แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1119 ร่างแยกที่ไม่ใช่ “ร่างแยก”
“ดี!” เย่ไคตอบรับด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
คนอื่นๆ ต่างมองหน้าหลิงม่ออย่างสงสัย…ในไม่กี่วินาทีเมื่อกี้ เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่…
ความจริงแล้ว หลิงม่อเองก็ไม่แน่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อกี้ เป็นความฝันจริงหรือไม่…แต่อย่างน้อยมีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ คือสถานการณ์ในตอนนี้ของซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้นไม่ค่อยดีแน่นอน…ไม่ใช่เพียงเพราะการสะกดจิตล้มเหลว แต่ยังเป็นเพราะการโจมตีที่เหนือความคาดหมายจากหลิงม่อในความฝัน ดังนั้นตอนนี้คือโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะบุกเข้าไป
“ต่อจากนี้ พวกเราจะแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมหนึ่งรับผิดชอบตามหาตำแหน่งของกู่ซวงซวงกับเจ้าลิงผอม และหาทางช่วยพวกเขาออกมา ทีมสองทำหน้าที่ดึงดูดความสนใจของศัตรู เพื่อสร้างโอกาสและเงื่อนไขให้ทีมช่วยชีวิต” หลิงม่อครุ่นคิด จากนั้นก็แบ่งหน้าที่ “จำไว้ให้ดี เรื่องที่สำคัญที่สุดคือระวังความปลอดภัยของตัวเองและพวกกู่ซวงซวง”
ถึงแม้ซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้นไม่สามารถกลืนกินได้โดยตรง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีอันตราย…ความจริง หลังจากที่ “วิธีสันติภาพ” อย่างการสะกดจิตล้มเหลว วิธีต่อไปที่ซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้นอาจเลือกใช้ต่างหากที่อันตรายจริงๆ…เป็นไปได้มากว่ามันอาจใช้วิธีการโหดร้ายต่างๆ นานาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย…และนั่นต่างหาก คือรูปแบบที่ซอมบี้คุ้นเคย
“วางใจเถอะ พวกฉันจะไม่เป็นภาระให้นาย” มู่เฉินตอบเสียงหนักแน่น
อวี่เหวินซวนกลับพูดเสริมขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน เรื่องนี้ฉันไม่รับปากนะ นอกจากว่าตอนแบ่งทีมนายจะพิจารณาความต่างด้านพลังอย่างรอบคอบ…มองอะไร? ฉันหมายถึงเหล่าแฟนสาวของนายนั่นแหละ! ถึงฉันจะเข้าใจที่พวกนายอยู่ด้วยกันและทำงานร่วมกันตลอด และไม่เคยคิดอิจฉาริษยาตาร้อนเลยซักนิด แต่ถ้ามองจากมุมกว้าง พวกเราสู้พวกเธอไม่ได้จริงๆ! พวกเธอหนึ่งคนสู้พวกเราได้ตั้งสามคน! ไม่สิ…สองคน!…อย่างน้อยก็…ให้ย่าหลิน…”
“เอาล่ะๆ ฉันเข้าใจแล้ว…” หลิงม่อพูดอย่างปวดหัว
“…มาอยู่ทีมของฉัน แบบนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นการแบ่งทีมที่สมบูรณ์แบบ…หื้ม? นายเห็นด้วยแล้วหรอ?!” อวี่เหวินซวนบ่นต่อสองสามประโยคแล้วจึงค่อยได้สติ
“ใช่ ฉันเห็นด้วยแล้ว ศัตรูในครั้งนี้ต่างจากศัตรูที่ผ่านมามาก ไม่มีใครรู้ว่าเราจะตกหลุมพรางของมันเมื่อไหร่ ดังนั้นฉันจะแบ่งสมาชิกทีมทั้งสองทีมให้มีพลังเฉลี่ยเท่าเทียมกันแน่นอน…”
หลายวินาทีต่อมา เมื่อเหล่าสมาชิกทีมเริ่มแยกย้ายไปอยู่กับทีมของตัวเองอย่างรู้หน้าที่ ทุกคนกลับพุ่งความสนใจไปที่หลิงม่อ หรือพูดให้ถูกคือพุ่งเป้าความสนใจไปที่เขากับเงาสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเขา…
“นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นมัน แต่ฉันคิดว่า ที่ผ่านมาทุกคนคงสัมผัสได้ถึงตัวตนของมันแล้ว…”
หลิงม่อเพิ่งจะอ้าปากพูด ทุกคนก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้ ใช่แล้ว…พวกเขาล้วนเคยสัมผัสได้…และนี่ก็เป็นแรงกดดันทางจิตอันมหาศาลเหมือนกับที่พวกเขาเคยสัมผัสได้ไม่ผิดเพี้ยน…ราวกับยืนอยู่เบื้องล่างก้อนหินยักษ์ที่สั่นคลอน ถึงแม้ในใจรู้ดีว่ามันต้องตกลงมาแน่นอน แต่กลับยังคงรู้สึกอ่อนแรงไปทั้งตัว
ความรู้สึกที่ร่างดวงจิตนี้นำพามาให้พวกเขา ย่ำแย่ถึงขนาดนี้เลยทีเดียว…
แต่ว่า…
“มันดูเท่ห์ผิดคาดเลยนะเนี่ย!”
