แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1149 หรือนี่ก็คือความสุขที่ว่า
ผู้ถูกถามชะงักงัน “ไม่ได้ยินนี่…”
“นี่แหละคือปัญหา” น้ำเสียงของเฮยซือพลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง “พวกเรายืนอยู่ตรงนี้มาหนึ่งนาทีแล้ว…ถ้าหากอีกฝ่ายคิดจะใช้หลุมพรางกำจัดพวกเรา ป่านนี้คงลงมือไปนานแล้ว”
“ที่แท้เธอก็ไม่ได้กำลังหลอกถามฉันอย่างเดียวสินะ…” อวี๋ซือหรานพลันกระต่าง ดูท่าเธอคงประเมินยัยหมาตัวนี้ต่ำไป หากวัดกันเรื่องสติปัญญาและความละเอียดรอบคอบใน “กลุ่มสัตว์ประหลาด” ถือว่าเธอเป็นรองเพียงซย่าน่าเท่านั้น บางทีอาจเป็นเพราะเธอทำงานในวงการตำรวจมาแต่แรกแล้วก็ได้…
“บางที…ศัตรูอาจกำลังโจมตีคนอื่นอยู่ก็ได้?” ซอมบี้โลลิพูดขึ้นอย่างไม่ยอมน้อยหน้า ร้ายดีอย่างไรเมื่อก่อนเธอก็เคยเป็นถึงมนุษย์เชียวนะ! จะเทียบกับยัยหมาตัวนี้ได้ยังไงกัน…นอกจากนี้ ความจริงเธอก็รู้สึกร้อนใจลึกๆ เช่นกัน ถึงแม้เธอจะรู้สึกต่อต้านพวกมนุษย์มาก แต่ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับค่ายปาฏิหาริย์ เกรงว่ามันคงเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่เกินรับไหวสำหรับหลิงม่อ
เธอยังจำปฏิกิริยาของทุกคนหลังจากที่จางเส่อตายได้…สำหรับซอมบี้ การตายของจางเส่อไม่ต่างจากเนื้อก้อนหนึ่งหายไปต่อหน้า แต่สำหรับมนุษย์ มันกลับมีความหมายมากกว่านั้น…
“มนุษย์ช่างซับซ้อน…” อวี๋ซือหรานกำนิ้วมือแน่น พลางคิดในใจ
“เป็นไปไม่ได้ ฉันใช้ขนของฉันปกคลุมไว้โดยรอบแล้ว และตอนที่หลุมพรางปรากฏ ฉันก็เตือนทุกคนว่าห้ามขยับไปไหนแล้วด้วย” เฮยซือกลับพูดขึ้น กายใต้สถานการณ์ที่มองไม่เห็นและไม่อาจสัมผัสรู้ได้ถึงพวกเดียวกัน การเคลื่อนไหวส่งเดชถือเป็นเรื่องอันตรายมากจริงๆ ถ้าหากถูกโจมตีเข้าก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เฮยซือมองจุดนี้ออกตั้งแต่แรกแล้ว จึงพูดได้ว่า นี่เป็นจุดที่อันตรายที่สุดของกับดัก
“งั้นหรอ…แต่ว่า เธอรับประกันได้หรอว่าพวกเขาจะเชื่อฟังเธอ? ถ้าหากว่ามีพวกเขาบางคนไปจากที่นี่ก่อนที่เธอจะใช้เส้นไหมสีเงินล่ะ?” อวี๋ซือหรานพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
ในสมองของเธอ เสียงของเฮยซือเงียบหายไปครู่หนึ่ง ไม่นานก็ตอบว่า “อื่ม ที่เธอพูดก็ถูก ฉันรับประกันไม่ได้ แต่ว่า ฉันขอเชื่อในตัวพวกเขาแล้วกัน”
“เธอ…เชื่อพวกเขา?” อวี๋ซือหรานงงงัน ยัยหมาตัวนี้…เมื่อกี้เธอยังบอกฉันให้ระวังพวกเขา อย่าหาเรื่องใส่ตัวอยู่เลยนะ!
