แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1161 มนตร์สะกดดวงตา
ในระหว่างที่เฮยซือกำลังหาลู่ทางติดต่อหลิงม่อ ทางฝั่งหลิงม่อก็พอมีความคืบหน้าอยู่บ้าง…
“ชั้นสี่แล้ว” ซย่าน่ากระตุกข้อมือสะบัดคราบเลือดบนเคียวออกเบาๆ ก่อนเอ่ยปากพูดหลังจากที่เห็นศพบนพื้น “นี่มันเพิ่งจะแค่ศัตรูคนที่สามที่เราเจอเองนะ”
“ดูแล้ว…ข้างบนค่อนข้างที่จะอันตรายกว่ามาก” มีความเป็นไปได้สูงที่ศัตรูจะพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ชั้นหนึ่ง หากเป็นอย่างที่คิด เมื่อถึงเวลาที่เผชิญหน้ากับเรา พวกเขาจะเป็นฝ่ายได้เปรียบมากกว่า สองคนเมื่อกี้ที่เราเพิ่งเจอก็คงจะแค่ตั้งใจยื้อเวลาและเผาผลาญพลังการต่อสู้ของเรา” สวี่ซูหานคาดเดาด้วยความกลัดกลุ้มใจ
เวลานี้ ทุกสายตาล้วนทอดมองไปที่ทางขึ้นบันได…
“อืม ดูจากสถานการณ์ตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงเลย” หลิงม่อชำเลืองมองศพอยู่แวบหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าพูด
“แล้วพวกเราควรทำยังไงดี?” หลี่ย่าหลินเอ่ยถาม
แทบจะทันทีที่เธอพูดจบ ก็เกิดเสียง “ตุบ” ดังก้องมาจากชั้นล่าง
“มันเข้ามาแล้ว!” หลิงม่อหันขวับมองไปที่ชั้นล่าง
ชั้นล่างสุดที่ขอบบันได มีสิ่งอันตรายใหม่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ เร็วมาก…อีกนิดเดียวมันก็จะปีนบันได้ขึ้นมาได้แล้ว
แต่แล้วในขณะที่ทุกคนไหวตัวทัน ด้างล่างก็เริ่มอยู่ในความสงบอีกครั้ง
หลายวินาทีผ่านไป…ไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวใดดังเล็ดลอดขึ้นมา
“ทุกคนไม่ต้องตื่นตระหนก” หลิงม่อที่ตั้งสติได้หันกลับมาบอกทุกคนด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “พวกเรายังมีเวลา”
ที่จริงแล้ว…หากใช้กลยุทธ์ล้อมวงสังหารละก็คงจะไร้ประโยชน์ แต่เมื่อใช้มันได้อย่างยอดเยี่ยมก็จะทำให้เกิดโอกาสหนึ่งครั้ง…
“แต่เท่าที่ดูนี่ไม่ใช่เป้าหมายของพวกมัน ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่เคลื่อนไหวเสียงดังแบบนี้” หลิงม่อเอ่ยต่อ
ใช่แน่ ถ้าพวกมันตั้งใจจะตลบโจมตีเข้าด้านหลังจริง คนที่ซุ่มอยู่ก็คงจะเหนี่ยวไกไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว…
จงใจพังประตูทิ้ง หนำซ้ำอาจจะชนซะมันปลิวด้วยซ้ำ การเคลื่อนไหวที่โอ่อ่าเช่นนี้…ดูแล้วคงจะตั้งใจส่งสัญญาณบางอย่าง
“พวกเขากำลังบีบให้เราขึ้นไป” ซย่าน่าพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ในระหว่างที่บีบคั้น ก็ยังตั้งใจสร้างความกดดันให้พวกเขา
แต่ผ่านไปไม่นาน ซย่าน่าก็เผยหัวเราะชั่วร้าย “แต่ระดับความอันตรายเพียงแค่นี้น่ะเหรอ… หึๆ! ฉันกำลังสงสัยว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหนอยู่พอดี ในเมื่อคนเชิญแสดงความจริงใจกับพวกเราถึงขนาดนี้ พวกเราก็ไปกันเถอะ”
