แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1121 คอยดูไว้ให้ดี!
“ฮู่ว…เกือบไปแล้ว!” เสี่ยวเฮย…หรือก็คือหลิงม่อพึมพำออกมาอย่างโล่งอก เมื่อกี้ถ้าหากว่าเขาตอบสนองไม่เร็วพอ คงถูกเพื่อนร่วมทีมของตัวเองโจมตีแล้ว
“เหนือความคาดหมายจริงๆ ไม่คิดเลยว่าแกจะเล่นลูกไม้ฉลาดๆ อย่างนี้ด้วย แกคิดจริงๆ หรอว่า…ฉันไม่ได้ระวังแกน่ะ? ความจริงฉันกำลังรอให้แกโผล่หัวออกมาก่อน ถึงแม้แกจะไม่ได้ทำให้ฉันรอนานมาก แต่น่าเสียดายที่ฉันหาโอกาสซุ่มโจมตีแกก่อนไม่ได้…” หญิงสาวพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้เป็นคนตรงไปตรงมาเท่าไหร่เหมือนกันนี่…” หลิงม่อบอก “แต่มีสองเรื่องที่ฉันสงสัยมาก เรื่องแรก เห็นชัดว่าเธอไม่ใช่ผู้มีความสามรถพิเศษด้านพลังจิต ถ้าอย่างนั้นเธอมองเห็นฉันได้ยังไง? ข้อสอง…จากที่เธอพูด เธอแค่ถูกซอมบี้ตัวนั้นช่วยชีวิตไว้ และพลิกชีวิตจากอาหารกลายมาเป็นคนให้อาหารแทน…แล้วเธอที่เป็นแบบนี้ ควบคุมแมงมุมพวกนั้นได้ยังไง? ฉันว่า เธอยังมีเรื่องปิดบังอยู่อีกมากสินะ ทำไมล่ะ เป็นเรื่องลำบากใจที่จะบอกหรอ? ถ้าอย่างนั้น ฉันก็เข้าใจได้อยู่หรอก…แต่ถ้าหากคำถามพวกนี้ไม่ได้คำตอบ พวกฉันจะเชื่อได้ยังไงว่าเธอมีความสามารถพอที่จะรักษาสัญญาไว้ได้?”
“แกหุบปาก! เมื่อกี้แกว่าใครเป็นคนให้อาหาร?” หญิงสาวอ่อนไหวกับคำนี้เป็นพิเศษ เธอเถียงด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน “ฉันก็แค่ทำไปเพื่ออยู่รอด แค่นั้นเอง! อย่างน้อย…ตอนที่ฉันดูแลพวกเขา พวกเขาก็ไม่เคยต้องถูกทรมาน นั่นคือทั้งหมดที่ฉันทำได้แล้ว! แกกำลังพูดอย่างกับว่าฉันขายพวกเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งพลัง! แต่เสียใจด้วยแกทายผิดแล้วล่ะ ฉันยังคงเป็นแค่คนธรรมดา แต่ในสมองของฉัน…ไม่สิ ใครจะสนว่าแกเชื่อหรือไม่เชื่อ!”
หลังจากตะคอกเสียงดัง เธอพลันสงบนิ่งลง ทว่าไม่นานก็คำรามอย่างเดือดดาลอีกครั้ง “ฉันว่าแกคงเข้าใจผิดแล้วล่ะ…ฟังให้ดี ถ้าหากว่าพวกแกไม่ทำตามที่ฉันบอก ก็รอดูผู้ชายคนนี้ถูกกินทั้งเป็นต่อหน้าต่อตาพวกแกได้เลย!”