“อย่าเข้าใจผิด ฉันแค่เชื่อใจพวกเขาเวลาทำภารกิจเท่านั้น เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์พวกนี้เป็นผู้รอดชีวิตที่มีประสบการณ์ คนเดียวที่ไม่มีประสบการณ์ก็เป็นแค่ไอ้ขี้ขลาดตาขาว เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงไม่คาดฝันขึ้นกะทันหันอย่างนี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือหยุดอยู่กับที่ ฉันคิดว่าพวกเขาคงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ส่วนเจ้าคนขี้ขลาดนั่น เขาต้องตกใจจนไม่กล้าขยับไปไหนแน่นอน” เฮยซือบอก
“ฉันว่า…ถ้าเขาได้ยินเข้าคงต้องร้องไห้แน่ๆ เลย…” อวี๋ซือหรานบอก
“ขนาดเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยังคิดว่าเขาจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง เรื่องนี้ต่างหากที่จะทำให้เขาร้องไห้จริงๆ…” เฮยซือพูดอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็พูดต่อว่า “โอกาสซุ่มโจมตีที่ดีขนาดนี้ กลับไม่มีใครถูกจู่โจม…เธอคิดว่ามันเป็นเพราะอะไร?”
“เอ่อ…”
“เอาเถอะ ฉันคงกดดันเธอมากไป ลืมไปว่าเธอไอคิวแค่เด็กห้าขวบ”
“นี่! เธออย่าดูถูกคนอื่นนะ! ฉันใกล้อายุสิบสองแล้วนะ! แต่ว่า…แล้วเธอคิดว่าไง?” อวี๋ซือหรานถาม
“ง่ายมาก อีกฝ่ายเพียงต้องการรั้งพวกเราไว้ชั่วคราว เป้าหมายของอีกฝ่ายคือคนอื่น เธอยังจำที่หลิงม่อเดาไว้ได้ไหม? ถ้าหากที่นี่มีคนอยู่ ก็จะต้องเป็นคนของนิพพานแน่นอน พวกเขากำลังคิดจะล้อมฆ่าหลิงม่อ” เฮยซือบอก
“หา…” อวี๋ซือหรานตะลึง ไม่นานก็ถามขึ้นอย่างสงสัย “ทำไมเธอถึงแน่ใจนักล่ะว่าเป็นมนุษย์? ตาไส้กรอกนั่นก็เคยบอกว่าอาจเป็นซอมบี้ระดับสูงด้วยไม่ใช่หรอ? เพราะว่าซอมบี้ที่อยู่รอบๆ ไม่ได้ถูกฆ่าจนหมดน่ะ”
“เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาที่ฉันยังไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่อย่างไรฉันก็มั่นใจว่าที่นี่จะต้องมีกับดักที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์อยู่แน่ๆ เพราะว่า…ถ้าหากเป็นฝีมือซอมบี้ เธอที่เป็นยัยโง่ระดับสูงขนาดนี้ยืนอยู่ที่นี่ตั้งนานทำไมพวกเขาถึงไม่ลงมือล่ะ?” เฮยซือย้อนถาม
“นี่!” อวี๋ซือหรานคัดค้านเสียงแข็ง แต่พอคิดดูดีๆ…กลับหาเหตุผลมาเถียงไม่ได้
“งั้น…ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดีล่ะ?” อวี๋ซือหรานได้แต่ถามเสียงขุ่นๆ “จะยอมถูกขังไว้ที่นี่ไปตลอดก็คงไม่ได้หรือเปล่า? ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจ…แต่ก็พอรู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องทุ่มเรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อกำจัดตาไส้กรอกแน่นอน ฉันจะไม่ยอมให้คนอื่นมาแย่งเขาไปทำเป็นฮ็อตด็อกหรอกนะ!”
