แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1142 ดึงวิญญาณโจรในตัวออกมาซะ!
ฮู่ว…
แสงอาทิตย์แรงกล้ายังคงแผดเผา สายลมพัดผ่านผืนป่ากว้าง นำพากลิ่นคาวอ่อนๆ ลอยโชยเข้าไปในประตูบานใหญ่อันว่างเปล่า
ประตูเหล็กสองบานนั้นถูกสนิมกัดกินจนเกรอะกรัง แผ่นเหล็กลอกออกมาจนเผยให้เห็นผิวสีแดงเข้มเป็นจุดหลายจุด มองจากที่ไกลๆ จุดสีแดงเหล่านั้นเหมือนรอยเลือดจำนวนมาก เมื่อใดที่สายลมพัดผ่าน ประตูเหล็กก็จะแกว่งไหวเบาๆ เกิดเป็นเสียง “เอี๊ยดอ๊าด” เสียดแทงแก้วหู
ในระหว่างที่เสียงเสียดแทงแก้วหูนั้นยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ ทันใดนั้น เงาร่างของใครคนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นที่ข้างประตูใหญ่ การเคลื่อนไหวของเธอเงียบงันไร้เสียง ไม่เพียงเท่านั้น หากมองดูการเคลื่อนไหวของเธอดีๆ ก็จะรู้สึกราวกับกำลังมองเงาเส้นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
“หลิงม่อ ฉันเข้าประจำที่แล้ว” เสียงรายงานของหลี่ย่าหลินดังขึ้นในสมอง
ในป่ารกร้างที่อยู่ไม่ไกล หลิงม่อพยักหน้าทันที เขากระพริบตาหนึ่งที สายตาพลันสับเปลี่ยนไปยังหลี่ย่าหลินทันใด ไม่นาน ภาพต้นหญ้ารกชัฏมากมายที่เคยบดบังสายตา ก็กลายเป็นภาพอื่นที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อมองลอดประตูใหญ่เข้าไป หลี่ย่าหลินสามารถมองเห็นอะไรได้หลายอย่าง ทั้งลานกว้างอันโล่งเปล่า รวมถึงอาคารสองหลังนั้นที่อยู่ด้านหลังประตูใหญ่ แล้วยังสามารถมองเห็นอีกมุมหนึ่งของโกดังด้วย
บนลานกว้างมีรถขนสินค้าจอดอยู่หลายคัน และยังมีรถเบนซ์อีกจำนวนหนึ่ง แต่สิ่งเดียวที่ไม่ต่างกันเลยก็คือ รถราเหล่านี้ล้วนผุพังหมดสภาพไปนานแล้ว คราบฝุ่นเกาะบนตัวรถชั้นแล้วชั้นเล่า กระทั่งปกปิดสีเดิมของพวกมันจนมิด
“โอเค ตรงนี้ไม่มีซอมบี้…” หลิงม่อทอดมองลึกเข้าไปข้างในอีก…ความจริงแล้วเป็นหลี่ย่าหลินที่กำลังชะเง้อมองเข้าไป แต่ถึงอย่างไรระหว่างทั้งสองก็มีสายสัมพันธ์ทางจิตเชื่อมอยู่ ถึงแม้อาจไม่ถึงขั้นควบคุมการมองเห็นได้ราวกับเป็นร่างกายตัวเอง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังรู้ใจกันในระดับหนึ่ง
เมื่อมองดูอาคารสองหลังนั้นจากระยะใกล้ นอกจากความรู้สึกวังเวงแล้ว ก็ไม่ค้นพบสิ่งอื่นใด แต่ขณะทอดมองช่องบันไดอันมืดมิดสองช่องนั้น หลิงม่อกลับอดรู้สึกขนลุกขึ้นมาไม่ได้ เหมือนที่เขาบอกก่อนหน้านี้ ยิ่งภายนอกดูเงียบเท่าไหร่ ที่นี่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกอันตรายมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาค้นพบแอ่งน้ำใต้ท้องรถนั่นแล้ว…
“เสี่ยวป๋ายเฝ้าระวังอยู่ที่ประตูหลังแล้ว ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไร งั้นพวกเราก็เข้าไปกันเถอะ” หลิงม่อรีบสงบจิตใจอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ละสายตาออกมาแล้วบอก
เวลานี้ ในสัมผัสรู้ของเขา พวกเฮยซือได้ไปถึงด้านหลังอาคารออฟฟิศหลังนั้นแล้ว และกำลังเตรียมตัวจะกระโดดข้ามกำแพงเข้าไป
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องหาทางแฝงตัวเข้าไปหรอ?” สวี่ซูหานชะโงกหน้ามาถามจากข้างหลัง
