แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1160 ไม้ตายไร้พ่าย
ทว่าในตอนนี้เอง สัมผัสอันตรายพลันพลุ่งพล่านออกมาจากจิตใต้สำนึกของอวี่เหวินซวน
“แย่แล้ว! มีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว…”
อวี่เหวินซวนหน้าเปลี่ยนสี ปฏิกิริยาแรกตามสัญชาตญาณคือถอยหนี
แต่เขาเพิ่งจะขยับเท้า ร่างกายก็พลันชะงักค้างไป
“เมื่อกี้อีกฝ่ายอยู่แถวๆ นี้…แค่ลองทดสอบดูเพียงครั้งเดียว ก็ถูกพวกมันจับได้ทันที ถ้าหากถอยหนี แน่นอนว่าย่อมหลบการโจมตีพ้นชั่วคราว กระทั่งหากถอยหนีออกไปที่ทางเดินนอกห้อง ยังสามารถลดโอกาสที่ตัวเองจะถูกโจมตีให้ต่ำลงได้ด้วยซ้ำ แต่ว่า…”
“ฉันไม่ได้เข้ามาทดสอบเพื่อที่จะวิ่งหนีซักหน่อยนี่…”
“พรึบ” เปลวไฟดวงหนึ่งพลันปรากฏบนมือของอวี่เหวินซวน
บุหรี่ครึ่งมวนที่กำลังติดไฟกลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา และกลุ่มควันที่เดิมยังเลือนรางไม่ชัดเจนก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นควันสีดำโขมงกลุ่มใหญ่ทันใด
ฉ่าา!
ไม่นาน ท่ามกลางควันสีดำกลุ่มใหญ่นั้น มีกลิ่นอายเหมือนเนื้อถูกเผาไหม้ลอยโชยออกมา
ม่านตาของอวี่เหวินพลันหดเล็กลง เปลวเพลิงบนมือขยายใหญ่เป็นสิบเท่าในพริบตา
“จับได้แล้ว!”
“หนึ่งในพวกนั้นถูกฉันเผาอย่างไม่ทันตั้งตัวแล้ว!”
ถึงแม้ยังอยู่ท่ามกลางม่านพลังสกัดกั้น แต่จุดที่เปลวเพลิงนั้นลุกลามเผาไหม้ คือจุดอ่อนของม่านพลังที่อวี่เหวินซวนหาเจอพอดี
ท่ามกลางความเลือนรางไม่ชัดเจน อวี่เหวินซวนมองเห็นเงาร่างของคนผู้นั้น…
ร่างกายท่อนบนรวมถึงศีรษะของคนผู้นั้น ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟแทบทุกส่วน เสียงปะทุของเนื้อหนังที่ถูกเผาไหม้ดัง “ฉ่า” อย่างต่อเนื่อง เผยให้เห็นผิวหนังที่กลายเป็นสีแดงดำ และแผลพุพองที่อัดแน่นอยู่แทบทุกอณูผิวหนัง
หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาอาจถูกไฟคลอกตายทั้งเป็นจริงๆ
อย่างอื่นไม่ว่า เพียงถูกไฟเผาจนเจ็บเจียนตายขนาดนี้ ก็มากพอที่จะทำให้คนคนหนึ่งสูญเสียพลังต่อสู้ทั้งหมดไปแล้ว
แม้ว่าพลังต่อสู้ของอวี่เหวินซวนไม่ได้ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน ทว่าพลังพิเศษกลายพันธุ์นี้ของเขากลับมีอานุภาพร้ายแรง และยังมีประโยชน์มากอีกด้วย
ยิ่งเมื่อคูต่อสู้บุ่มบ่ามเข้าใกล้เขาโดยไร้การป้องกันตัว โอกาสถูกเล่นงานก็ยิ่งมีสูง
ทว่าสิ่งที่ทำให้อวี่เหวินซวนหน้าถอดสีครั้งใหญ่ คือเงาร่างนั้นไม่เพียงไม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่กลับยืนลืมตานิ่งๆ อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงที่กำลังแผดเผาร่างเขา…
แม้แต่ตอนที่เปลวไฟไหม้ลามไปถึงดวงตา เขาก็ยังคงยืนจ้องอวี่เหวินซวนอยู่อย่างนั้น…
“นั่นมัน…ตัวบ้าอะไรวะ…”
อวี่เหวินซวนอึ้งงันไปชั่วขณะ…
สถานการณ์อย่างนี้…อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก…
เรื่องแรกที่มั่นใจได้ก็คือ นั่นไม่ใช่มนุษย์!
