่นชัดขึ้น เทียบกับซอมบี้ธรรมดา พวกมันอ่อนแอกว่าในบางด้าน แต่ในบางด้านพวกมันก็โดดเด่นกว่าเป็นพิเศษ อย่างเช่นตัวที่พวกหลิงม่อกำลังจะเผชิญหน้าด้วย คือประเภทที่ค่อนข้างโดดเด่นด้านพลังจิต…
“ยังไงก็เถอะ สายพลังจิต? ซอมบี้แบบนี้…น่าจะมีน้อยมากไม่ใช่หรอ!” มู่เฉินครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นอย่างไม่สบายใจ
“ใช่…ทุกคนรู้ว่าตอนที่ซอมบี้เพิ่งกลายพันธุ์จะยังไม่มีสติปัญญา มีเพียงหลังจากที่พวกมันวิวัฒนาการไปทีละขั้นๆ ถึงจะค่อยๆ ฟื้นคืนสติปัญญากลับมาได้ แต่แม้จะเป็นซอมบี้ที่ฟื้นฟูสติปัญญากลับมาได้ในระดับเดียวกับมนุษย์ ก็ยังมีความแตกต่างกับมนุษย์มากในด้านของความคิด” จางซินเฉิงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น
“เป็นอย่างนั้นจริงๆ…” เย่ไคถือว่าสามารถยอมรับความจริงได้เร็ว ไม่นานเขาก็ตั้งสติได้ และพยักหน้าเห็นด้วยทันที
“เป็นอย่างที่เหล่าจางพูดไว้ไม่มีผิด…ดังนั้นซอมบี้ที่สามารถมุ่งเป้าวิวัฒนาการไปที่สมองเป็นหลัก น่าจะมีจำนวนน้อยมาก ความจริงจุดนี้มนุษย์ก็เป็นเหมือนกัน สัดส่วนของผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายมากที่สุด รองลงมาก็เป็นผู้มีพลังจิตและพลังธาตุ สายกลายพันธุ์นั้นน้อยที่สุด แต่นั่นเกรงว่าอาจเป็นเพราะอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ยากที่กลายสภาพไปอย่างชัดเจนก็ได้…อีกอย่างเมื่อคำนึงถึงจำนวนผู้มีความสามารถพิเศษที่ไม่ได้มีมากอยู่แล้ว ดังนั้นสัดส่วนของผู้มีความสามารถพิเศษสายพลังจิตท่ามกลางผู้รอดชีวิตทั้งหมด ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก”
ในที่สุดอวี่เหวินซวนก็พูดเรื่องจริงจังออกมา ทว่าพอเขาอ้าปากพูดประโยคถัดไป ก็เริ่มกวนประสาทคนอีกครั้ง “ดังนั้น คนที่ชอบจินตนาการฟุ้งซ่านย่อมเป็นชนกลุ่มน้อย ผู้มีพลังจิตจึงเป็นพวกนอกรีต…”
“นอกรีตพ่อเอ็งสิ…ไม่ว่าพลังสายไหนจะถูกปลุกตื่นจากตัว ล้วนเกิดจากหลายปัจจัยส่งผลกระทบ ถ้าจะพูดกันจริงๆ ต้องดูกันที่เชื้อไวรัสเป็นหลัก ว่ามันแพร่เชื่อไปที่ส่วนไหนของนายเป็นหลัก นายตัดสินใจเองได้ที่ไหนเล่า!” มู่เฉินค้าน
อวี่เหวินซวนครุ่นคิด แล้วพูดขึ้นว่า “ก็ใช่…ถ้าหากว่าเลือกได้ล่ะก็ ฉันจะเลือกให้ไฟพ่นออกมาจากข้างหน้าแทน จะได้ตั้งชื่อมันว่ามังกรพ่นไฟอะไรทำนองนั้น…พอเจอศัตรู ฉันก็จะเดินเข้าไปคำรามเสียงกึกก้องว่า—เอา XX ฉันไปกินซะ! จากนั้นก็เปิดซิปหยิบอาวุธออกมาอย่างเท่ห์ๆ…แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว! บอกตามตรงนะ ฉันอยากทำอย่างนั้นต่อหน้าคนเยอะๆ มานานแล้ว! ทุกคนอยากเป็นฮีโร่ที่กล้ายอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง หรือเป็นเพียงคนธรรมดาที่ปิดบังความต้องการของตัวเองไปตลอดกาล! อุวะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
“พูดคำว่าฮีโร่ออกมาได้ไม่อายปาก! นายแค่อยากเป็นโรคจิตชอบเปลือยมากกว่า ถ้านายยังพูดไร้สาระอีกคำเดียว ฉันจะช่วยตอนมังกรของนายให้กลายเป็นหนอนไปตลอดชีวิตโดยไม่คิดเงินเลยล่ะ…” หลิงม่อหันหน้าไปถลึงตาเย็นชาใส่เขา
อวี่เหวินซวนสบตากับเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็รีบยกมือปิดเป้ากางเกงตัวเอง และหุบปากสนิท…
“เอาล่ะ เรื่องที่เฟิ่งจื่อพูดส่วนแรกล้วนถูกต้องทั้งหมด นั่นก็คือซอมบี้สายพลังจิตมีน้อยมากจริงๆ ซอมบี้ประเภทนี้นอกจากมีสติปัญญาระดับเดียวกับมนุษย์ และความสามารถในการจดจำอันยอดเยี่ยมแล้ว ที่สำคัญที่สุดพวกมันยังมีพลังจิตอีกด้วย…จุดนี้ความจริงก็เหมือนกับผู้มีพลังจิต ขอเพียงพวกมันเรียนรู้ที่จะใช้มัน พวกมันก็กลายเป็นผู้มีพลังจิตในเวอร์ชั่นซอมบี้…” หลิงม่อพูดต่อ
มู่เฉินเผยสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา และเอ่ยสิ่งที่ทุกคนกำลังกังวลออกมาว่า “ถ้าอย่างนั้น…เจ้าซอมบี้ตัวนี้ก็น่าจะรับมือได้ยากมากน่ะสิ…มีพลังจิต แล้วยังมีข้อได้เปรียบของซอมบี้อยู่อีก…ซ้ำยังเป็นถึงร่างแม่…”
“ร่างแม่หรอ? ข้อได้เปรียบที่สุดของร่างแม่คือการแพร่เชื้อ พวกมันก็เหมือนกับแหล่งแพร่เชื้อไวรัสกลายร่างขนาดใหญ่ ที่สามารถลากซอมบี้ธรรมดาฝูงแล้วฝูงเล่าเข้าไปรวมอยู่ในฐานทัพของมัน ก็เหมือนกับคนที่มีทรงผมสไตล์ร็อคปรากฏตัวกลางถนน แล้วทุกคนบนถนนก็ติดเชื้อทรงผมสไตล์ร็อคอย่างรวดเร็ว…” หลิงม่อยกตัวอย่าง
ทุกคนคิดภาพตามที่เขาบอก ไม่นานสวี่ซูหานก็พูดโพล่งออกมา “น่ากลัว…”
“ฉันไม่รู้ว่าอย่างไหนน่ากลัวกว่ากันแล้วเนี่ย…ถนนที่เต็มไปด้วยชาวร็อคผมฟูฟ่อง หรือว่าถนนที่เต็มไปด้วยซอมบี้…เป็นภาพที่โหดร้ายทั้งสองภาพเลย…” มู่เฉินขนลุก
“พวกนายจับประเด็นสำคัญกันไม่ได้หรือไง! ฉันหมายถึง เหล่าสายร็อค…เหล่าซอมบี้ที่ร่างแม่ตัวนี้แพร่เชื้อให้ ล้วนถูกพวกเราฆ่าหมดแล้ว…เมื่อกี้นี้” หลิงม่อบอก “ตอนนี้ฉันมีเหตุผลที่จะเชื่อแล้ว ผลงานร่วมพวกนั้น ความจริงล้วนเคยถูกร่างแม่ตัวนี้แพร่เชื้อให้ สิ่งที่มันต้องการ ก็คือสร้างฝูงซอมบี้พลังจิตขึ้นมา…และเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ มันถึงได้ใช้แม้กระทั่งมนุษย์ด้วย พอคิดอย่างนี้ ความจริงมันเคยทำแบบนี้ที่เมือง X แล้วครั้งหนึ่ง…แต่ดูจากผลลัพธ์ ครั้งนั้นมันทำล้มเหลวมาก มันจึงเปลี่ยนสถานที่ จนสุดท้ายก็มาถึงที่นี่”
“แมงมุมหัวคนที่ยังสามารถประคองสติอันชัดเจนไว้ได้ตัวนั้น อาจทำให้มันมองเห็นความหวังเข้าก็ได้ ขอเพียงทำให้ซอมบี้ประคองสติไว้ได้ในระหว่างกลายพันธุ์ หรือทำให้ซอมบี้ฟื้นฟูความสามารถในการนึกคิดกลับมาให้เร็วที่สุด พวกมันก็อาจกลายเป็นซอมบี้ที่วิวัฒนาการส่วนสมองเป็นหลัก…แต่ที่มันต้องการ คือซอมบี้หรือมนุษย์ที่มีความสามารถในการนึกคิดไม่มากนัก แต่ต้องมีพลังจิตอันแข็งแกร่ง…” หลิงม่อวิเคราะห์
สวี่ซูหานที่ยืนฟังอยู่ข้างหลังได้ยินเข้าก็พลันแตกตื่น…ประคองสติไว้ได้ตอนกลายพันธุ์? นี่มันหมายถึงเธอไม่ใช่หรอ? เพียงแต่เธอไม่สามารถหันทิศทางวิวัฒนาการไปที่สมองได้ แต่สำหรับซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้น นี่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดในการทดลองทั้งหมดของมันแล้ว…
