แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1128 กรุณาอย่าลืมแนบคู่มือการใช้งานมาพร้อมกับแฟนสาว
เมื่อมาถึงที่โกดังอาหาร หลิงม่อก็เก็บเจ้ามาสเตอร์บอลไว้ที่เดิม ไม่ว่าบทบาทที่แท้จริงของมันคืออะไร อย่างน้อยดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ครั้งนี้มันคงหลับไม่นาน ส่วนคำตอบ ถึงเวลาค่อยหาก็ยังไม่สายไป…
พอกระโดดลงจากหลังเสี่ยวป๋าย หลิงม่อก็ตบหัวมันเบาๆ ให้มันเฝ้าอยู่ข้างนอก ส่วนตัวเขาก็เดินเข้าไปในโกดัง
“ทุกคน ต้องขอโทษด้วยนะ…ที่ฉันให้พวกนายพักผ่อน เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น…แต่ว่า…จุดประสงค์อีกอย่าง ฉันกลับจำเป็นต้องปิดบังพวกนาย” หลิงม่อคิดในใจ
ความจริงแล้วเขายังไม่ได้บอกทุกเรื่องกับพวกมู่เฉิน อย่างเช่นเรื่องที่เขามาหาพวกเย่เลี่ยน แท้จริงแล้วไม่ใช่เพื่อมาดูพวกเธออย่างเดียว แต่เพื่อเรื่องที่สำคัญกว่านั้นมาก…
หลังจากผ่านการต่อสู้ครั้งนี้มา บรรยากาศในโกดังอาหารผ่อนคลายกว่าก่อนหน้านี้มาก แต่เทียบกับสถานที่ปกติทั่วไป ที่นี่ก็ยังคงวังเวงน่าขนลุกอยู่ดี เวลานี้ ทางเดินหลักที่ทอดสู่โกดังอาหารได้ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ใยแมงมุมเหล่านั้นที่บดบังการมอเห็นได้ถูกปัดกวาดไปไว้ด้านหนึ่ง พวกมันถูกวางกองทับกันเป็นชั้นๆ แลดูเหมือนแหทอดปลาสีขาวเทา
บนพื้นเต็มไปด้วยศพแมงมุม เดาว่าคงเป็นพวกเย่เลี่ยนที่จัดการพวกมันระหว่างทำความสะอาด เมื่อเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ว่าในโกดังจะยังมีแมงมุมซ่อนอยู่ แต่ก็มีจำนวนไม่มากแล้ว ที่เหลือพวกเขาเพียงต้องทิ้งสัญญาณเตือนไว้ให้พวกที่มาขนย้ายอาหารก็พอแล้ว
“ซย่าน่า พวกเธอเริ่มไปถึงไหนกันแล้ว?” หลิงม่อเดินไปตามทาง พลางถามขึ้นผ่านสายสัมพันธ์ทางจิต
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงของซย่าน่าก็ตอบกลับมาในสมองของเขา “พวกเราใกล้เสร็จกันแล้ว ก้อนเหนียวหนืดในสมองของซอมบี้พวกนั้น พวกเราควักออกมาหมดแล้ว อื่มม…ถึงแม้ว่าพวกมันเป็นผลงานสังเคราะห์ แต่ก้อนเหนียวหนืดของพวกมันก็ไม่ได้ต่างจากซอมบี้ทั่วไปมาก…”
หลังจากพูดคุยกันอีกสองสามประโยค เธอพลันเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจัง ถามว่า “พี่หลิง พี่แน่ใจหรอว่าจะทำเรื่องแบบนั้นในเวลานี้จริงๆ? ฉันกังวลนิดๆ น่ะ…”
“อื่ม ฉันมั่นใจ…เดี๋ยวก่อน ทำไมคำพูดนี้มันแปลกๆ ล่ะ…ช่างเถอะ เข้าเรื่องกันต่อเลย…” หลิงม่อพูดต่อ “ฉันคิดว่าพวกเธอเองก็คงสัมผัสได้แล้วเหมือนกัน…ซอมบี้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าเพวกนี้ แต่ละตัวล้วนกำลังขุดค้นหาศักยภาพในการวิวัฒนาการของตัวเอง และไม่ว่าพวกมันจะขุดค้นไปยังเส้นทางไหน หากพวกเราบังเอิญเจอพวกมันเข้า มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเราจะกลายเป็นเหยื่ออันดับต้นๆ ของพวกมัน…ครั้งนี้เป็นฉัน แต่ถ้าหากครั้งหน้าเป็นพวกเธอล่ะ…”