“โอ๊ะโอ เดี๋ยวนี้เธอรู้จักใช้ศัพท์พ้องความหมายมาเถียงฉันแล้วหรอ” เฮยซือครุ่นคิด ไม่นานก็บอกว่า “เอาเถอะ พวกเราเองก็ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสซะทีเดียว สายสัมพันธ์ของฉันกับเธอเป็นช่องโหว่ของแผนการที่อีกฝ่ายไม่มีทางรู้ ครั้งนี้ถึงแม้พวกเราจะเสียเปรียบเรื่องข้อมูล ในขณะที่อีกฝ่ายเตรียมการมาอย่างดี แต่ที่โชคดีก็คือพวกเขาเองก็มีเรื่องที่ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้พวกเราคงคาดหวังกับมนุษย์พวกนี้ไม่ได้แล้ว มีแค่เธอกับฉันเท่านั้นที่จะปรึกษากันได้”
“ต้องทำยังไงบ้างล่ะ?” อวี๋ซือหรานถาม
เฮยซือตอบทันที “ขึ้นไปชั้นสอง มีเพียงต้องขึ้นไปบนนั้น พวกเราถึงจะสามารถเคลื่อนไหวอย่างอิสระได้ ฉันจะคอยสัมผัสรู้ถึงตำแหน่งของเธอตลอดเวลา ไปเถอะ”
อวี๋ซือหรานกระจ่างทันที…ถูกของเฮยซือ ตามทฤษฎีแล้ว เธอสามารถขึ้นไปคนเดียวได้ เพราะก่อนที่ทุกคนจะ “หายตัว” ไป มีเพียงเธอที่ยืนอยู่ใกล้บันไดที่สุด แต่เรื่องแบบนี้ ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจคาดเดาไว้แล้วก็ได้ ฉะนั้น การที่เธอเคลื่อนไหวเพียงลำพังก็อาจมีอันตรายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ทว่าพอมีเฮยซือเข้ามา สถานการณ์ทุกอย่างก็กลับกันทันที…เพราะอีกฝ่ายอาจไม่มีทางคาดฝัน ว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ สองคนที่ดูไม่เกี่ยวข้องกันเลย แท้จริงแล้วกลับมีวิธีติดต่อกันโดยไม่ได้รับผลกระทบจากกับดักของพวกเขาแม้แต่น้อย…
“ตาไส้กรอกเป็นของฉัน” อวี๋ซือหรานพึมพำ จากนั้นก็หมุนตัวมองขึ้นไปบนบันได้อันมืดมิด
รอบข้างเธอ ไร้ซึ่งเงาคน
“ไม่ว่าพวกแกจะเป็นมนุษย์หรือซอมบี้…ก็ลองดูสิ! กล้าแย่งอาหารฉัน ไม่ว่าหน้าไหนก็ต้องตาย!”
อวี๋ซือหรานเลิกขอบกระโปรง และยกเท้าที่สวมรองเท้าหนังสีแดงขึ้น จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดอย่างเด็ดเดี่ยว…
ขณะเดียวกัน ณ มุมหนึ่งของโกดังอาหาร เวินเสี่ยวอวี่ที่กำลังหมุนกายหันมาพลันพูดขึ้นว่า “หื้ม? ไม่คิดเลยว่าในกลุ่มของเขาจะมีเจ้าตัวเล็กไอคิวต่ำอย่างนี้อยู่ด้วย…”
“จัดการเลยไหม?” หลิวหยางที่อยู่ข้างหลังถามขึ้น
“จัดการเลยก็ดี” เวินเสี่ยวอวี่บอก
“ส่งไปสองคนแล้วกัน”
“ส่วนพวกที่อยู่กับหลิงม่อ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
“แล้วก็ยังมีตัวหลิงม่อเองอีก…”
“ความจริงเขาถูกจับได้ตั้งนานแล้ว”
“สิ่งที่พวกเราต้องทำ ก็แค่ต้องเร่งมือเท่านั้น…”
ทั้งสองสลับกันพูดไปมาคนละหนึ่งประโยค ว่าสุดท้ายกลับเหมือนเป็นคนคนเดียวกัน…ซ้ำหลังพูดจบ ทั้งสองยังเผยสีหน้าที่คล้ายกันทุกประการออกมาอีกด้วย…
รอยยิ้มจางๆ ที่ดูแข็งทื่อ และแฝงไว้ซึ่งความหมายลึกซึ้ง…
“ฉันยิ้มเป็นแล้ว…”
“หรือนี่ก็คือ…ความรู้สึกดีที่เขาว่ากัน?”