เรื่องต่อมา…
“ซอมบี้? ไม่สิ…ถึงแม้จะเป็นซอมบี้ก็ไม่มีทางมีพฤติกรรมอย่างนี้แน่…”
ซอมบี้ระดับสูงนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากชีวิตของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่านี้…เพราะถึงแม้ว่าเป้าหมายของพวกมันคือการวิวัฒนาการ แต่พวกมันได้ผ่านช่วงที่อาศัยเพียงสัญชาตญาณในการเคลื่อนไหวไปแล้ว
ส่วนซอมบี้ระดับต่ำถึงแม้ไม่รู้จักรักตัวกลัวตาย แต่ทันทีที่ได้รับบาดเจ็บหรือกระทั่งประสบกับอันตรายถึงชีวิต พวกมันก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่เหมาะสม…
อย่างเช่น…ดิ้นรนขัดขืนอย่างบ้าคลั่งหนักกว่าเดิม หรือไม่ก็อาศัยแรงเฮือกสุดท้ายโจมตีศัตรู…
แต่เงาร่างที่อยู่ตรงหน้าอวี่เหวินซวน…กลับเอาแต่จ้องอวี่เหวินซวนด้วยสายตาเย็นเยียบ…
ถึงแม้เพียงเสี้ยววินาที แต่อวี่เหวินซวนกลับรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว!
เงาร่างนี้ อันตรายมาก!
โครม!
อวี่เหวินซวนรีบถอยหลังทันทีที่ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ แต่ถึงแม้อย่างนั้น ก็ยังคงมีประกายสีแดงเส้นหนึ่งเฉี่ยวผ่านหน้าเขาไปอย่างเฉียดฉิว
เขายังไม่ทันมองให้ชัดว่าเป็นสิ่งใด กระทั่งในเสี้ยววินาทีที่ทำได้เพียงยกแขนและเปลวไฟขึ้นปกป้องอวัยสำคัญของตัวเอง การโจมตีที่มองไม่เห็นจำนวนนับไม่ถ้วนก็กระชั้นชิดเข้ามาหาเขาโดยตรง
หลังจากที่ประกายสีแดงเหล่านั้นพุ่งทะลุเข้ามาใน “จุดอ่อนม่านพลัง” พวกมันก็ถูกปิดกั้นจากการมองเห็น กลายเป็นการโจมตีไร้รูปทันที
“จบกัน…ใกล้ตายแล้วสิ…การโจมตีมากมายขนาดนี้ แถมศัตรูยังไม่กลัวถูกไฟคลอกตายอีกด้วย ฉันต้านไม่ไหวแล้ว…”
“น่าเสียดายที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายด้วยน้ำมือของตัวอะไร…”
“แต่อย่างน้อยก่อนตาย…ก็ทิ้งสัญญาณเตือนไว้ให้คนอื่นๆ สักหน่อยแล้วกัน…”
อวี่เหวินซวนยกมือแตะที่เสื้อผ้าของตัวเอง…
ทว่าในเสี้ยววินาทีที่เปลวไฟติดพรึบ เขากลับเบิกตากว้าง
เสี้ยววินาทีเมื่อกี้เขายังรู้สึกได้ว่ามีใบมีดมากมายพุ่งเข้ามาหาเขา แต่เวลานี้ เขากลับสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายถอยไปแล้ว…
เป็นการถอยที่กะทันหัน และรวดเร็วมาก…
เขารีบเงยหน้ามองไปยังจุดอ่อนม่านพลังตรงนั้น เปลวไฟบนตัวของคนผู้นั้นได้หายไปแล้ว แต่บนศีรษะยังมีควันลอยคลุ้งอยู่ ทว่าเมื่ออวี่เหวินซวนมองไปที่เขา รอบกายของคนผู้นั้นก็ปรากฏเส้นไหมสีเงินสะท้อนแสงพราวระยับนับไม่ถ้วน…
วินาทีต่อมา เงาร่างเส้นหนึ่งพลันกระโดดลงมาจากหัวของคนผู้นั้น
ขณะเดียวกับที่เส้นไหมสีเงินรอบกายพลันหดรัด เงาเส้นนั้นก็ทิ้งตัวลงต่อหน้าเขาอย่างแผ่วเบา
พรวด!