ซย่าน่าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงขานชื่อเขา “พี่หลิง…”
“ฉันไม่ได้คิดมาก พวกเธอทั้งสามคนเองต่างก็มีลักษณะพิเศษ เฮยซือกับอวี๋ซือหรานก็เหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ยังมี…” เดิมทีหลิงม่ออยากจะบอกว่ายังมีราชินีแมงมุมที่คอยจ้องจะเล่นงานเขาอีกตัว และเมื่อเทียบกับซอมบี้ร่างแม่ของที่นี่ ราชินีแมงมุมตัวนั้นรับมือยากกว่าอย่างเห็นได้ชัด…แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปาก เขาก็เลือกที่จะกลืนมันลงไป แล้วเปลี่ยนเป็นพูดว่า “สรุปว่า ทันทีที่อีกฝ่ายตัดสินว่าพวกเราอ่อนแอกว่ามัน พวกเราก็จะถูกโจมตีทันที ถึงแม้ว่าการใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้หมายถึงการต้องเผชิญหน้ากับอันตรายอยู่ตลอดเวลา แต่โดยส่วนตัวแล้ว ฉันก็ยังหวังว่าก่อนที่จะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายในครั้งต่อไป จะสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้บ้าง…”
“อื่มม…”
หลิงม่อเงียบครู่หนึ่ง แต่กลับไม่เห็นซย่าน่าพูดอะไรอีก จึงได้เพียงหัวเราะขมขื่น บอกว่า “เธอคิดว่า…สำหรับซอมบี้ที่หมกมุ่นกับการต่อสู้และเข่นฆ่าโดยสัญชาตญาณแล้ว คำพูดของฉันเหมือนพวกอนุรักษ์นิยมที่น่าเบื่อหรือเปล่า? แต่…ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ฉันก็ไม่อาจพูดเป็นอย่างอื่นได้ ฉัน…”
“ฉันรู้น่า” ซย่าน่าพูดแทรกเขา “พี่กลัวตายมาก เพราะพี่กลัวว่าถ้าพี่ตาย สายสัมพันธ์ทางจิตที่ขาดสะบั้นจะส่งผลกระทบอะไรต่อพวกฉันหรือเปล่า แล้วพี่ก็กลัวพวกฉันตาย เพราะถึงแม้พวกฉันจะไม่สนใจเรื่องนี้ แต่พี่ก็ยังสนใจมันอยู่ดี แถมยังสนใจมากๆ ด้วย…เรื่องพวกนี้ฉันรู้หมดนั่นล่ะ รุ่นพี่กับพี่เย่เลี่ยนเองก็คงไม่รู้ว่าควรแสดงออกอย่างไร แต่พวกเธอก็รู้เหมือนกัน พี่รู้ดี ว่าพวกฉันโกหกไม่เป็น”
หลิงม่อนิ่งเงียบไปชั่วขณะ…ถึงแม้ว่าในน้ำเสียงของซย่าน่าไม่ได้แฝงไว้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ทว่าผ่านไปครู่หนึ่ง มุมปากของหลิงม่อกลับหยักยิ้มบางๆ และในตอนนี้เอง กลับมีอีกเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา—
“เอ๋ สนใจอะไรหรอ?”
“เชี่ย!” หลิงม่อสะดุ้งตกใจ กระทั่งคลื่นพลังจิตเกิดแปรปรวนไปชั่วขณะ “เฮยซือ! ให้มันน้อยๆ หน่อยนะ! พฤติกรรมที่เข้าออกสมองคนอื่น แล้วก็แอบฟังคนอื่นคุยกันแบบนี้ จะหน้าไม่อายเกินไปแล้วนะ!”
“หน้าไม่อาย? มันคืออะไร? กินได้รึเปล่า?” เฮยซือถาม และก่อนที่หลิงม่อจะคลั่ง เธอก็หัวเราะคิกคัก แล้วบอกว่า “เอาน่าๆ อย่าเพิ่งรีบโกรธสิ ฉันก็แค่อยากถามว่า…ตอนที่พวกนายประชุมเรื่องน่าอายอย่างนี้กัน…”
“ไม่มีประชุมอะไรแบบนี้ทั้งนั้น”
“…ฉันมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า?”
“ไม่มี”
น้ำเสียงของเฮยซือพลันเปลี่ยนเป็นน้อยเนื้อต่ำใจ “เจ้านาย นายนี่ใจร้ายชะมัดเลย…”
“หื้ม? เฮยซือ…เป็นอะไรไปหรอ?”
“ใคร? ใครใจร้ายหรอ?”
