แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1112 ต้มกบ
“ผิดพลาดไปตรงไหนกันแน่…” สมองของหลิงม่อคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว “คิดดีๆ สิ ถ้าหากว่าฉันคิดจะซุ่มโจมตีตัวเอง จะต้องทำยังไง? ศัตรูเป็นผู้มีพลังจิต ดังนั้นกับดักที่ชัดเจนเกินไปจะต้องถูกจับได้แน่ แต่ถ้าหากวางกับดักไว้ในที่ลับเกินไป กลับไม่ได้เป็นเรื่องง่ายขนาดนั้น…”
“ถ้าอย่างนั้น วิธีที่ดีที่สุด ก็คือต้องค่อยๆ ทำไปตามลำดับ! ทำให้อีกฝ่ายเริ่มสังเกตอะไรไม่ได้…ใช่แล้ว! กลิ่นอายนั่น! ที่ซอมบี้ตัวนั้นทำแบบนั้น ไม่ใช่แค่ต้องการท้าทายฉัน แต่ยังต้องการปกปิดบางอย่างด้วย! ใช่แล้ว เป็นอย่างนั้นจริงๆ! ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้วล่ะ…เมื่อกี้ตอนอยู่หน้าประตู มีอะไรที่ถูกฉันมองข้ามไปกันแน่?”
หลิงม่อนึกย้อนอย่างละเอียด อาศัยการฉายซ้ำภาพความทรงจำ เขาสามารถนึกย้อนถึงภาพที่เห็นเมื่อกี้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง…แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่ หลิงม่อก็หาจุดน่าสงสัยที่ตัวเองมองข้ามไปเลยแม้แต่น้อย ความจริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้เขามีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ได้ เป็นเพราะว่าเขาบ่มเพราะความเคยชินที่มักสังเกตทุกอย่างอย่างถี่ถ้วนอยู่เสมอ และเรื่องนี้เขาติดเป็นนิสัยทำโดยจิตใต้สำนึก โดยแทบไม่จำเป็นต้องเตือนสติตัวเอง…
ทว่าการเป็นมนุษย์ล้วนมีจุดอ่อน ต้องมีอะไรบางอย่างถูกเขาสัมผัส แต่เขาไม่ทันสังเกตอยู่แน่ๆ ในเมื่อจุดน่าสงสัยในที่มืดไม่สามารถมองเห็น ถ้าอย่างนั้นกับดักที่อีกฝ่ายวางไว้ จะต้องอยู่ในจุดบอดที่เขาคาดไม่ถึงและมองไม่เห็นอย่างแน่นอน…
“ถ้าอย่างนั้นมาลองเปลี่ยนมุมมองความคิดดู…ที่นี่มีอะไรอยู่บ้าง? ผนัง…อากาศขุ่นมัว…ของเหลว…ไข่แมงมุม…ใยแมงมุม…ใช่แล้ว ใยแมงมุม!” แรงต้านทานเมื่อกี้ก็มาจากใยแมงมุม! ทว่าไม่นาน หลิงม่อก็ส่ายหน้าอีก “ไม่หรอก ไม่ใช่ใยแมงมุม…ฉันดูแล้ว…เดี๋ยวก่อน ฉันดูแล้วจริงๆ แต่ก็แค่ดูเท่านั้น…เป็นเรื่องปกติที่จะมีใยแมงมุมอยู่ที่นี่ ดังนั้นคนทั่วไปมักมองดูสองสามครั้ง แต่จะไม่คิดสงสัยไปมากกว่านั้น ฉะนั้นสิ่งสุดท้ายที่อาจมีปัญหามากที่สุด ก็คือใยแมงมุม!”
อาจดูเป็นการคิดที่ซับซ้อน แต่นี่แหละคือจุดบอดคูณสองที่กล่าวถึง! เจ้าซอมบี้ตัวนั้น เก่งเรื่องแบบนี้กว่าที่คิดไว้มาก!