เลือดสีแดงสดกลุ่มหนึ่งพุ่งกระฉูดออกมา พร้อมกันนั้น ศพของคนผู้นั้นก็ล้มลงไปในกองหญ้ารกชัฏ
หลังจากที่เงาเส้นนั้นทิ้งตัวลงพื้น เมื่อมองลอดหน้าต่างออกไปก็มองเห็นเพียงตั้งแต่ส่วนลำคอของเธอขึ้นไปอย่างเลือนรางเท่านั้น
ทว่าอวี่เหวินซวนยังคงจำได้ทันทีตั้งแต่แวบแรก…
“นี่มันเด็กผู้หญิงที่ชอบหลบหน้าพวกเรานี่…นี่เธอ…กระโดดลงมาจากชั้นสองงั้นเหรอ?”
อวี่เหวินซวนตกตะลึง…ความจริงแล้วสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ การกระโดดลงมาจากอาคารชั้นหรือสองชั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร กระทั่งผู้มีความสามารถพิเศษที่แข็งแกร่งบางคนยังสามารถกระโดดลงมาจากความสูงกว่าร้อยเมตรได้อย่างสบายๆ แน่นอนว่าการทำอย่างนั้น พลังงานที่ต้องใช้ในการเผาผลาญก็สูงจนน่าทึ่งเช่นกัน…ทว่าเรื่องที่ทำให้อวี่เหวินซวนตกตะลึงอย่างแท้จริง ก็คือการสังหารในชั่วพริบตาของเด็กผู้หญิงคนนี้
ถึงแม้ภาพเหตุการณ์จริงที่เขามองเห็นผ่านจุดอ่อนม่านพลังจะไม่ชัดเจนนัก แต่อวี่เหวินซวนรู้ดีแก่ใจว่าในมือของเด็กผู้หญิงคนนี้ ไร้ซึ่งอาวุธอื่นใด…
เธอฉวยโอกาสปรากฏตัวกะทันหันตอนที่คนผู้นั้นหมายโจมตีเขา ภายใต้สถานการณ์ที่ปราศจากอาวุธติดตัว เธออาศัยเพียงเส้นไหมสีเงิน…ในการฉีกร่างศัตรูให้กลายเป็นชิ้นๆ!
วิธีการโจมตีอย่างนี้ อวี่เหวินซวนเคยเห็นจากสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ…
เธอไม่ใช่มนุษย์…
ทว่าแท้จริงแล้วอวี่เหวินซวนไม่ได้ตกตะลึงเพราะเรื่องนี้…
สิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองของเขาในเสี้ยววินาทีนั้นก็คือ…
“ย่าหลิน…แล้วก็เธอ…ล้วนโจมตีด้วยวิธีแบบนี้งั้นเหรอ…”
สำหรับกรงเล็บอันแหลมคมของพวกเธอ ร่างกายอันอ่อนแอของมนุษย์คงไม่ต่างอะไรจากกระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งสินะ…
“หืม?”
อวี๋ซือหรานหันหน้ามองเข้ามาในห้อง แต่กลับมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
“เฮยซือ เมื่อกี้เธอเห็นหรือยัง?”