เย่เลี่ยนไม่ขัดข้องอยู่แล้ว หลี่ย่าหลินก็พยักหน้าหงึกหงักด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้ว่ากู่ซวงซวงและสวี่ซูหานจะหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ภายใต้อิทธิพลของเสียงหัวเราะซย่าน่า พวกเธอก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่รู้ตัว
หลังจากที่พยักหน้า สวี่ซูหานสะดุ้งโหยง ดวงตาเบิกกว้างทันที “เอ๋…ทำไมฉันถึงตกปากรับคำง่ายดายแบบนี้ล่ะ? ใจจริงฉันอยากจะโน้มน้าวให้ทุกคนใคร่ครวญกันให้ละเอียดซะก่อน ประหลาดจัง…” หลังจากครุ่นคิดได้สักครู่ เธอก็หันไปมองซย่าน่าด้วยความตื่นตกใจ
มันคือดวงตาของซย่าน่า… ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นสีดำ แต่พลังการมองเห็นของสวี่ซูหานนั้นดูออก ภายในดวงตาของเธอคลับคล้ายมีเงาสะท้อนของดวงตาอีกหนึ่งคู่อยู่ และเงาสะท้อนนั้นเป็นสีเลือด ทำให้ลักษณะบางอย่างในตัวซย่าน่าแปลกไป แต่เมื่อสวี่ซูหานกำลังจะสำรวจมันอย่างละเอียด ซย่าน่าก็กะพริบตาปริบๆ ทันทีหลังจากนั้น…ดวงตากลับเป็นสีดำ และอาการไม่เป็นตัวของตัวเองเมื่อครู่ก็หายตามไปเช่นกัน
“ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของการกลายพันธุ์งั้นเหรอ อืม…ก็คงใช่ ฉันไม่มีทางมองผิดแน่ เมื่อมีวิวัฒนาการก็จะมีความสามารถแบบนี้… ถ้าเปลี่ยนเป็นซอมบี้ตัวอื่น แม้ว่าจะอยู่ในระดับนี้ก็คงต้องลองผิดลองถูกหลายครั้ง และต้องสั่งสมประสบการณ์การสู้รบซะก่อนถึงจะทำได้ขนาดนี้หรือเปล่านะ?” ความรู้สึกของสวี่ซูหานสับสนปนเปอยู่ชั่วขณะ นอกจากเย่เลี่ยนที่ยังไม่เคยลงมือ ซอมบี้ผู้หญิงสองตัวที่เหลือก็แสดงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ออกมาให้เห็นแล้ว เมื่อเทียบกันกับความช่วยเหลือที่ให้หลิงม่อ ฉันนี่ไม่ได้เรื่องเลย…
แต่ที่สวี่ซูหานไม่รู้ก็คือ ความสามารถนี้ของซย่าน่าไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งปรากฏครั้งแรก นับตั้งแต่เธอย่างกรายเข้าฝึกฝนวิชาพลังจิต ดวงตาของเธอก็เริ่มแสดงผลการสะกดจิต เพียงแค่เมื่อเปลี่ยนไปตามความแข็งแกร่งทางกายของเธอ ความสามารถที่มีอยู่นี้จึงยังอ่อนด้อย จนกระทั่งเมื่อมีวิวัฒนาการอีกครั้ง เธอถึงจะใช้พลังจิตรวมร่างทั้งสองเข้าด้วยกันและยกระดับประสิทธิผลได้สำเร็จ เมื่อถึงเวลาที่ใช้พลังนี้อีกครั้ง ประสิทธิภาพที่ออกมาจะเทียบกับที่ผ่านมาไม่ได้เลยสักนิด สิ่งสำคัญคือ เธอไม่ได้เป็นคนเรียกพลังนี้ออกมา แต่มันหลบซ่อนอยู่ภายในดวงตาของเธอ
