แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1154 ตาแมวที่อยู่เหนือหัว
“ฮั่ก! ฮั่ก!”
บนชั้นสองของอาคารหอพัก หัวหน้าทีมนิพพานผลักประตูห้องบานหนึ่งออก และแทรกตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เขาแนบแผ่นหลังชิดผนังข้างประตูและหอบหายใจแรง พลางเพ่งมองจุดแสงแห่งจิตที่อยู่บนปลายนิ้ว
จุดแสงดวงนั้นมองผิวเผินไม่มีอะไรพิเศษ แต่หัวหน้าทีมนิพพานกลับเผยสีหน้าระแวดระวัง
ขณะเดียวกัน ในสายตาเขามีประกายบ้าคลั่งพาดผ่านชั่ววูบหนึ่ง
“ล้มเหลวแค่ครั้งเดียว…นี่ต่างหากคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริง!”
เขาสูดหายใจลึกๆ พลันยกนิ้วมือกดเข้าไปในดวงตาข้างขวาของตัวเองทันที
เสี้ยววินาทีที่จุดแสงแห่งจิตดวงนั้นเข้าไปในดวงตาของเขา เสียงครวญด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากลำคอของหัวหน้าทีมนิพพานอย่างควบคุมไม่ได้
เขากัดฟันแน่น ร่างกายตึงเกร็งไปทั้งตัว ในขณะที่มืออีกข้างกดตรึงกับผนังข้างหลังแน่น พลางออกแรงขูดข่วนอย่างแรงเพราะความเจ็บปวด
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว…ครั้งสุดท้ายแล้ว! ขอแค่ฆ่าหลิงม่อได้ ต่อไปฉันก็ไม่ต้องออกไปเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว…ลำบากครั้งเดียวเพื่อที่จะได้สบายตลอดไป ทุกอย่างล้วนคุ้มค่า! หลิงม่อ แกทำให้ฉันต้องทุ่มพลังทั้งหมดได้ขนาดนี้ ถือว่าได้ตายอย่างยุติธรรมแล้วล่ะ…อ๊ากกก!”
หัวหน้าทีมนิพพานเกรีดร้องอย่างทนไม่ไหวอีกครั้ง จากนั้นไม่นานเขาก็ลดมือลง เผยให้เห็นดวงตาที่ถูกยัดด้วยจุดแสงแห่งจิตเข้าไป
เลือดหยดหนึ่งไหลออกจากหางตาเขาเป็นทาง ในขณะที่ดวงตาของเขามีเลือดคลั่งจนกลายเป็นสีแดงไปทั้งดวง…หัวหน้าทีมนิพพานกลอกตาไปมา พลันนั้นในดวงตาข้างขวาของเขาก็ปรากฏภาพที่ต่างไปจากดวงตาข้างซ้าย…
“เป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่เจออะไรเลย…”
“ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ชั้นหนึ่ง…”
ราวกับตาแมวที่ซ่อนอยู่บนเพดาน ดวงตาข้างขวาของหัวหน้าทีมนิพพานปรากฏภาพเงาร่างที่เบิดเบือนเล็กน้อยของหลิงม่อ…และเวลานี้ พวกเขาก็กำลังรวมกลุ่มกันอยู่ตรงปากบันได หลังจากที่คุยกันไม่กี่ประโยค พวกเขาก็เดินขึ้นบันไดมา
ทว่า นอกจากบทสนทนาบางส่วนที่พยายามอ่านจากการขยับปากของพวกเขาแล้ว ความจริงความสามารถในการ “ดักฟัง” ของหัวหน้าทีมนิพพานก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบมากนัก
แต่ถึงแม้อย่างนั้น แค่ความสามารถในการสอดส่อง ก็ดีพอที่จะทำให้หัวหน้าทีมนิพพานเป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว
“ทำไมถึงเพิ่งขึ้นมาตอนนี้? เกิดเรื่องอะไรที่ฉันไม่รู้ขึ้นหรือเปล่านะ?” หัวหน้าทีมนิพพานนึกถึงสมาชิกทีมคนนั้นทันที ทว่าไม่นานเขาก็เผยรอยยิ้มเย็นชา “ช่างเถอะ ถึงเขาจะพยายามดิ้นรนต่ออีกหน่อยแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? ในเมื่อคนพวกนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องเดียวที่น่าเสียดายก็คือ นอกจากพลังของหลิงม่อกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพลังของคนอื่นๆ เลยซักนิด…”
สายตาของหัวหน้าทีมนิพพานจับจ้องไปที่ร่างเด็กสาวผมยาวถือเคียวดาบที่ทำให้เขารู้สึกสนใจเป็นพิเศษ จากนั้นก็กวาดมองไปยังคนอื่นๆ และสุดท้ายก็หยุดอยู่ที่หลิงม่อ
“บอกตามตรง ฉันทึ่งในตัวแกมากจริงๆ แต่สำหรับฉัน ถ้าแกตายไปจะมีค่ากับฉันมากกว่ามีชีวิตอยู่น่ะสิ ดังนั้น…เอ๊ะ?” ใบหน้าของหัวหน้าทีมนิพพานพลันเปลี่ยนสีไปชั่วขณะ เพราะระหว่างที่เขากำลังพึมพำกับตัวเองนั้น หลิงม่อที่ถูกเขาจ้องอยู่ตลอดพลันหยุดเดิน และเงยหน้ามองขึ้นมา
ชั่วขณะหนึ่ง หัวหน้าทีมนิพพานกระทั่งรู้สึกเหมือนตัวเองสบตากับหลิงม่อ
เขาเบิกตากว้าง ร่างกายตึงเกร็ง…
“พี่หลิง เป็นอะไรไป?” ซย่าน่าเดินตามอยู่ข้างหลัง เธอมองพฤติกรรมของหลิงม่อด้วยสายตาแปลกๆ พลางถามขึ้น
หลิงม่อกลับจ้องมองเพดานอันโล่งเตียนด้วยใบหน้าเรียบเฉยอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าลง บอกว่า “เปล่าหรอก…ฉันอาจอ่อนไหวไปเองก็ได้”
“งั้นหรอ…” ซย่าน่ารับคำ จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นมาข้างบนด้วย
ก็จริง ข้างบนนั้นไม่มีอะไรเลย…
“แต่ว่า…พี่หลิงจะต้องเจออะไรบางอย่างแล้วแน่ๆ…แต่ทำไมเขาไม่พูดอะไรเลยล่ะ?” ซย่าน่าคิดอย่างสงสัย
เธอเม้มปาก จากนั้นก็เบะมุมปากคิดในใจ “พวกมนุษย์…ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยุ่งยากวุ่นวายจริงๆ…”
“…ตอนนี้ยังบอกไม่ได้…” หลิงม่อที่หันหน้าเดินขึ้นบันไดต่อกลับยกมือกดหน้าอก “ก่อนที่สถานการณ์ทุกอย่างจะชัดเจน ห้ามเผยจุดอ่อนให้อีกฝ่ายเห็นเด็ดขาด…ถ้าหากพวกเธอรู้เรื่องที่ฉันถูกจ้องเล่นงาน…ยัยซอมบี้พวกนี้อาจควบคุมตัวเองไม่ได้และทำให้เรื่องร้ายแรงขึ้นก็ได้ ซึ่งเราไม่ต้องการอย่างนั้น…ตอนนี้นอกจากระเบิดเวลาที่อยู่ในตัวเรา ยังมีปัญหาของเย่เลี่ยนที่ต้องแก้ไขอีก ต้องใจเย็น…ต้องคว้าโอกาสไว้ให้ได้…”