“เห็นแล้ว…ดูท่าเธอก็คงเห็นแล้วเหมือนกันถึงได้สังหารศัตรูในครั้งเดียว…”
“ใช่น่ะสิ…คิดไม่ถึงว่าในหมู่พวกมันจะมีสัตว์ประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแบบนี้อยู่ด้วย…สัตว์ประหลาดหัวติดไฟ…” อวี๋ซือหรานถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
“…ต้องไม่เคยได้ยินอยู่แล้ว! เพราะมันไม่มีสัตว์ประหลาดประเภทนี้ไงล่ะ! เรื่องนี้มองแวบเดียวก็รู้แล้วไหม! ว่าเจ้าเฟิ่งจื่อต้องอยู่ในหน้าต่างบานนั้นแน่นอน อีกอย่างเห็นชัดว่าเมื่อกี้เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังโจมตีเขา…ถึงฉันจะยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างเร็วทีสุดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าเฟิ่งจื่อจะเป็นยังไงบ้าง จริงๆ เลย มนุษย์พวกนี้ ทำไมไม่รู้จักอยู่เฉยๆ ซะบ้างนะ…” หลังจากตวาดลั่น เฮยซือก็อดบ่นกระปอดกระแปดไม่ได้ “เดิมทีเป็นแค่เหยื่อแรกก็พอแล้ว…ร่างกายอ่อนแอ แถมยังตอบสนองชักช้า แต่กลับยังจะเอาตัวเข้ามาเสี่ยงอันตรายอีก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ…”
“ถ้าอย่างนั้น คนอื่นๆ ถึงแม้ไม่เคลื่อนไหว ก็ไม่ใช่เพราะขลาดกลัว แต่เป็นเพราะไม่อยากให้เกิดผลกระทบต่อกันและกันน่ะสิ…พวกมนุษย์งี่เง่าเอ๋ย…”
…………
เฮยซือกำลังยืนอยู่ตรงขอบหน้าต่างของชั้นสอง และก้มมองลงไปข้างล่าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง…
“…จะเอายังไงต่อ? เฝ้ารอต่อไปอย่างนี้เหรอ?” เสียงของอวี๋ซือหรานดังขึ้น
“ยัยโง่! เธอคิดว่าตัวเองจะยอมติดกับดักแบบเดิมเป็นครั้งที่สองไหมเล่า!” เฮยซือตวาดเสียงขุ่น
“แน่นอนสิ!”
“ตอบออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยเชียวนะ!” เฮยซือบอก “คนที่พวกมันถูกส่งมาในครั้งนี้ถูกกำจัดแล้ว หากคำนวณจากความตั้งใจเดิมของพวกมัน เป็นไปได้มากว่าพวกมันคงไม่ส่งคนมาแล้วล่ะ ตรงกันข้าม พวกมันจะมองข้ามเราไปชั่วคราว และหันไปเร่งการโจมตีพวกหลิงม่อแทน ถ้าหากฉันเดาไม่ผิดล่ะก็นะ…”
“ถ้าอย่างนั้น…พวกเราก็ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงน่ะสิ?”
“อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป” เฮยซือใช้สองมือยันขอบหน้าต่าง ส่งร่างอันเล็กกระจิดริดของตัวเองที่เดิมยืนอยู่บนเก้าอี้กระโดดขึ้นไปยืนบนเฉลียงหน้าต่าง พลางพูดขึ้นในความคิดว่า “ที่ฉันพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า…พวกเรายังดึงความสนใจของอีกฝ่ายมาได้ไม่มาก ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายมองเห็นความสำคัญของพวกเราด้วยการโจมตีที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม หรือไม่ก็จับตัวพวกมันไว้ซะเลย แต่เจ้าเฟิ่งจื่อช่วยพวกเราได้มากทีเดียว เขาหาจุดอ่อนของม่านพลังเจอแล้ว…เมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเราก็อาจติดต่อกับพวกหลิงม่อได้…”
