แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1148 เลียนแบบไอคิวของมนุษย์
จุดประสงค์ที่อวี๋ซือหรานเข้ามาสำรวจล่วงหน้า ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทุกคนในทีมตกหลุมพรางไปพร้อมกัน แต่จากที่ดูตอนนี้ กลยุทธ์นี้กลับถูกศัตรูใช้เล่นงานพวกเขากลับ ไม่ใช่ว่าอวี๋ซือหรานไม่เจอกับดัก แต่เธอกลับไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังอยู่ในกับดักต่างหาก ความจริงหลังจากที่เธอเข้ามาในออฟฟิศหลังนี้ เธอก็ได้หายตัวไปจากการมองเห็นของทุกคนแล้ว…ถ้าหากมีใครกำลังมองดูเธออยู่ล่ะก็นะ แต่ที่น่าเสียดายก็คือ กำแพงรั้วปิดกั้นการมองเห็นของพวกเขา และเฮยซือก็เชื่อในสายสัมพันธ์ร่างร่วมของพวกเธอมากเกินไป
ทว่าก่อนจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างนี้ ร่างร่วมถือเป็นวิธีการติดต่อที่สมบูรณ์แบบจริงๆ กระทั่งมั่นคงยิ่งกว่าสายสัมพันธ์ทางจิตของหลิงม่อเสียอีก อย่างเช่นตอนนี้ สัมผัสรู้ระหว่างเฮยซือกับอวี๋ซือหรานยังคงอยู่ แต่พอเธอลองพยายามส่งสัญญาณไปหาหลิงม่อ กลับพบว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าแต่ไหนแต่ไรร่างร่วมถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก และยังเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะสามารถแยกร่าง และหลอมรวมกับสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างเฮยซือได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้อวี๋ซือหรานไม่ได้ถูกเฮยซือควบคุม แต่สมองของเธอกลับมีอีกครึ่งหนึ่งของเฮยซืออยู่ด้วย และเรื่องนี้ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ทีมของเฮยซือตกหลุมพรางตามไปติดๆ
ขณะเดียวกับที่อวี๋ซือหรานถูกบดบัง เฮยซือก็ถูกกับดักนี้หลอกเข้าเสียแล้ว…
ที่ต่างกันคือ ทีมเฮยซือในเวลาต่อมามีทั้งหมดหกคน ภายใต้สถานการณ์ที่คนรอบตัวพลันหายตัวไป คิดว่าทุกคนคงตระหนักถึงสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญในตอนนี้อย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาก็คือ…
“แล้วต้องทำลายมันยังไงล่ะ?” เฮยซือทอดถอนใจด้วยท่าทีเหมือนผู้ใหญ่ พลางคิด
“ยัยโง่ ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?” เธอเปล่งเสียงถามในสมอง
เสียงของอวี๋ซือหรานดังตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “หา? ฉันกำลังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่เนี่ย…”
“โอ้…รู้จักคำนี้กับเขาแล้วหรอ? แต่วางใจเถอะ มีฉันอยู่ทั้งคน…ช่างเถอะ ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน เธอพูดต่อเถอะ” เฮยซืออดพูดค่อนแคะไม่ได้ ช่วยไม่ได้ เธอทำจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว…
ดีที่อวี๋ซือหรานเองก็ชินแล้วเหมือนกัน…เธอพูดต่อเหมือนไม่ได้ยินที่เฮยซือพูดแขวะเธอ “ฉันสัมผัสรู้ได้ถึงเธอ แล้วก็มั่นใจว่าเธออยู่ข้างหน้าฉันในรัศมีห้าเมตรแน่นอน แต่น่าแปลกที่ฉันมองไม่เห็นเธอเลย…แล้วคนอื่นๆ อีกล่ะ? มนุษย์พวกนั้นไม่ได้เข้ามาพร้อมเธอหรอ?”