“ถ้าอย่างนั้น…หากร่างแม่ตัวนั้นสังเกตเห็นระดับวิวัฒนาการของฉัน รวมถึงความสามารถในการนึกคิดของฉันในตอนนี้ มันก็ต้องเกิดความสนใจมากน่ะสิ? แต่มันอาจไม่คาดคิด ว่าสิ่งที่มันกำลังวิจัยค้นคว้าอย่างสุดตัว หลิงม่อกลับทำสำเร็จนานแล้ว…ดังนั้นคนที่มันกำลังสนใจอย่างแท้จริง ก็คือหลิงม่อ…
สวี่ซูหานลอบมองหลิงม่อเงียบๆ กลับพบว่าหลิงม่อยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยนไป…ทว่าเธอรู้ว่าหลิงม่อตระหนักถึงเรื่องนี้ได้แต่แรกแล้ว…
“ซึ่งก็หมายความว่า สำหรับพวกเรา สถานการณ์ในตอนนี้ยังมีโอกาสอยู่…” หลิงม่อบอก
คนที่เหลือยังคงตื่นตระหนกเล็กน้อย…มองดูหลิงม่อ แล้วนึกถึงซอมบี้ตัวนั้น…ไม่ว่ายังไงก็น่าปวดหัวทั้งนั้น!
“หวังว่านะ…” จางซินเฉิงถอนหายใจ แล้วพูดขึ้น
เวลานี้ เย่เลี่ยนที่ล่วงหน้าไปก่อนพลันส่งสัญญาณมา “พบ…บางอย่างแล้ว!”
“มันคืออะไร?” หลิงม่อรีบถาม ขณะเดียวกันก็รีบสลับมุมมองสายตาไป
เย่เลี่ยนเหมือนรู้ว่าหลิงม่อจะทำอย่างไร ดังนั้นเธอจึงไม่เสียเวลาอธิบายอะไร
ผ่านมุมมองสายตาของเย่เลี่ยน สิ่งแรกที่หลิงม่อเห็นคืออักษรที่ถูกสลักไว้บนพื้น…
“อยากได้เพื่อนของพวกแกคืนใช่ไหม? เดินตามลูกศรไปซะ”
“นี่มัน…นี่ไม่น่าจะใช่กู่ซวงซวง…” เย่เลี่ยนพูดติดๆ ขัดๆ
“อื่ม ใช่แล้วล่ะ เดาว่า…เป็นฝีมือของผู้หญิงคนนั้น” สีหน้าของหลิงม่อพลันหนักอึ้งทันที ข้อความที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ปรากฏกะทันหัน ซ้ำยังจงใจทิ้งไว้บนพื้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายกำลังบอกพวกเขาว่ากู่ซวงซวงถูกจับได้แล้ว…และตอนนี้ ในมือของเธอมีเบี้ยต่อรองอยู่สองตัว
“แต่เมื่อกี้พวกเรา…ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย…” เย่เลี่ยนบอก
หลิงม่ออึ้งงันไปก่อน จากนั้นก็พลันพูดขึ้น “ใช่แล้ว! ถึงแม้กู่ซวงซวงจะมีพลังต่อสู้อ่อนแอ แต่ยังไงก็เป็นผู้มีพลังจิต…ถึงจะสู้ไม่ได้ แต่ก็ถ่วงเวลาได้ช่วงหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็มีเวลาทิ้งสัญลักษณ์ หรือไม่ก็กรีดร้องเสียงดัง…ทำไมถึงได้เงียบเชียบขนาดนี้ล่ะ…แต่ไม่ว่ายังไง ในเมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่าพวกมันจะไม่ทำร้ายพวกเขาชั่วคราว…”
ถึงแม้ไล่ตามไม่ทัน แต่อย่างน้อยหากดูจากจุดนี้ พวกมันยังเหลือเวลาให้พวกหลิงม่อได้ขบคิดเล็กน้อย…
“พวกเราต้องเร็วกว่านี้แล้ว…” หลิงม่อพูดเสียงเครียด
แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่รู้ว่าหลิงม่อค้นพบอะไรเพิ่มเติม แต่จากน้ำเสียงของเขา พวกเขาพอฟังออกถึงความผิดปกติ ทุกคนไม่พูดอะไรอีก เพียงพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต…
ขณะเดียวกัน พวกเย่เลี่ยนได้มุ่งหน้าไปตามลูกศรเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงทางเดินอีกเส้นหนึ่ง ทว่าทางเดินเส้นนี้ กลับทอดยาวขึ้นไปข้างบน…