เมื่อสัญชาตญาณซอมบี้ของเธอถูกกระตุ้นขึ้น พลังสะกดจิตนี้ก็จะปรากฏขึ้นพร้อมกับสีดวงตาที่เปลี่ยนไป
“นี่ยังเป็นแค่สีแดงอ่อนๆ ถ้าดวงตาของเธอเปลี่ยนสีไปทั้งดวงแล้วล่ะก็…” สวี่ซูหานตื่นตะลึงอยู่ในใจลึกๆ
อีกอย่างไม่ได้มีแต่เธอ แม้แต่กู่ซวงซวงก็โดนมนตร์สะกดไปด้วย หากเป็นเรื่องพลังจิต กู่ซวงซวงแข็งแกร่งกว่าสวี่ซูหานหลายระดับนัก
นั่นก็หมายความว่า ถ้านับพลังจิตเพียงอย่างเดียว ซย่าน่าแข็งแกร่งเกินกว่ากู่ซวงซวงแล้ว
สวี่ซูหานคิดอยู่ในใจ “เธอเก่งซะขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเย่เลี่ยนจะน่ากลัวขนาดไหน…ถึงเป็นเวลาเผชิญกับกับดักพวกเขาก็ยังอยู่ในอาการนิ่งสงบ แต่ฉันกับกู่ซวงซวงทำได้แย่มาก สรุปแล้วก็คือ…ยังอ่อนแอเกินไป ความสามารถในการอยู่รอดยังต่ำมาก…”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…พวกเราก็ขึ้นไปกันเถอะ” หลิงม่อก็พยักหน้าเห็นด้วย
แน่นอนว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว แต่เมื่อศัตรูบีบคั้นถึงขนาดนี้ เขาก็เริ่มมีอารมณ์คุกรุ่นเช่นกัน
“แมงมุมตัวนั้นรู้ดี เพียงแค่ปิดกั้นบันไดทางเดียวทำอะไรเราไม่ได้อยู่แล้ว หน้าต่างเยอะแยะขนาดนี้ พวกเราจะเลือกใช้บานไหนก็ไปได้ทุกทาง ซึ่งจากที่สังเกตการณ์เราควรรีบออกจากอาคารหลังนี้ถึงจะถูก แต่ไม่ว่าฉันจะเคลื่อนไหวอย่างไร ทางข้างหน้าก็มักจะมีกับดักใหม่รออยู่เสมอ แทนที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงนี้ ฉันเลือกเส้นทางขึ้นไปข้างบนเลยจะดีกว่า ดูซิว่าเธอเตรียมอะไรไว้ให้ฉัน”
“จะว่าไป…” ในขณะที่ข้ามผ่านศพที่สาม หลิงม่อก็ขมวดคิ้วเหลือบมองชั่วครู่ สมองของศพนี้ถูกผ่าออกจนเกือบหมด เลือดสดไหลทะลักเต็มพื้น เป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียดอย่างยิ่ง แต่ตอนที่หลิงม่อเหลือบมอง เขากลับกำลังนึกถึงอีกหนึ่งปัญหา…
“ทำไมถึงตั้งใจส่งคนมาตายถึงสองคน? คนแรกก็ตายเร็วปานนั้น อีกสองคนที่เหลือก็ไม่ได้เก่งกาจเหนือชั้นอะไร ถ้าดูจากความสามารถยังด้อยกว่าคนแรกด้วยซ้ำ เหตุผลคืออะไรกันแน่…จุดประสงค์ที่ซ่อนไว้เบื้องหลังคืออะไร…” หลิงม่อคิดเงียบๆ อยู่ในใจ
……
“เร็วจริงๆ…” ภายในห้องหนึ่ง หัวหน้าทีมนิพพานพิงแนบอยู่ข้างกำแพง มือหนึ่งกำลังปิดตา อีกมือหนึ่งกำลังปาดเหงื่อ “สองครั้งติดต่อกันแล้วนะ…กำชับไปแล้วเชียวว่าให้ป้องกันให้ดีที่สุด ถ้าถูกอีกฝ่ายจับได้ก็แค่ถูกฆ่าตายเท่านั้นเอง และหากโดนแค่คนใดคนหนึ่ง พวกเขาก็จะยังยื้อเวลาไว้ได้ แต่ที่น่าเจ็บใจคือพวกเขาทั้งหก ไม่สิ…หลักๆ แล้วก็หลิงม่อกับอีกสองคนนั่น การร่วมมือกันของพวกเขาไม่มีจุดบอดสักนิดเลยได้ยังไงกัน?!”
“ถึงขนาดที่ว่า…เหมือนเป็นการลงมือของคนเดียวกันเลย!”
……………………………………….