“…ทำไมนายต้องทำให้เธอโมโหด้วย…” สวี่ซูหานถามเสียงเบาจากข้างหลัง
“เปลวไฟ” สองดวงในดวงตาของเสี่ยวเฮยพลันไหวกระเพื่อม เขาตอบว่า “หึๆ…เรื่องนี้น่ะหรอ ดูจากพฤติกรรมของเธอแล้วฉันเดาว่าเธออาจสติหลุดหากถูกกระตุ้นด้วยคำพูด และฉันก็แค่พิสูจน์การคาดเดานี้นิดหน่อยเท่านั้น แต่ก็ได้ข้อมูลสำคัญมากเรื่องหนึ่งมาอย่างเหนือความคาดหมาย…เธอเป็นเพียงคนธรรมดา พลังที่เธอมีไม่ใช่ของเธอ และคำตอบทั้งหมดก็ซ่อนอยู่ในสมองของเธอ…”
สวี่ซูหานอึ้งงันไปก่อน ไม่นานก็เผยสีหน้ากระจ่าง ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็พูดขึ้นอย่างสงสัยอีกว่า “แต่นายจะหาคำตอบนี้ได้ยังไงล่ะ? ตอนนี้เธอมีตัวประกันอยู่ในมือนะ…”
“แล้วเธอคิดว่าเมื่อกี้ฉันพยายามลอบโจมตีไปทำไมกันล่ะ?” หลิงม่อตอบเสียงเบา “ง่ายมาก เพื่อให้เธอตระหนักได้ว่าการที่ฉันอยู่ที่นี่ เป็นอันตรายต่อแผนการของเธอ กู่ซวงซวงสู้ฉันไม่ได้ และเป็นไปได้มากที่ฉันจะหาโอกาสกำราบเธอได้ในคราวเดียว และยังช่วยเจ้าลิงผอมได้ในเวลาอันรวดเร็วอีกด้วย…เมื่อเป็นอย่างนี้ เธอก็จำเป็นต้องเลือกใช้แผนใหม่อย่างเลี่ยงไม่ได้…”
“แผนอะไร? บังคับให้นายออกไปด้วยตัวเองหรอ?”
“ถ้าทำอย่างนั้นเธอไม่วางใจแน่ หลังจากที่ฉันหายไป รับประกันได้ยากว่าจะไปช่วยร่างจริงหรือไม่…เธอคิดว่าผู้หญิงแบบนั้น จะฝากความหวังไว้กับคนอื่นง่ายๆ งั้นหรอ? ยิ่งเธอเชื่อซอมบี้ตัวนั้นเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งไม่เชื่อใจคนอื่นเท่านั้น…”
“ฉันไม่รู้…ถ้าอย่างนั้น นายคิดว่าเธอจะทำยังไง…”
สวี่ซูหานยังอยากถามต่อ แต่ก็ได้ยินเสียงหญิงสาวพูดขึ้นมาก่อน “แก ออกมากับฉัน” คนที่เธอชี้ กลับเป็นเสี่ยวเฮย…
“เอาที่เธอสบายใจแล้วกัน” หลิงม่อตอบอย่างยียวน
“…ดูเหมือนว่าแกจะเชื่อใจพวกของแกมากนะ…” หญิงสาวหัวเราะเย็นชา “แต่ถ้าหากฉันเป็นแก ฉันจะห่วงชีวิตตัวเองมากกว่า ถึงแม้ว่านี่ไม่ใช่ร่างจริงของแก แต่ถ้าหากมันถูกทำลาย ร่างจริงของแกก็คงไม่ได้รู้สึกดีเท่าไหร่”
“โอ้…บังเอิญจริงๆ ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน” หลิงม่อพูดอย่างมีความนัยแฝง
หญิงสาวจ้องหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ข่มอารมณ์อยากย้อนถามเอาไว้ หลังจากแค่นหัวเราะเย็นชา หญิงสาวก็เดินฝ่ากลุ่มคนเพื่อออกไปนอกห้อง และถึงแม้ว่าทุกคนจะจ้องเธอด้วยสายตาเคียดแค้น แต่กลับไม่มีใครหยุดยั้งเธอ ผู้หญิงคนนี้อวดดีขนาดนี้ แสดงว่าต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ ในสานการณ์อย่างนี้ อย่าเสี่ยงอันตรายส่งเดชจะดีกว่า…”
“ขอเตือนพวกแกด้วยความหวังดีหน่อยแล้วกัน พวกแกยังเหลือเวลาอีกหนึ่งนาทีสามสิบวินาที ถ้าหากว่าพวกแกยังรอช้าต่อไปคงไม่ดีนัก ทำอะไรซักหน่อยเถอะ อย่างน้อยก็ดิ้นรนซักเล็กน้อย” หลังจากเดินไปถึงประตู หญิงสาวก็พูดเยาะเย้ยอีกครั้ง แล้วจึงค่อยเดินออกไป
ส่วนเสี่ยวเฮย เงาร่างเลือนรางโฉบกระเพื่อม และไม่นานก็หายตัวไปจากที่เดิม…
“ถุย!” เย่ไคถุยน้ำลายไปทางประตู แล้วจึงค่อยบ่นกระปอดกระแปด “หัวหน้านั่นแหละไม่น่าไปยั่วโมโหยัยนั้นเลย…”
“โมโหจนอกแตกตายไปเลยสิดี! ไม่อย่างนั้นเขาจะว่ากันว่าคนน่าสงสารย่อมมีเรื่องน่าเกลียดชังหรอ…” มู่เฉินบอก
จางซินเฉิงมองพวกเขาอย่างเอือมระอาครู่หนึ่ง แล้วถาม “ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี?”