ทันใดนั้น ก็มีอีกสองเสียงดังแทรกขึ้นมา หลิงม่อชะงักไปอีกครั้ง จากนั้นก็ถามอย่างเอือมระอา “แล้วเด็กโง่กับรุ่นพี่เข้ามาร่วมวงได้ยังไงอีกล่ะเนี่ย…”
“คิกๆ…” เฮยซือพูดอย่างได้ใจ “นายลืมไปแล้วหรอว่าฉันทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดพลังจิตได้ด้วย? แค่ให้พวกเธอเชื่อมต่อพร้อมกันแป๊บหนึ่ง เรื่องจิ๊บๆ อยู่แล้ว”
“งั้นหรอ? งั้นเชื่อมต่อกันได้นานเท่าไหร่?”
พอหลิงม่อถามอย่างนี้ เฮยซือก็หัวเราะแห้ง “ประมาณ…หนึ่งวิ…”
“แล้วนั่น…มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า!”
ขณะที่หลิงม่อตะคอก เขาได้ก้าวเท้าเข้าไปด้านในโกดังแล้ว และพอเขาเข้าไป ก็มองเห็นพวกเย่เลี่ยนที่ยืนเรียงกันเป็นแถว…รวมถึงเฮยซือและอวี๋ซือหราน…
“…เอาเถอะ ฉันยอมรับว่ามันยังมีประโยชน์อยู่บ้าง” หลังชะงักไปไม่ถึงหนึ่งวินาที หลิงม่อก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ แล้วพูดขึ้น
“หาสถานที่ที่เหมาะสมได้หรือยัง?” หลิงม่อถาม
หลี่ย่าหลินเดินไปปิดประตูโกดัง จากนั้นก็เปิดไฟฉายกระบอกหนึ่งเดินนำหน้าหลิงม่อ “อื่ม อยู่ข้างหน้านี้แหละ พวกเราหาห้องเล็กๆ เจอห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ถูกล้อมรอบด้วยห้องอื่นๆ ซึ่งมีแต่กระสอบข้าวสารเต็มห้อง สถานที่แบบนี้ เสียงต้องไม่เล็ดลอดออกไปแน่ เหมาะแก่การทำเรื่องอย่างนั้นอย่างนี้ที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้เป็นที่สุด…”
“ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้…แต่พอฟังพี่พูดอย่างนี้แล้วมันกลับสองแง่สองง่ามชอบกล…” หลิงม่อเดินตามอยู่ข้างหลัง แล้วบอก “สรุปว่า ฉันได้จัดเวลาที่ไม่แน่นอนไว้ช่วงหนึ่งแล้ว…เพราะฉันไม่รู้ว่าครั้งนี้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่…กระทั่งไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่…”
พอเขาพูดอย่างนี้ พวกเย่เลี่ยนก็อดหันไปสบตากันไม่ได้ ไม่นาน ซย่าน่าก็พูดขึ้นว่า “รับประกันไม่ได้ งั้นก็คงมีแต่พี่เย่เลี่ยนแล้วสินะ…ก้าวข้ามจากระดับราชาขึ้นไปอีกขั้น เดาว่าคงเป็นจุดวิกฤติที่ใหญ่พอสมควร ไม่รู้ว่าพี่หลิงสังเกตหรือเปล่า ซอมบี้ที่พวกเราเคยเจอ ล้วนแล้วแต่หยุดชะงักในก้าวนี้กันทั้งนั้น หรือไม่ก็เลือกที่จะกลายเป็นร่างแม่แทน แต่พี่เย่เลี่ยนไม่อาจกลายเป็นร่างแม่ได้ เธออาจเป็นซอมบี้เพียงหนึ่งเดียว…ที่วิวัฒนาการไปทีละขั้นๆ อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ…”
“ฉันรู้…” หลิงม่อพยักหน้า แล้วตอบ
“ส่วนฉันกับรุ่นพี่ พวกฉันไม่รู้ว่าหลังจากที่วิวัฒนาการไปอีกขั้น จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง…แต่อย่างน้อย พวกฉันจะพยายามทำให้สำเร็จ เฮยซือกับอวี๋ซือหรานค่อนข้างพิเศษ…แต่เขาว่าคนโง่มักจะตายยาก” ซย่าน่าบอก
“นี่ ประโยคแรกๆ ยังฟังดูซาบซึ้งกินใจอยู่เลย ทำไมพอพูดถึงพวกฉันแล้วถึงกลายเป็นถากถางไปได้ล่ะ!” เฮยซือคัดค้านเสียงเบา
หลิงม่อกลับมองไปที่เย่เลี่ยน แล้วถามเสียงเบา “เด็กโง่ เธอคิดว่ายังไง?”