หลิงม่อรีบหมุนกายย้อนกลับไปทันที ร่างกายไหววูบเพียงครั้งเดียวก็ไปปรากฏตัวอยู่ตรงกลางระหว่างใยแมงมุมเหล่านั้น และหลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด เขาก็พบปัญหาที่นี่ตามคาด…ตัวใยแมงมุมไม่ได้มีอะไรน่าสงสัย ทว่าตรงกลางใยแมงมุมเหล่านี้ กลับมีดวงแสงแห่งจิตอยู่มากมาย…
ดวงแสงเหล่านี้เป็นจุดเล็กมาก แม้ว่าหลิงม่อจะรวบรวมสมาธิ ก็ยังยากจะมองเห็นพวกมันที่อยู่ท่ามกลางใยแมงมุมเหล่านั้น นอกเสียจากว่าเขาจะหลับตาตั้งแต่แรก และตัดการรบกวนจากข้อมูลจากโลกภายนอก แต่สำหรับคนธรรมดาเรื่องแบบนี้แทบเป็นไปไม่ได้ อันดับแรก ถ้าหากว่าหลิงม่อหลับตา เขาก็ไม่อาจเดินผ่านใยแมงมุมไปได้…อันดับต่อมา ทั้งที่เห็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้แล้ว ยังจะหลับตาลงแล้วก็เดินผ่านไปอีกหรอ? นี่มันการทรมานทางจิตใจชัดๆ! แค่คิดถึงแมงมุมที่อาจหล่นลงมาทุกเมื่อ หรือไม่ก็ถูกใยแมงมุมเกาะเต็มหน้า ก็ทำให้รู้สึกแตกตื่นอยู่ไม่สุข กระทั่งอาจสติแตกไปเลยก็ได้…
“ฉันเข้าใจแล้ว กับดักของพวกมันสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับพวกเรา แต่น่าเสียดาย เกรงว่ามันคงไม่มีทางคาดคิด ว่าผู้ที่เข้ามาไม่ใช่ซอมบี้ แล้วก็ไม่ใช่คน ไม่ใช่แม้แต่กายสังขารที่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ…แต่ต้องขอชมจริงๆ ซอมบี้ตัวนี้เจ้าเล่ห์มากจริงๆ…”
เริ่มแรกดวงแสงพวกนี้ปรากฏให้เห็นน้อยมาก อีกทั้งไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรให้กับพลังจิตของหลิงม่อ แต่เมื่อผ่านไป ดวงแสงก็เริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กว่าผู้ที่เดินเข้ามาจะตระหนักได้ถึงสิ่งผิดปกติ เกรงว่าคงจะไม่ทันแล้ว…
หลิงม่อมองหาดวงแสงเหล่านั้นบนร่างดวงจิตของตัวเอง…พอพวกมันเกาะติดร่างดวงจิต พวกมันก็อำพรางตัวทันที ทำให้ยากที่จะสังเกตเห็น ดีที่หลิงม่อ “มอง” โลกผ่านพลังจิตอยู่แล้ว ฉะนั้นแม้ว่าดวงแสงเหล่านี้จะไม่ก่อเกิดสัมผัสใดๆ แต่กลับถูกมองเห็นได้ด้วย “ตาเปล่า” โดยตรง…
เขาปัดดวงแสงเหล่านี้ออกมาทั้งหมด แต่กลับไม่รีบเร่งทำลายทันที…
“ซอมบี้ตัวนั้นคิดจะใช้แผนต้มกบสินะ*…เกรงว่าพอดวงแสงเหล่านี้สะสมจนมีจำนวนมากพอ มันก็จะสามารถกำราบคนคนหนึ่งได้โดยไม่ต้องลงแรงซักนิดแล้ว นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าระเบิดเวลา…ถ้าหากคนกลุ่มหนึ่งวู่วามเข้ามา ถึงแม้ไม่เจออันตรายอะไรตลอดทาง แต่สุดท้ายก็ต้องพลาดท่าล้มลงภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันระวังตัวอยู่ดี…พอถึงตอนนั้น มันก็จะจัดการทุกอย่างได้โดยไม่เสียอะไรเลย เจ้าเล่ห์มาก!” (ต้มกบ หมายถึงการต้มน้ำธรรมดาให้ค่อยๆ ร้อนขึ้น กว่าจะรู้ตัวกบก็กระโดดหนีไม่ทันแล้ว เพราะหากใส่กบลงไปในน้ำร้อนทันที กบจะกระโดดหนี ต้องใส่ลงไปในน้ำธรรมดาก่อน เพื่อไม่ให้กบแตกตื่น)