ซย่าน่าเอียงคอมองหน้าเธอแวบหนึ่ง แล้วส่ายหน้าอธิบายว่า “ไม่ต้องหรอก พวกเราเข้าไปทางประตูใหญ่นี่แหละ อีกอย่าง ต้องแสดงท่าทางเหมือนกำลังระวังตัวอย่างมากด้วย”
“เพื่ออะไรกัน?” สวี่ซูหานไม่เข้าใจ
“ข้อแรกเพื่อดึงดูดสายตาของคนหรือซอมบี้ที่อยู่ข้างใน ให้พวกเฮยซือแฝงตัวเข้าไปอย่างราบรื่น ข้อสองเพื่อปกปิดจุดประสงค์ในข้อแรก และเพื่อให้มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะพุ่งเป้าความสนใจมาที่พวกเราเต็มที่” หลิงม่ออธิบายต่อ
สวี่ซูหานครุ่นคิด พลางขมวดคิ้วบอกว่า “ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ถ้าหากเป็นซอมบี้ พวกมันแค่อาศัยการดมก็ได้กลิ่นทีมเฮยซือแล้ว แล้วถ้าหากเป็นผู้รอดชีวิต ขอเพียงในกลุ่มมีผู้มีพลังจิตหรือไม่ก็คนอย่างเจ้าลิงผอมอยู่ด้วย ทีมเฮยซือก็ต้องถูกจับได้อยู่ดี”
“เธอเข้าใจถูกแล้ว เพราะข้อสาม พวกเราทำไปเพื่อจะพิสูจน์การคาดเดาพวกนี้” ซย่าน่าดีดนิ้วเบาๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้พวกเราเคลื่อนไหวภายใต้พื้นฐานความคิดที่ว่า ‘ข้างในมีอะไรอยู่’ แต่พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ส่วนอีกฝ่ายอยู่ในที่ลับ ข้อมูลที่พวกเรามีนั้นน้อยเกินไป ฉะนั้น พี่หลิงก็เลยคิดวิธีนี้ขึ้นมา อาจดูเหมือนง่าย แต่กลับมีประสิทธิภาพมาก”
สวี่ซูหานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่นานก็ทำหน้าราวกับกระจ่าง…เป็นอย่างนั้นจริงๆ!
หลิงม่อทอดมองไปข้างหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น แล้วบอกว่า “เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
ซย่าน่ารีบจูงมือเย่เลี่ยนพุ่งตัวออกไป ส่วนเย่เลี่ยนที่ถูกเธอดึง กลับเหมือนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
หลิงม่อกำลังเตรียมจะตามไปติดๆ แต่กลับถูกสวี่ซูหานดึงแขนเสื้อไว้ก่อน หญิงสาวทำหน้าราวกับเพิ่งได้สติ เธอจ้องแผ่นหลังซย่าน่าแล้วถามอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “ฉันมองผิดไปเอง หรือว่าเมื่อกี้เธอทำหน้าเคร่งเครียดจริงๆ? ฉันหมายถึงสีหน้าที่จริงจังอย่างแท้จริงต่างจากที่ผ่านมา”
“เรื่องนี้น่ะ…เมื่อกี้เธอจริงจังจริงๆ” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วค่อยตอบเธอ เขาพอจะเข้าใจปฏิกิริยาอย่างนี้ของสวี่ซูหาน เพราะความจริงแล้วบางครั้งเขาก็เคยรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน…นับตั้งแต่ที่เธอก้าวข้าม
สวี่ซูหานยังคงเบิกตากว้าง เธออ้าปากทำท่าเหมือนจะพูดอยู่หลายครั้ง สุดท้ายจึงบอกว่า “เมื่อกี้เธอ…เหมือนมนุษย์มาก”
“อื่ม…ใช่” หลิงม่อเองก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมาเล็กน้อย ทว่าไม่นานเขาก็รีบปรับสีหน้าเป็นปกติ พลางพูดเสริมด้วยเสียงราบเรียบว่า “แต่ว่ามันเกิดขึ้นแค่บางครั้งเท่านั้น ไม่ต้องตกใจไปหรอก”
“หา? อ้อ…” สวี่ซูหานได้ยินอย่างนั้น ก็ใจเย็นลงมากตามคาด แต่พอคิดอีกที เธอก็ตกใจขึ้นมาอีกครั้ง “แต่ว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงได้…จะว่าไปแล้วพวกเธอวิวัฒนาการหมดแล้วใช่ไหม? บอกตามตรงฉันสัมผัสเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างนี้ไม่ได้เลย…อ้าว นี่นายจะเดินหนีไปเฉยๆ อย่างนี้เลยหรอ!”