“แล้วก็เมื่อกี้…เราสัมผัสได้ถึงบางสิ่งจริงๆ…พลังสอดส่องจากผู้รอดชีวิตคนนั้นงั้นหรือ? แต่มีม่านพลังสกัดกั้นอยู่ อย่างมากเขาก็ทำได้เพียงสัมผัสรู้ได้ถึงตำแหน่งของพวกเราเท่านั้น แต่ไม่อาจรู้การเคลื่อนไหวของพวกเราได้หรือเปล่า? ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็คงไม่ต้องใส่ใจมาก อาคารหลังนี้ใหญ่แค่นี้ ยังไงสุดท้ายพวกเราก็ต้องหาเขาเจออยู่ดี อีกทั้ง ถ้าหากเป้าหมายของเขาคือเรา…ถึงพวกเราจะไม่ไปหาเขา ยังไงเขาก็ต้องคิดหาทางจู่โจมเราอยู่ดี…สิ่งที่พวกเราต้องทำ ก็แค่ต้องทำเหมือนกำลังตามหาเขาเท่านั้น…”
“ยัยราชินีแมงมุมตัวนั้น…ครั้งนี้ฉลาดขึ้นไม่เบาแล้วนี่…” หลิงม่อเผยรอยยิ้มตึงเครียด พลางลอบคิดในใจ
“ซักวันฉันจะกลับมา และขืนใจนายซะ”
ภาพของราชินีแมงมุมตัวนั้นผุดขึ้นมาในสมองของหลิงม่อ…
“พูดเรื่องน่ากลัวทิ้งท้ายไว้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก็หายตัวไปวางแผนอย่างนั้นหรอ? ลงทุนไม่เบาเลยนะ…”
คิดมาถึงตรงนี้ หลิงม่อก็อดลอบถอนใจไม่ได้ “ยัยนั่นเอาแต่ใจชะมัด…”
…………
“ล้มเหลวไปหนึ่ง” หลิวหยางพูดขึ้น
เวินเสี่ยวอวี่พยักหน้า “ใช่แล้ว พวกเขาแกร่งกว่าที่ฉันคิดไว้มาก แต่ว่าตอนนี้พวกเราก็รู้สถานการณ์พลังในปัจจุบันของพวกเขาถึงสี่คนแล้ว””
“ตัวหลิงม่อนั้นไม่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิด แต่จะเข้าใกล้เขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน อีกทั้งหากไม่สามารถกำจัดเขาได้ในทันที เขาก็จะใช้ซอมบี้ตัวอื่นๆ เป็นเกราะกำบังทันที เมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็จะมีโอกาสลงมือ และหากเขาลงมือ ก็จะส่งผลกระทบต่อรูปการ เพราะเขาไม่เพียงสามารถโจมตีได้ แต่ยังสามารถพันธนาการศัตรูได้ด้วย…ตอนนี้พวกเราทำให้พลังจิตโจมตีของเขาไม่สามารถใช้งานได้แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าการโจมตีทางกายภาพของเขาจะแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เมื่อก่อนถึงแม้ว่าเขาจะโจมตีได้รุนแรง แต่กลับมีการเคลื่อนไหวที่ไร้ประโยชน์อยู่ไม่น้อย ตอนนี้พลังงานที่ถูกเผาผลาญลดลง การโจมตีจึงมีประสิทธิภาพขึ้นสินะ”
เวินเสี่ยวอวี่ยังคงรำพึงพันต่อไป “และนอกจากหลิงม่อแล้ว จากผลลัพธ์การสังเกตการณ์ที่พวกเราได้มาในตอนนี้ ยังมีอีกสองตัวที่รับมือยาก หนึ่งในนั้นคือเด็กผู้หญิงที่ใช้เคียวดาบ การโจมตีของเธอมีเทคนิคที่ยอดเยี่ยม พละกำลังก็สมดุลมากทีเดียว ความเร็ว และความสามารถในการตอบสนองล้วนสมดุล นอกจากนี้ ฉันยังสัมผัสได้อีกว่าเธอยังมีพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ซ่อนอยู่อีก เพียงแต่ไม่อาจเอาออกมาใช้กับพวกเราได้เท่านั้น ดังนั้น ฉันเดาว่าเธอคงวิวัฒนาการไปในเส้นทางที่แปลกประหลาด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ต้องระวังไว้ก่อน เพราะหากจะมองข้ามการโจมตีทางจิตได้ ก็ต้องเป็นหุ่นเชิดระดับ 3 เท่านั้น”