“อื่ม…ดูเหมือนฉันจะเดาไม่ผิดตามคาด หลุมพรางนี้สร้างขึ้นเพื่อเล่นงานทุกคนจริงๆ ซึ่งก็หมายความว่าตอนนี้นอกจากฉันกับเธอที่ยังสัมผัสรู้ได้ถึงกันและกัน คนอื่นๆ ต่างถูกแยกออกจากันทั้งหมด” เฮยซือพูดอย่างครุ่นคิด
พอได้ยินว่าพวกมู่เฉินก็อยู่ที่นี่ด้วย อวี๋ซือหรานหายใจถี่ระรัว ขณะเดียวกันเฮยซือสัมผัสได้ว่าเธอผงะถอยหลังไปหลายก้าว
“นี่ ฉันยังพอเข้าใจได้ถ้าเธอจะหายใจหนักหน่วงเวลาอยู่ต่อหน้าหลิงม่อ เพราะยังไงเป้าหมายของเธอก็คือแปรงขัดด้ามนั้น…หรือไม้เซลฟี่แบบหดได้ยืดได้แท่งนั้น…เธอจะเรียกว่าอะไรก็ช่างเธอ…”
“ไส้…กรอก…” อวี๋ซือหรานตอบพร้อมกับหายใจถี่ระรัว
“นั่นแหละ ฉันหมายถึงอันนั้นแหละ แต่สำหรับมนุษย์พวกนี้…ทำไมเธอถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงขนาดนี้ล่ะ? ตาคนอัปลักษณ์นั่นฉันจะพูดถึงแล้วกัน…แต่เนื้อของเจ้าเฟิ่งจื่อถ้ากินเข้าไปแล้วจะทำให้เป็นประสาทได้เลยนะ แล้วก็ไอ้หมาโสด…เอ๊ย คนโสดนั่นอีก! เผลอด่าตัวเองอีกแล้ว พวกมนุษย์น่าชัง ทำไมถึงต้องคิดคำด่าแบบนี้ขึ้นมาด้วย…เอาเป็นว่า เธอคิดว่ามือซ้ายหรือมือขวาของเขายังกินได้อยู่อีกหรอ? ด้วยประสบการณ์การใช้งานกว่าสามสิบปีนั่นน่ะนะ! ถ้าเธอยังเป็นอย่างนี้ซักวันต้องมีปัญหาแน่ๆ” เฮยซือนึกหวนนึกถึงบทสนทนาของพวกมู่เฉินก่อนหน้านี้ บางทีมนุษย์พวกนี้อาจมองพวกเธอเป็นพวกเดียวกันไปแล้วก็ได้ แต่ในฐานะสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ความคิดของเฮยซือก็ถือว่าสมกับสายพันธุ์ของเธอ
“มนุษย์พวกนี้…ถ้าเธอไปทำให้พวกเขาระแวงเข้า ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้นนะที่จะเดือดร้อน”
“เฮอะ…เธอเป็นห่วงเจ้านายของเธองั้นสิ?” อวี๋ซือหรานเริ่มหายใจเป็นปกติ แต่น้ำเสียงกลับเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“เหลวไหล!” เฮยซือพูดเสียงเด็ดขาด “ฉันต้องเป็นห่วงตัวเองอยู่แล้ว เกิดเธอตายไป ฉันก็ได้รับผลกระทบไปด้วยน่ะสิ!”