…………
“เตรียมพร้อมหรือยัง?”
ด้านหลังกำแพงรั้วฝั่งหนึ่ง เฮยซือกำลังยืนเท้าเอว เงยหน้าพูดกับชายฉกรรจ์ห้าคน
“……”
ท่ามกลางความเงียบ เฮยซือกระดกคิ้วขึ้น “ช่วยมีปฏิกิริยาโต้ตอบหน่อยสิ!”
“ครับ!”
“พร้อมทุกเมื่อแล้วครับ!”
เฮยซือพยักหน้าอย่างพึงพอใจทันที จากนั้นเธอก็ยกมือกวักไปยังที่ไกลๆ
เมื่อทุกคนเลื่อนสายตามองตาม พุ่มหญ้ากองหนึ่งพลันสั่นกระเพื่อม ไม่นานก็มีเด็กสาววัย 11 – 12 ขวบมุดออกมาจากในนั้น เธอก้มหน้าเล็กน้อยและกวาดมองทุกคนอย่างระแวดระวัง จากนั้นท่ามกลางสายตาราวกับพูดไม่ออกของทุกคน เธอพลันวิ่งพุ่งเข้ามา อ้อมผ่านพวกเขาและมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเฮยซือ
แต่เห็นชัดว่าขนาดตัวอันเล็กกระจิดริดของเฮยซือไม่อาจบดบังเธอได้ แต่เธอก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างแน่วแน่ จากนั้นก็ใช้สายตาสับสนกวาดมองพวกเขาอย่างพิจารณา
“เหงื่อแตกสิเรา…” ทุกคนลอบคิดในใจ
ตั้งแต่ที่เฮยซือเลิกควบคุมอวี๋ซือหราน ความเป็นซอมบี้ของเธอก็ค่อยๆ กลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง เวลาปกติหากมีหลิงม่ออยู่ เธอก็จะพุ่งความสนใจไปที่ตัวหลิงม่อ หรือเวลาอยู่กับพวกซย่าน่า เธอก็สามารถใจเย็นได้ไม่น้อย แต่เวลานี้อยู่ๆ ถูกรายล้อมด้วยสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์แทน เธอจึงเริ่มทำตัวไม่ถูก …
และอาการทำตัวไม่ถูกที่สะสมมาเป็นเวลาสามนาที จึงกลายมาเป็นผลลัพธ์อย่างในตอนนี้…
“ช่างเธอเถอะ ที่เป็นอย่างนี้ก็แสดงว่าจิตสำนึกของฉันยังส่งผลกระทบต่อเธออยู่ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่เลี่ยงคนพวกนี้ แต่คงพยายามโจมตีพวกเขาไปแล้ว” เฮยซือครุ่นคิด สุดท้ายก็ตัดสินใจมองข้ามเหตุการณ์น่าอึดอัดแปลกๆ นี้ไป แล้วหันไปพูดกับอวี่ซือหรานว่า “เธอไปก่อน จากนั้นพวกฉันจะตามไป จำไว้ ทุกคนต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ เข้าไว้ ห้ามถูกใครจับได้เด็ดขาด เข้าใจหรือยัง?”
“เข้าใจแล้ว…” มู่เฉินหน้างอ “ก็หมายความว่าอยากให้พวกเราดึงวิญญาณโจรในตัวออกมาไม่ใช่หรอไง?”
“ใช่แล้ว! ไม่เสียชื่อที่เป็นโค้ช เข้าใจอะไรเร็วจริงๆ” เฮยซือชม
พอเห็นทุกคนส่งสายตาแปลกๆ มาให้ตัวเอง มุมปากมู่เฉินพลันกระตุกยิกๆ…
“ช่างเถอะน่า อย่าถือสาคำพูดเด็กเลย…อย่าถือสาคำพูดเด็ก…” มู่เฉินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พลางพยายามปลอบตัวเองในใจ