“นี่มัน…ยอดเยี่ยมกว่าแผนเดิมของพวกเราอีกนะ”
เฮยซือโน้มตัวไปข้างหน้า และทิ้งตัวกระโดดลงไปยืนข้างอวี๋ซือหรานโดยตรง
ขณะเดียวกัน อวี่เหวินซวนที่ล้มอยู่ตรงมุมห้องก็เบิกตากว้างและจ้องไปที่หน้าต่างอย่างอึ้งงันอีกครั้ง…
“ตกลงมาอีกหนึ่งแล้ว…”
“โอ๊ยยยย! เจ็บๆๆๆ…” ทันใดนั้น เขาพลันตระหนักได้ว่าเสื้อผ้าของตัวเองกำลังถูกเผาไหม้อยู่…
“นี่มัน…ถือว่าบาดเจ็บในระหว่างปฏิบัติงานแล้วกัน…โชคดีนะที่ไม่มีใครเห็น…”
“จริงด้วย ฉันคิดมากไปเองแหละ…ถ้าเห็นแล้วยังไง? ไม่เคยเห็นแล้วจะทำไม? ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะยอมรับ ก็ต้องยอมรับให้ได้มากขึ้น…”
“ตอนนั้นหลิงม่อก็ไม่ได้ลำบากในการทำใจให้ยอมรับไปน้อยกว่าเราหรอก”
“อีกทั้ง ตอนนั้นยังเป็นตอนที่เพิ่งเกิดภัยพิบัติด้วย เกรงว่าสภาพจิตใจของเขาคงยังไม่แกร่งเท่าวันนี้ด้วยซ้ำ…”
“เขาทำได้…ฉันก็ทำได้เหมือนกัน…”
อวี่เหวินซวนไล่ตบเปลวไฟให้มอดดับเป็นพัลวัน พลางคิดอย่างหนักแน่น…
“อ๊ากกกกก! ลามถึงเป้ากางเกงแล้ว! ช่วยด้วยย! ช่วย…”
สวบ…
เส้นไหมสีเงินสิบกว่าเส้นพุ่งพรวดทะลุจุดอ่อนม่านพลัง จากนั้นก็แผ่กำจายเข้าไปในโกดังอาหาร…
เวลานี้อวี๋ซือหรานได้ออกจากขอบเขต “ถ้ำมอง” ของอวี่เหวินซวน ด้วยการเดินเข้ามายืนหลังชิดผนัง
“เส้นขนพวกนี้ของเธอยืดออกไปได้ยาวแค่ไหนเหรอ เสี่ยววังวัง[1]?”
“ไม่รู้สิ ฉันยังไม่เคยลองยืดออกไปจนสุด แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่น่าจะแผ่ออกไปได้ทั่วโกดังแห่งนี้ ทำได้เพียงลองดูล่ะนะ…” เฮยซือเพิ่งจะตอบเสร็จ ก็พลันตระหนักได้ “นี่ ยัยโง่แซ่อวี๋ ให้มันน้อยๆ หน่อยนะ! ฉันมีชื่อของฉันอยู่แล้ว!”
“เฮยซือก็ถือเป็นชื่อได้ด้วยเหรอ?”
“แล้วทำไมถึงจะไม่ใช่ล่ะ!”
“…เธอรู้ใช่ไหมว่ามันหมายถึงถุงน่องชนิดหนึ่งที่มีสีเฉพาะตัว? ส่วนมากมนุษย์ผู้หญิงจะสวมไว้ที่ขา บางครั้งก็ถูกสวมไว้บนตัวของมนุษย์เพศชายหรือไม่ก็มนุษย์ที่มีเพศชายหญิงรวมอยู่ในร่างเดียว บ้างก็ถูกสวมไว้บนหัว…” ในที่สุดอวี๋ซือหรานก็อดพูดออกมาไม่ได้
“พอได้แล้ว ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร…เธอคิดว่าฉันไม่รู้หรือไง?” เฮยซือเองก็เม้มปากอย่างสุดจะทน แล้วอยู่ๆ ก็ระเบิดอารมณ์ออกมา “แน่นอนว่าฉันรู้อยู่แล้ว! เจ้าหลิงม่อบ้านั่น…เขายังไม่รู้อีกว่าทำไมฉันถึงเอาแต่ดื้อกับเขา…ตั้งชื่อชุ่ยๆ แบบนี้ให้คนอื่น เป็นใครก็ต้องไม่ยินดีอยู่แล้ว! เขาพาฉันออกมาเปิดตัวกับคนอื่น…แต่กลับไม่คิดถึงความรู้สึกของฉันเวลาต้องแนะนำตัวบ้างเลย! เธอเห็นสีหน้าของมนุษย์กลุ่มนั้นไหม? พอได้ยินชื่อฉันแต่ละคนก็ทำหน้าเห็นอกเห็นใจฉันกันใหญ่! มนุษย์ผู้หญิงคนนั้นยังคิดจะเดินเข้ามากอดปลอบฉันเลย! ฉันเป็นถึงสุนัขตัวเมีย…ถึงตอนนี้จะอยู่ในสภาพนี้ แต่เมื่อก่อนคนเห็นคนร้องไห้ ซอมบี้เห็นซอมบี้วิ่งหนีหางจุกตูดเชียวนะ! ไม่คิดเลยว่าจะตกต่ำถึงขนาดนี้…แค่คิดก็โมโหจะตายแล้ว!”
