แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1138 วิธีอำพรางสายตา
สี่ชั่วโมงต่อมา แสงแดดแรงกล้าสาดส่องบนผืนป่ากว้าง
ทุกคนเร่งเดินทางอย่างระมัดระวัง พร้อมกับอดบ่นขึ้นมาไม่ได้
“ทำไมอากาศร้อนเป็นบ้าอย่างนี้วะเนี่ย!” เย่ไคสบถ
“นั่นสิ จะละลายอยู่แล้ว…”
“ตามหลักตอนนี้ก็ไม่มีมลภาวะอะไรแล้ว ฉันนึกว่าอย่างน้อยสภาพอากาศจะดีขึ้นหน่อย แต่ดูเอาเถอะ…ทำเอาฉันรู้สึกเหมือนคำวิจารณ์และความขุ่นเคืองที่ฉันเคยมีในสมัยก่อนช่างไร้ความหมาย สู้ให้มนุษย์ตายท่ามกลางไอเสียรถยนต์เสียดีกว่า! ไม่แน่อาจถูกรถ ‘BMW’ พ่นไอเสียใส่จนตาย แบบนั้นอย่างน้อยก่อนตายก็ได้สัมผัสใกล้ชิดกับรถหรูซักครั้ง” สวี่ซูหานไม่ได้รู้สึกเหนื่อยกับพวกเขา แต่ก็อดพึมพำขึ้นมาไม่ได้
“นี่ๆ อย่าเพิ่งตัดสินเรื่องดีๆ ที่เคยทำในอดีตอย่างนั้นสิ! จะบอกให้ว่าในฐานะผู้ประกาศข่าวที่รู้จักแต่การขุดคุ้ยข่าวซุบซิบ เรื่องพวกนั้นที่เธอทำ ถือว่าเป็นเกียรติที่สุดในชีวิตแล้ว ถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิตเลยก็ยังว่าได้ ทิ้งมันไปง่ายๆ แบบนี้จะดีหรอ?” มู่เฉินกระดกมุมปาก แล้วพูดอย่างจริงจัง
สวี่ซูหานกลับตอบกลับคำเดียวสั้นๆ “หุบปาก!”
มู่เฉินยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ พลางหันไปถาม “หัวหน้า นายล่ะ คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับสภาพอากาศอย่างนี้? ถ้าหากว่าฉันจำไม่ผิด ตอนนี้ยังไม่ถึงหน้าร้อนไม่ใช่หรอ?”
หลิงม่อกำลังดูแผนที่แผ่นนั้น ได้ยินก็หรี่ตาแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็พูดเสียงเรียบ “อดทนอีกหน่อยเถอะ ดูจากแผนที่พวกเราใกล้จะถึงกันแล้ว ส่วนเรื่องอากาศ…”
สภาพอากาศผิดเพี้ยนไปตั้งนานแล้ว…
อย่างขอบเขตของสี่ฤดูกาลในปัจจุบันก็ได้เลือนรางไม่ชัดเจนไปนานแล้วเหมือนกัน…
ระบบนิเวศเปลี่ยนไป สภาพอากาศย่อมหนีไม่พ้น…
ทว่าโชคดีที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศไม่ได้เลวร้ายมากนัก ศัตรูตัวฉกาจต่อความอยู่รอดของมนุษย์ ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น…
“แค่มันไม่ทำให้พวกเราตายก็พอ” หลิงม่อจบบทสนทนาด้วยความจริงเพียงประโยคเดียว
ทุกคนได้ฟังดังนั้น ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล…
จริงของเขา ทุกวันนี้ แค่ไม่ตายก็พอแล้ว…
ท่ามกลางป่ารกร้าง หมีแพนด้ากลายพันธุ์กำลังวิ่งแหวกพุ่มไม้ใบหญ้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่พวกหลิงม่อจะมาถึง มันต้องสำรวจบริเวณรอบๆ โกดังอาหารหนึ่งรอบก่อน
และนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลิงม่อสั่งการมาเป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ที่อำเภอหลีหมิง พวกเขาต้องเผชิญกับความลำบากเพราะมีข้อมูลในมือน้อยเกินไป
ครั้งนี้ในขณะที่ทีมยังไปไม่ถึง เขาสั่งให้มันมาสำรวจก่อน เพื่อเพิ่มอัตราความปลอดภัยให้สูงขึ้น
และเห็นได้ชัดว่าหน้าที่นี้เหมาะกับผู้ที่มีประสาทสัมผัสและความสามารถในการอำพรางตัวเป็นเลิศอย่างเสี่ยวป๋ายเป็นที่สุด
“ถ้าหากมีซอมบี้อยู่ ก็ให้เสี่ยวป๋ายฆ่าพวกมันก่อน!” หลิงม่อคิดเอาไว้อย่างนี้…
ไม่นาน กำแพงรั้วแนวหนึ่งก็ปรากฏท่ามกลางครรลองสายตาของเสี่ยวป๋ายรางๆ
“แบ๊!”