“คิดไม่ถึงเลยนะว่านายจะมีด้านที่เท่ห์อย่างนี้อยู่ด้วย ไอ้น้องเขย!”
“เรื่องนี้…เหมือนจะเยี่ยมมากจริงๆ ด้วย…”
“แต่รู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป…แต่แบบนี้ก็ยิ่งน่าลุ้นกว่าเดิมอีก ไม่รู้ว่าพอมันสมบูรณ์แบบแล้วจะมีรูปร่างยังไง…”
ทุกคนพูดคุยกันอย่างออกรส จนกระทั่งเย่ไคได้สติกลับมาจากความตกตะลึง และร้องอย่างตื่นเต้นดีใจ “นี่มัน…เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของหัวหน้างั้นหรอ? นี่คือพลังจิตที่พูดถึงกันอย่างนั้นหรอ! หัวหน้า!…ผมตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย! ในที่สุดก็ได้เห็นร่างแยกของหัวหน้าแล้ว!”
“……”
ท่ามกลางความเงียบ หลิงม่อจ้องเย่ไคแล้วส่ายหน้า “ไม่ นายไม่เคยเห็น…ฉันจะถือว่าไม่ได้ยินอะไรแล้วกัน”
ตอนแรกเย่ไคยังงงงัน แต่พอเห็นปฏิกิริยาของทุกคน เขาก็ตะหนักได้…และพอหลิงม่อพูดอย่างนั้น เขาก็เลื่อนสายตาไปทางอื่น ขณะเดียวกันก็พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ “โอเค…”
“อื่ม…ถ้าอย่างนั้นฉันจะแนะนำมันให้ทุกคนรู้จักอีกครั้ง…มันชื่อเสี่ยวเฮย เป็นร่างแยกที่แยกตัวออกมาจากดวงแสงแห่งจิตของฉัน…”
“นี่กำลังล้อผมเล่นหรอ! หัวหน้าไม่ได้บอกว่ามันเป็นร่างแยกอย่างเดียว แต่ยังตั้งชื่อให้มันว่าเสี่ยวเฮยอีก! แล้วมันต่างจากที่ผมพูดเมื่อกี้ตรงไหน! เห็นชัดๆ ว่าผมไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้คนรู้สึกกระอักกระอ่วนเลยซักนิดไม่ใช่หรอ?” เย่ไคโวยวาย
หลิงม่อเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อ “มันมีความสามารถในการสื่อสารในระดับหนึ่ง แต่ที่น่าเสียดายคือ ฉันไม่สามารถควบคุมได้ว่ามันจะพูดหรือไม่พูดออะไร ดังนั้น…”
“พอเจอเรื่องที่ไม่อยากพูดต่อก็เมินกันอย่างนี้เลยหรอ…” เย่ไคพูดไม่ออก
“…ฉันจะให้มันคอยรายงานสิ่งที่อีกทีมค้นพบทั้งหมด รวมถึงส่งต่อคำสั่งให้กับทีมที่มันอยู่ แต่ถ้าหากไม่จำเป็น ทุกคนอย่าคุยกับมันจะดีที่สุด ตอนนี้มันอยู่ในสภาวะสูญเสียการควบคุม เกิดไปสร้างปมอะไรในใจให้ทุกคนเข้า ฉันไม่รับผิดชอบล่ะ ดังนั้น…” พูดจบ หลิงม่อก็กวาดตามองรอบๆ
“พวกเราเลือกเสี่ยวเฮย!” อวี่เหวินซวนพลันตะโกนเสียงดัง
หลิงม่อหน้าเปลี่ยนสี พูดเสียงเข้ม “ไม่ต้องรีบแสดงท่าทีรังเกียจฉันเร็วขนาดนั้นก็ได้นะ เทียบกับมันอย่างน้อยฉันก็มีร่างกายนะโว้ย!”