“อ่า…” อาศัยสติปัญญาของอวี๋ซือหราน ถึงแม้เธอจะรู้สึกว่าคำตอบของเฮยซือแปลกๆ แต่มันก็ฟังดูมีเหตุผลเหมือนกันนะ! ทว่าไม่นานเธอก็พุ่งเป้าความสนใจไปที่อีกรายละเอียดหนึ่งทันที “แต่ว่า…ได้รับผลกระทบงั้นหรอ? พวกเราเป็นร่างร่วมไม่ใช่หรอ แต่ทำไมเธอ…”
“เอาเถอะ อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลย ฉันเองก็ฉวยโอกาสพูดเรื่องพวกนี้กับเธอตอนที่เจ้านายไม่ได้ยินเหมือนกัน” เฮยซือกลับตัดบท
“ไม่ได้ยิน?” นี่มันน่าจะเป็นเรื่องร้ายไม่ใช่หรอ?” ความสนใจของอวี๋ซือหรานถูกเบี่ยงเบนไปอีกครั้ง
“แน่นอนสิ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว พวกเราก็ควรฉวยโอกาสใช้เวลาไปทำเรื่องอื่นกันหน่อยสิ อย่างที่เขาบอกว่าใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดไง แต่ว่ายัยโง่ เธอมีเรื่องอะไรปิดบังฉันอยู่ใช่ไหม? ถึงเธอจะตั้งใจควบคุมความคิดของตัวเองอยู่ แต่จากพฤติกรรมที่ผิดปกติของเธอฉันก็ยังสังเกตเห็นอยู่ดี เธอมีตรงไหนเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรอ?…” เฮยซือพลันเปลี่ยนน้ำเสียง ถามขึ้น
“เธอ…” อวี๋ซือหรานตกใจ ทว่าผ่านไปครู่หนึ่ง เธอกลับตอบด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน…ดังนั้น เราจัดการปัญหาที่อยู่ตรงหน้ากันก่อนดีกว่า ถ้าหากตามนุษย์ไส้กรอกรู้เข้าว่าเธอใช้เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานมาเติมเต็มความอยากรู้ของตัวเอง เขาคงโกรธมาก มนุษย์คนอื่นฉันไม่รู้หรอกนะ แต่เวลาเขาโกรธมันน่ารำคาญมาก อย่างเช่นเอะอะก็ปิดประตู…แล้วปล่อยซย่าน่าเข้ามาอะไรทำนองนั้น…”
พูดถึงตรงนี้ ภาพเงาร่างของซย่าน่าก็ผุดขึ้นมาในสมองของเธอโดยอัตโนมัติ…เด็กสาวที่ดูเหมือนใสซื่อบริสุทธิ์คนนั้น เธอสะบัดผม กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ และหรี่ดวงตาที่แลดูอ่อนโยนพร้อมกับทอประกายแสงสีแดงจางๆ จากนั้นก็ค่อยๆ เดินมาทางตัวเอง…
“กรี๊ดด! ถ้าเกิดว่าฉันติดร่างแหไปด้วยจะทำยังไงเล่า!” อวี๋ซือหรานปิดตาพลันหวีดร้อง
“โอ๊ะ! เธอเองก็ฉวยโอกาสพูดสิ่งที่ไม่กล้าพูดในเวลาปกติเหมือนกันนี่!” พูดจบ เฮยซือก็ถอนหายใจ “ก็ได้ๆ ในเมื่อเธอไม่ยอมบอก ฉันก็จะไม่บังคับแล้วกัน และการที่เธอสามารถปิดกั้นการรับรู้จากฉัน ก็แสดงว่าเรื่องนี้จะต้องสำคัญสำหรับเธอมาก รอให้สะสางเรื่องที่นี่เสร็จก่อน…ถ้าเธออยากบอกฉันเมื่อไหร่ก็ค่อยมาบอกแล้วกัน”
อวี๋ซือหรานพลันเงียบไป…
“เมื่อกี้เธอ…ตั้งใจจะเลียนแบบคำพูดคาดโทษของมนุษย์สินะ?”
“จิ๊ ฟังออกด้วยหรอ? แต่ว่า…นี่เธอก็กำลังเลียนแบบไอคิวของมนุษย์อยู่หรอ? อย่างน้อยก็ต้องอยู่ระดับมัธยมต้นของพวกมนุษย์ถึงจะรู้จักคำว่า ‘คำพูดคาดโทษ’ นะ…”
“…ฉันเป็นนักเรียนมอต้นอยู่แล้วนะ! ถึงฉันจะตัวเตี้ยมากแต่ฉันขึ้นมอต้นแล้วจริงๆ นะ!” อวี๋ซือหรานคัดค้านสุดเสียง
“ชู่ว…” เฮยซือกลับตัดบทเธอ แล้วพูดเสียงเบา “เธอได้ยินเสียงอะไรไหม?”
—————————————————————————–