เสี่ยวป๋ายร้องออกมาอย่างตื่นเต้น มันรีบก้าวขาสั้นๆ ของมันเพื่อเร่งความเร็วพุ่งตัวไปยังกำแพงรั้วแนวนั้น
ทว่าในตอนนี้เอง…
สวบสาบๆๆ…พุ่มหญ้าด้านหลังเสี่ยวป๋ายพลันขยับไหว ทันใดนั้น เงาร่างของใครคนหนึ่งพลันปรากฏตัวท่ามกลางกอหญ้ารกชัฏ
เขาจ้องมองเสี่ยวป๋ายครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขยับปากพูดอย่างยากลำบากว่า “มีแค่ตัวเดียว…ให้ฆ่าเลยไหม?”
ขณะที่พูด เขายังแลบลิ้นออกมาเลียปากเบาๆ อย่างอดใจไม่ไหวอีกด้วย…
เงาร่างนั้นพุ่งตัวออกไปอย่างเงียบเชียบ และไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
เขาเงื้อแขนขึ้น เล็บมือสะท้อนแสงวูบวาบภายใต้แสงอาทิตย์…
ในขณะที่เสี่ยวป๋ายยังคงวิ่งทะยานไปข้างหน้า ราวกับไม่รับรู้ถึงอันตรายที่อยู่ข้างหลัง
เงาร่างนั้นจ้องมองเสี่ยวป๋ายอย่างไม่ละสายตา…ราวกับมองเห็นเลือดมากมายพุ่งกระฉูดออกมาแล้ว
“ระดับวิวัฒนาการ…ไม่ต่ำเลย…รสชาติของเลือด…น่าจะยอดเยี่ยมมาก…”
ทว่าผ่านไปครู่หนึ่ง แววตาบ้าคลั่งของเงาร่างนั้นพลันจางหายไป เขาส่ายหน้าช้าๆ พลางลดแขนลง “ไม่ จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้…”
เมื่อเขาอำพรางตัวเข้าไปในพุ่มหญ้า ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง…
และตอนนี้เอง ในที่สุดเสี่ยวป๋ายก็หันกลับมามองราวกับสัมผัสได้
พุ่มหญ้ากองนั้นยังคงกระเพื่อมไหวเบาๆ ในขณะที่เสี่ยวป๋ายเผยแววตาระแวดระวัง ทันใดนั้นซอมบี้ตัวหนึ่งก็กระโจนออกมาจากข้างใน
“แบ๊!”
เสี่ยวป๋ายพลันแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นทันที มันเงื้อกรงเล็บขึ้น และพุ่งตัวเข้าไปอย่างไม่รีรอ…
“หื้ม? ทางสะดวก?”