ต้องบอกว่า ถึงแม้ยังไม่เคยเจอหน้า แต่ซอมบี้ร่างแม่ตัวนี้ได้รับเกียรติให้ขึ้นแท่น “ซอมบี้เจ้าปัญหา” สามอันดับแรกของหลิงม่อไปเรียบร้อยแล้ว…เมื่อซอมบี้ตัวหนึ่งมีทั้งร่างกาย พลังจิตและสติปัญญาพร้อมกันทั้งหมด ซอมบี้ตัวนั้นก็จะรับมือยากตามคาดจริงๆ…
“ตอนนี้ฉันเข้าใจความรู้สึกของพวกมู่เฉินแล้ว…แต่ในเมื่อซอมบี้เล่นงานมนุษย์ล้มเหลว ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่มันต้องลิ้มลองความชั่วร้ายที่ตัวเองเป็นคนก่อแล้วล่ะ…
หลิงม่อจ้องมองดวงแวงเหล่านั้นแล้วแสยะยิ้มเย็นชา จากนั้นก็พลันแยกหนวดสัมผัสเส้นหนึ่งออกมา ควบคุมให้กลายรูปเป็นถุง…หรือสิ่งที่ดูคล้ายถุงใส่ของ แล้วก็นำดวงแสงเหล่านั้นใส่เข้าไป…
หลังจากนั้นเขาก็เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ พร้อมกับเก็บรวบรวมดวงแสงเหล่านั้นไปด้วย…ทุกสองก้าว เขาจะตัดการรับข้อมูลจากโลกภายนอก และใช้พลังจิตเพื่อสัมผัสรู้เพียงอย่างเดียว เมื่อทำอย่างนั้นเขาก็สามารถเก็บกวาดดวงแสงไปได้ทั้งหมด ผ่านไปไม่นาน ถุงใส่ของพลังจิตของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นถึงสองเท่า…และยิ่งเก็บรวบรวม หลิงม่อก็ยิ่งรู้สึกกริ่งเกรงซอมบี้ร่างแม่ตัวนี้มากขึ้นเรื่อยๆ สามารถแยกพลังจิตของตัวเองให้กลายเป็นดวงแสงที่เล็กขนาดนี้ได้ ซ้ำยังสามารถควบคุมให้พวกมันอำพรางตัวได้ทั้งหมด เพียงความสามารถในการจัดการอันน่าทึ่งนี้ ก็ทำให้คนตื่นตะลึงแล้ว
และสาเหตุที่ซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้นทำอย่างนี้ได้ เห็นชัดว่าเป็นเพราะความสามารถที่พิเศษของซอมบี้ และเกิดจากความจำอันยอดเยี่ยมด้วย…เทียบกับมนุษย์แล้ว ความสามารถในการจัดการข้อมูลของซอมบี้นั้นแข็งแกร่งกว่ามาก เพียงแต่ในด้านการคิด พวกมันยังห่างไกลจากมนุษย์อีกมาก ทว่าสำหรับซอมบี้ร่างแม่ตัวนี้ เห็นชัดว่ามันไม่มีจุดอ่อนประเภทนี้แล้ว…
ขณะเดียวกับที่คิดอย่างนี้ หลิงม่อได้ขึ้นไปถึงทางเดินบนชั้นสองอย่างระมัดระวัง และในตอนนั้นเอง เสียงกรีดร้องหนึ่งพลันดังมาจากอีกฝั่งของทางเดิน
“อื้ออ! ช่วยด้วย!”
เป็นเสียงกรีดร้องของผู้หญิง ฟังแล้วเหมือนเสียงที่พยายามร้องออกมาอย่างสุดความสามารถหลังถูกปิดปาก…
แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นหลิงม่อก็ยังฟังออกอย่างชัดเจน นั่นเป็นเสียงของกู่ซวงซวง…
“อยู่ที่นี่หรอ?”
หลิงม่อรีบหันไป ร่างกายพุ่งไปข้างหน้า วินาทีถัดมาก็ปรากฏตัวอยู่ในจุดที่ห่างออกมาสิบกว่าเมตร และเวลานี้ เสียงกรีดร้องนั้นก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แถมมันยังดังออกมาจากข้างหลังประตูบานนั้น…เขาจ้องมองประตูครู่หนึ่ง ใช้พลังสัมผัสรู้ดูก่อน จากนั้นจึงค่อยแทรกตัวเข้าไป…
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงม่อควบคุมหุ่นดวงจิตให้เดินทะลุกำแพง…แต่ที่น่าเสียดายคือ ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์สัมผัสประสบการณ์นั้นอย่างถี่ถ้วน…ทว่าเสี้ยววินาทีที่ทะลุกำแพงออกมา เขาก็ยังรู้สึกผ่อนคลายราวกับว่าร่างกายไร้รูปร่างนี้เพิ่งมุดผ่านรูเล็กๆ ออกมาอย่างไรอย่างนั้น…