“หัวหน้า ยุคสมัยนี้ไม่มีร่างกายต่างหากที่เป็นเรื่องดี…” จางซินเฉิงพูดขึ้น
หลังจากถกเถียงกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดสมาชิกของทั้งสองทีมก็ถูกแบ่งเรียบร้อย
ทีมหนึ่งนำทีมโดยหลิงม่อ สมาชิกทีมมีซย่าน่ากับเย่เลี่ยน อีกทีมประกอบด้วยเสี่ยวเฮย หลี่ย่าหลินและคนที่เหลือ และภารกิจที่สำคัญที่สุดอย่างการดึงดูดความสนใจของศัตรู ก็เป็นหน้าที่ของทีมที่มีสมาชิกเยอะกว่า ส่วนพวกหลิงม่อก็จะหาโอกาสช่วยชีวิตตัวประกันออกมาอย่างรวดเร็ว…
“พวกนายคิดว่าพวกเรามีคนเยอะกว่า แล้วอัตราความสำเร็จจะสูงขึ้น หรือว่า หลิงม่อวางเดิมพันทั้งหมดไว้กับพวกเรา?” สวี่ซูหานยืนพิงกำแพง แล้วพุดขึ้นเสียงเบา
มู่เฉินที่ยืนอยู่ไม่ไกลมองหน้าเธออย่างไม่เข้าใจ จากนั้นก็พยักหน้าบอกว่า “คนทั่วไปก็ต้องคิดอย่างนี้อยู่แล้ว แน่นอนว่าฉันไม้ได้กลัวตาย ตรงกันข้าม ยิ่งคนเยอะ พวกเราก็ยิ่งถ่วงเวลาซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้นได้นาน ดังนั้นฉันไม่ได้มีความเห็นอะไรกับการจัดการของเขา แม้แต่อวี่เหวินซวนยังว่าอย่างนั้น คงเป็นเพราะว่าอยากทำภารกิจนี้ ศัตรูคือซอมบี้พลังจิต ดังนั้นในกลุ่มพวกเราคนที่สู้กับมันได้ ก็มีแต่หัวหน้าเท่านั้น เขาคือกุญแจสำคัญในการคว้าชัยชนะ…ฉันหมายถึง ที่ผ่านมาเขาก็เป็นกุญแจสำคัญ แต่ครั้งนี้เขาเป็นกุญแจสำคัญเพียงหนึ่งเดียว…”
“ขอเพียงเขาทำสำเร็จ พวกเราก็ถือว่าสำเร็จไปมากกว่าครึ่งแล้ว คิดแบบนี้ไม่ถูกตรงไหนล่ะ? ถ้าหากเธอเห็นด้วย คงไม่ตั้งคำถามอะไรแบบนี้อีก” มู่เฉินจ้องหน้าสวี่ซูหาน แล้วถามเสียงเบา “ว่ามาสิ ตกลงว่าเธอ…อยากพูดอะไรกันแน่?”
เมื่อต้องทำภารกิจด้วยกันเรื่อยๆ เวลานี้ท่าทีของมู่เฉินที่มีต่อสวี่ซูหานกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนอย่างไม่รู้ตัว แม้แต่ตอนนี้ที่เขากำลังพูดคุยกับสวี่ซูหานสองต่อสอง เขาก็ไม่ได้รู้สึกขวัญหนีดีฝ่อเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา…เรื่องนี้ อยู่ในความคาดเดาของหลิงม่อแต่แรกแล้วหรือเปล่านะ…
“เดี๋ยวก่อน…ฉันเข้าใจความหมายของเธอแล้ว…” หลังจากนึกถึงเรื่องทั้งหมดที่หลิงม่อทำก่อนหน้านี้ มู่เฉินพลันกระจ่างทันที “ประเด็นสำคัญ…อยู่ที่พวกเขา! อาจดูเหมือนพวกเราเป็นเหยื่อล่อ แต่แท้จริงพวกเขาต่างหากที่เป็นเหยื่อล่อ…เชี่ย ฉันว่าแล้วว่าหมอนี่เชื่อไม่ได้! เขาไม่คิดจะหงายไพ่ตามกฏจริงๆ! บ้าเอ๊ย ฉันปวดหัวจะแย่แล้วเนี่ย…”
“ชู่ว…หลิงม่อไม่ได้พูดออกมาตรงๆ พวกเราก็ทำเหมือนไม่รู้ไปเถอะ…” สวี่ซุหานรีบปรามมู่เฉิน จนกระทั่งมู่เฉินพยักหน้ารัวๆ สวี่ซูหานก็ยังไม่ยอมพูดออกไปว่าเธอเห็นหลิงม่อขยิบตาให้เธอ ซ้ำยังบอกใบ้ด้วยการแสดงสีหน้าท่าทางต่างๆ จนเธอเข้าใจความหมายของเขาในที่สุด รวมถึงเข้าใจประโยคที่เขาจงใจขยับปากโดยไม่ออกเสียงให้เธอเห็น…
“ระวัง…มีดวงตาคอยจับจ้องอยู่…”