หลังจากที่หลิงม่อซึ่งยังอยู่ระหว่างทางได้รับรายงานจากเสี่ยวป๋าย เขากลับขมวดคิ้ว
“มีอะไรหรอ?” ซย่าน่าสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว จึงเดินเข้ามาถามทันที
หลิงม่อโบกมือ “เปล่า ทุกอย่างปกติดี”
ฆ่าซอมบี้ไปสิบกว่าตัว และไม่พบปัญหาอื่นใด สถานการณ์อย่างนี้เรียกได้ว่าปกติจริงๆ
นอกจากนี้ เสี่ยวป๋ายยังเจอรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทางด้วย
ดูเหมือนว่าคนกลุ่มที่แล้วที่มาที่นี่คงถูกซอมบี้โจมตี เป็นไปได้ว่าอาจตายกันหมดแล้ว หรืออาจเป็นไปได้ว่ามีคนกลายเป็นซอมบี้…
แต่ไม่ว่าอย่างไร มีซอมบี้มากมายขนาดนั้นซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ คนกลุ่มนั้นคงไม่มีทางรอดไปถึงโกดังอาหารแน่นอน
เพราะว่า ประตูโกดังถูกเปิดทิ้งไว้…
หลิงม่อไม่ได้จงใจพูดเสียงเบา ดังนั้นมู่เฉินได้ยินเข้าจึงรีบถามทันที “ปกติหรอ? ทำไมล่ะ ปกติแล้วไม่ดีหรอ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…อาจเป็นเพราะปกติเกินไปล่ะมั้ง…อื่ม อย่างน้อยพลังสำรวจทางจิตของฉันก็บอกอย่างนั้น” พูดจบ หลิงม่อก็เสริมอีกหนึ่งประโยค
พอเห็นมู่เฉินทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ หลิงม่อก็อดหัวเราะขมขื่นในใจไม่ได้
“มนุษย์นี่น่าแปลกจัง…” หลี่ย่าหลินพูดต่อ
“จริงด้วย ไม่ปกติก็หาว่าอันตราย พอปกติก็ไม่ชินอีก” เฮยซือเองก็แสดงความเห็นด้วย
“หัวหน้า รังแมงมุมแบบนั้นไม่ใช่ว่าจะมีทุกที่เสียหน่อย อย่าคิดมากเลย” เย่ไคตบไหล่หลิงม่อ พลางพูดปลอบ
อวี่เหวินซวนกลับถอนหายใจ จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “เป็นหัวหน้าก็ลำบากอย่างนี้แหละ…”
พอเห็นทุกคนพากันหันมามองตัวเอง อวี่เหวินซวนจึงค่อยพูดเสริมว่า “ฉันหมายถึง เพราะหลิงม่อเป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคน ก็เลยต้องคิดอย่างรอบคอบไงล่ะ”
“ก็จริง…” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
พวกซย่าน่าเองก็เข้าใจสิ่งที่เขาพูด สายตาที่มองหลิงม่อจึงเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย
ส่วนหลิงม่อเพียงส่งยิ้มให้พวกเธอเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองเย่เลี่ยนที่เดินรั้งท้ายสุดครู่หนึ่ง
ตอนนี้เธอกำลังเดินไปข้างหน้าเงียบๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าท่าทางหรือกลิ่นอายที่แผ่ออกมา ล้วนไม่ต่างจากเด็กสาวที่ชอบเหม่อคนเดิมมากนัก…
เรื่องนี้ บางทีแม้แต่เหล่าสมาชิกทีมปาฏิหาริย์ก็อาจสังเกตเห็นแล้ว…เพียงแต่พวกเขาขอบ่นเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศ ดีกว่ายกเรื่องที่ดูก็รู้ว่าอ่อนไหวแค่ไหนขึ้นมาพูด
เกิดไปทำผัวเมียเขาทะเลาะกันจะทำยังไงล่ะ?
ทว่าโชคดีที่ตลอดทางมานี้ เย่เลี่ยนเพียงเดินตามมาอย่างเงียบๆ เท่านั้น…
“แต่ที่แย่คือ…ถึงฉันจะคุยกับเธอ เธอก็ไม่ค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนองเสียส่วนมากน่ะสิ…” หลิงม่อลอบถอนใจ
ความรู้สึกอย่างนี้ เหมือนย้อนกลับไปในช่วงแรกๆ ที่เพิ่งควบคุมเธอได้เลย
ไร้การสื่อสาร แม้ใช้สายสัมพันธ์ทางจิตก็ยังไร้การตอบสนอง…
สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือ เย่เลี่ยนยังคงอยู่กับเขาเหมือนเดิม…
—————————————————————————–