หลังจากระเบิดโทสะ…เฮยซือยังระบายสิ่งที่คับข้องใจออกมาอีกเป็นพรวน…
ถึงอย่างไรตอนนี้หลิงม่อก็ไม่ได้ยินอะไรอยู่แล้วนี่นา…
นี่คือความคับข้องใจทั้งหมดที่เธอสั่งสมมาทีละเล็กทีละน้อย!
มีเจ้านายที่ทั้งสามารถควบคุมและยังคอยสอดส่องตัวเองได้ ความกดดันในฐานะสัตว์เลี้ยงจึงสะสมมาโดยตลอด…
“โอ้โห! พอเธอโกรธ ความเร็วในการแผ่ขยายของเส้นไหมสีเงินก็เพิ่มขึ้นทันทีเลย! นี่ขนาดฉันยังสัมผัสได้เลยนะ!” เดิมทีอวี๋ซือหรานได้ยินเฮยซือระบายความโกรธก็ให้รู้สึกยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น แต่อยู่ๆ เธอกลับร้องตะลึงขึ้นมา การเปลี่ยนแปลงที่แม้แต่เธอยังสัมผัสได้ แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มาก…
เฮยซือเองก็ชะงักงันไป ไม่นานก็พูดว่า “จริงด้วย เหมือนกำลังทะลุขีดจำกัดซะด้วย…”
สวบๆๆๆ เส้นไหมสีเงินกำลังแผ่กระจายออกไป…
“แต่ว่า…ยังขาดอีกนิด! ต้องตามหาจุดอ่อนของม่านพลังให้เจอมากกว่านี้ ต้องแผ่เส้นไหมสีเงินออกไปอีก และไม่ได้แผ่ออกไปเป็นเส้นตรงด้วยสิ…”
“เสี่ยววังวัง!”
“……”
“มีคนเคยบอกไหมว่าเธอน่ารักมาก?”
“…อืม…เหมือนว่าเจ้านายจะเคย…”
“เขาโกหกเธอ!”
“หา…”
…………
“ตอนนี้เธอก็ยังง้างขาข้างเดียวชิ้งฉ่องอยู่ใช่ไหม!”
“ใครง้างขาไม่ทราบ! อีกอย่างฉันก็ไม่ชิ้งฉ่องซักหน่อย! เฮ้ออ ไม่ได้ผล เธอเปลี่ยนแผนเถอะ ฉันไม่โกรธเลยซักนิด…”
อวี๋ซือหรานชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วอยู่ๆ ก็พูดขึ้นอย่างแช่มช้าว่า “เจ้านายไม่มีทางชอบเธอ…”
“อ๊ะ!” สีหน้าของเฮยซือพลันค้างเติ่ง
ไม่นาน เส้นไหมสีเงินที่เธอแผ่ออกไปก็พลันพุ่งพรวดออกไปอย่างบ้าคลั่ง!
“หึๆ…เป็นยังไงล่ะ เจอไม้ตายฉันเข้าไป…” อวี๋ซือหรานเลียริมฝีปาก พลางเผยรอยยิ้มย่ามใจออกมา
—————————————————————————–
[1] วังๆ เป็นคำเลียนเสียงสุนัขเห่าของคนจีน ซึ่งเทียบได้กับคำว่า โฮ่งๆ ในภาษาไทย