พอเขาถามอย่างนี้ ทุกคนก็หันไปมองกู่ซวงซวง และผู้ถูกจ้องกลับกำลังจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่หวาดกลัวระคนเกลียดชัง สีหน้าเหมือนกำลังบอกว่าถ้าหากพวกแกกล้าเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว ฉันก็จะสู้ตาย ส่วนเจ้าลิงผอมที่ถูกห้อยอยู่ในห้อง เวลานี้กำลังสลบไสลไม่ได้สติ ทว่าแมงมุมตัวใหญ่พวกนั้นกลับอยู่ห่างจากตัวเขาไม่ถึงครึ่งเมตรแล้ว…คำนวณจากความเร็วของพวกมัน คาดว่าในเวลาประมาณหนึ่งนาทีพวกมันคงจะถึงตัวเจ้าลิงผอมแล้ว และหากเดาจากสิ่งที่หญิงสาวคนนั้นพูด พวกมันกลับใช้เวลาไม่ถึงสามสิบวินาทีในการกินคนคนหนึ่ง…
พอคิดถึงตรงนี้ ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุก…
ทว่าในตอนนี้เอง กลับมีใครคนหนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่ม…
หลี่ย่าหลินบีบนิ้วมืออย่างใจเย็น จากนั้นก็หันมายิ้มหวานให้ทุกคน “ไม่ต้องกลัว…ฉันไม่ได้มาอยู่ทีมนี้เพื่อให้ค่าเฉลี่ยพลังของสองกลุ่มเท่ากันหรอกนะ มนุษย์ผู้หญิงคนนั้น…ฉันหมายถึงผู้หญิงคนนั้น คิดว่าแค่จับตาดูพี่หลิงทุกอย่างก็ราบรื่นแล้ว น่าเสียดายที่เธอคิดผิด”
“…ทำไมอยู่ๆ เธอถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมาล่ะ…”
“ไม่รู้สิ…ฉันว่าเธอคงได้รับผลกระทบมาจากเมื่อกี้ตอนที่สองคนนั้นด่ากันล่ะมั้ง…”
น้อยครั้งที่จะได้ยินหลี่ย่าหลินพูดอย่างนี้กับพวกเขา ทุกคนจึงรู้สึกดีใจระคนประหลาดใจเล็กๆ…แต่พวกเขายังไม่ทันตั้งสติ ก็ได้ยินหลี่ย่าหลินตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “อะฮ่า! คอยดูไว้ให้ดี!”
“เดี๋ยว! นี่คงไม่ใช่แค่ได้รับผลกระทบแล้วมั้ง!”
“นี่มันเกิดจากการได้รับการสั่งสอนผิดๆ มาชัดๆ!”
ขณะที่ทุกคนตกตะลึง กลับไม่ทันสังเกตว่าอวี่เหวินซวนที่ยืนอยู่ในกลุ่มกำลังค่อยๆ ถอยหลังหนึ่งก้าว…
ทว่าเสียงตะโกนของหลี่ย่าหลินไม่เพียงทำให้ทุกคนตกตะลึง แต่ยังทำให้กู่ซวงซวงอึ้งงันไปครู่หนึ่งด้วย…ไม่รู้ว่าภาพที่เธอเห็นเป็นอย่างไร แต่ยังไงก็ตามในวินาทีถัดมา เด็กสาวคนนี้ก็กรีดร้องเสียงแหลม “อย่าเข้ามานะ!”