“ฉัน…ฉันแล้วแต่พี่…” เย่เลี่ยนก้มมองปลายเท้าตัวเอง แล้วตอบเสียงแผ่ว
หลิงม่อกลับอดเหลือบมองที่กระเป๋าเสื้อเธอไม่ได้…ยัยเด็กโง่คนนี้นี่ ทำไมถึงอ่านยากนักนะ? ตามคาดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือซอมบี้ ผู้หญิงก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ!
“ตอนที่พวกเธอกลายมาเป็นแฟนสาว ทำไมถึงไม่มีคู่มือการใช้งานให้อ่านบ้างนะ…” หลิงม่อคิดอย่างปวดหัว…ทว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ เมื่อพวกเขาเดินไปใกล้ห้องเล็กๆ ห้องนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ หลิงม่อก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์ข้างกายเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที…
ดูเหมือนคงจะเป็นอย่างที่ซย่าน่าบอก ถึงแม้ตอนนี้พวกเธอจะแสดงออกและมีการตอบสนองที่ต่างกัน แต่…พวกเธอทุกคนรู้ ว่าหลิงม่อให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขนาดไหน…และด้วยเหตุนี้พวกเธอก็จะจริงจังกับมันมากขึ้น…นี่ก็คือวิธีการแสดงออกว่าตัวเองใส่ใจของซอมบี้…
“ถึงแม้จะเปลี่ยนแปลงความคิดจริงๆ ของพวกเธอไม่ได้ แต่อย่างน้อยแค่พวกเธอเชื่อว่าฉันพึ่งพาได้ แค่นี้ก็พอแล้ว…” หลิงม่อคิดในใจ ถึงแม้วิธีคิดอย่างนี้จะดูเหมือนเป็นการปลอบใจตัวเอง แต่หลิงม่อก็อดอมยิ้มบางๆ ไม่ได้…
ขณะเดียวกัน ในโกดังอาหารอีกแห่ง
ชายคนหนึ่งกำลังยืนสูบบุหรี่อย่างร้อนรนอยู่ข้างหน้าต่าง
เขาคือหัวหน้าทีมของทีมนี้ และเวลานี้เขาก็กำลังรู้สึกกระวนกระวาย
พวกเขาเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน ตามหลักแล้วยังไม่น่าจะมีอาการกระสับกระส่ายทนรอไม่ไหวขนาดนี้…และเรื่องที่ทำให้หัวหน้าทีมรู้สึกไม่สบายใจ ก็ไม่ใช่เรื่องนี้ ความจริงแล้ว สิ่งที่ทำให้เขากระวนกระวาย กระทั่งรู้สึกหวาดกลัว ก็คือสมาชิกทีมของเขา…
หลังจากที่ทำความสะอาดที่พัก สมาชิกทีมหลายคนก็เริ่มทยอย…มีอาการแปลกๆ ขึ้นมา เขาบอกไม่ถูกว่าแปลกตรงไหน ทว่าบนตัวของคนพวกนี้ เขากลับมองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยของใครคนหนึ่ง…
“ฮู่วว…” หัวหน้าทีมสูบบุหรี่เต็มปอด จากนั้นก็พ่นออกมาจนสุด “ฉันคิดมากไปเองล่ะมั้ง? ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะเอาแต่คิดเรื่องหลิงม่อ ก็เลยมีอาการเครียด ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่หมอนั่นจะมาถึงที่นี่ซักที…ใจหนึ่งก็อยากให้หมอนั่นรีบๆ มา จะได้สู้ให้จบๆ ไป แต่ลึกๆ อีกใจหนึ่งก็กลัว…การเป็นคนช่างสับสนและขัดแย้งจริงๆ…”
หัวหน้าทีมกำลังเยาะเย้ยตัวเอง แต่จู่ๆ เขาก็ก้มหน้ามองลงไปข้างล่างเหมือนสัมผัสได้ แล้วก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างล่างพอดี ผู้หญิงคนนั้นกำลังเงยหน้ามองเขา และบนใบหน้าไร้อารมณ์นั้น ราวกับมีกลิ่นอายที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเคลือบอยู่รางๆ…
“…” หัวหน้าทีมจ้องตาเธออยู่ครู่หนึ่ง พลันถอนหายใจยาวๆ โยนก้นบุหรี่ในมือทิ้งลงไป แล้วหมุนกายเดินจากหน้าต่างไป ขณะเดียวกับที่หมุนกาย เขาก็พึมพำกับตัวเองอีกครั้ง “ทำตัวแปลกๆ…ตอนนี้ฉันกลับหวังด้วยใจจริงว่าหลิงม่อจะรีบๆ มาซักที”