แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1162 จู่ๆ ก็บ้าบิ่น ต้องมีเบื้องหลังแน่นอน
สองผู้ลอบโจมตีที่เพิ่งตายคามือพวกหลิงม่อ ล้วนเป็นคนที่หัวหน้าทีมนิพพานส่งไป…
“หากฆ่าใครคนใดคนหนึ่งได้สำเร็จ หรือทำให้สักคนบาดเจ็บสาหัสได้…คงจะดีไม่น้อยเลย แต่ถึงแม้ว่าจะทำไม่สำเร็จ ฉันก็ยังสามารถใช้ดวงตาคู่นี้ฉวยโอกาสลอบดูกลยุทธ์การโจมตีของพวกเขาได้ ให้ตายสิ…เสี่ยวอวี่ที่รับผิดชอบการบล็อกสัมผัสทั้งห้า เธอต้องรู้อะไรแน่! แต่กลับไม่อยู่เป็นกองหนุนในเวลาที่ต้องการแบบนี้!” หัวหน้าทีมนิพพานคิดแล้วก็ของขึ้น
นอกจากอาการไม่พอใจ ลึกๆ แล้วหัวหน้าทีมผู้นี้ยังแอบซ่อนอาการสั่นระริกไว้ภายในใจด้วย…
“คิดว่าพวกเขาจะไม่ไปซะอีก และแม้ว่าจะเลือกไป ก็จะยิ่งใช้แผนการที่รอบคอบและซับซ้อนมากขึ้นไปอีกในการหยั่งเชิงพวกหลิงม่อ ถึงแม้แบบนี้ขอบเขตของสิ่งที่ฉันสามารถสังเกตเห็นจะน้อยลง แต่การรักษาชีวิตไว้นั้นย่อมเป็นเรื่องที่ต้องมาก่อนอยู่แล้ว…”
แต่ทว่า เจ้าสองคนที่ส่งไปลอบโจมตีนั่น…กลับทำให้หัวหน้าทีมนิพพานเกิดอาการหวาดหวั่นพรั่นพรึง!
การลอบโจมตีที่เรียบง่าย การจู่โจมที่บุ่มบ่าม…เจ้าสองคนนั่นดูๆ แล้วเหมือนจะต้องการข้อมูลมากกว่าเขาเสียอีก บุกเข้าไปอย่างไม่กลัวตาย สุดท้าย…ก็ไม่รอด ไม่ต้องนับเรื่องที่บุกออกไปทีละคน ถึงจะบุกออกไปพร้อมกันสองคนก็ไม่มีทางเอาชนะพวกหลิงม่อได้อยู่แล้ว
สิ่งที่ทำให้หัวหน้าทีมนิพพานอกสั่นขวัญหายที่สุดก็คือ สองคนนี้ไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างที่ต่อสู้ หรือจะเป็นวินาทีก่อนตายก็สุขุมนุ่มลึกเกินไป!
“ไม่สิ…นั่นไม่ใช่แค่อาการสงบ แต่มันคือ…การไม่แยแสเลยต่างหาก”
เรื่องอันน่าตกตะลึงนี้หันเหความสนใจของเขา แต่ถึงแม้เขาจะจับตาดูอยู่ตลอด ข้อมูลที่ได้ก็ไม่มากไปกว่านี้แล้ว เหตุผลจะเป็นอะไรได้ นอกจาก…การโจมตีที่รุนแรงดุดันของพวกหลิงม่อ
แค่เพียงเผยให้เห็นช่องโหว่นิดเดียว หลิงม่อที่หลบอยู่ด้านหลังก็จับจุดได้ทันที ไหนจะผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าคนด้านหลังคนที่รอใช้กลยุทธ์รัดคอนั่นอีก ไม่เหลือโอกาสให้ศัตรูสักนิด
“ไม่สิ…ถึงจะป้องกันอย่างดี แต่ดูจากการจู่โจมทุกรูปแบบของหลิงม่อ การทำให้เกิดช่องโหว่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พลังของเขารับมือยากลำบากนัก…”
หัวหน้าทีมนิพพานสะบัดหัวสองสามที “ไม่คิดให้วุ่นวายแล้ว… ไม่ว่าจะยังไง ขอแค่พวกเขายินดีให้ความร่วมมือก็พอ อีกอย่างคิดในแง่ดี…พวกเขาไม่กลัวตายกันขนาดนี้ก็นับเป็นเรื่องดีสำหรับฉันอยู่แล้ว!” เขากระตุกยิ้มมุมปากด้วยท่าทางเยือกเย็น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ใช่แล้ว..ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นหรือจะตายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย? สิ่งสำคัญที่สุดคือ…ต้องส่งหลิงม่อไปตายให้ได้!”
“ฉันไม่อยากเจอประสบการณ์นั้นอีกแล้ว… พอๆ เลิกคิดได้แล้ว” สีหน้าท่าทางของหัวหน้าทีมนิพพานเปลี่ยนอีกครั้ง ราวกับว่าเขาย้อนกลับไปยังสถานการณ์ที่สยดสยองน่ากลัว ในชั่วพริบตาสีหน้าที่หวาดหวั่นก็ปรากฏขึ้น ไม่กี่วินาทีต่อมา…เขาก็เปลี่ยนมาเป็นท่าทางดุร้ายทันที “พวกแกกล้ากันขนาดนี้ ลองมาหยุดอยู่ข้างหน้าฉันนี่… ฮ่าๆๆๆ! ในเมื่อนอกจากฉันก็ไม่มีใครกลัวตาย…แบบนี้ก็เข้าทางฉันล่ะ”
ตุบ!
หลิงม่อเหยียบอยู่บนขั้นบันไดสุดท้ายที่จะขึ้นไปสู่ชั้นสี่ เขาหยุดอยู่บนปากบันไดอย่างระวัง ไม่ได้รีบเคลื่อนไหว
หลังจากนั้นไม่นาน เงาสะท้อนของเสี่ยวเฮยก็ปรากฏขึ้นข้างกายหลิงม่อ
“เป็นยังไงบ้าง?” ซย่าน่าที่เห็นเสี่ยวเฮยปรากฏก็รีบถามขึ้น
“บนทางเดินไม่มีสิ่งผิดปกติอะไร อย่างน้อยก็จากที่เห็นน่ะนะ” หลิงม่อพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ระดับการปิดกั้นจิตของชั้นนี้…แข็งแกร่งกว่าสามชั้นที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก แม้แต่เสี่ยวเฮยก็อยู่ห่างจากเขาได้ไม่เกินสิบเมตร และสิ่งที่เห็นก็ใช่ว่าจะเป็นของจริง
“จากที่เห็นงั้นเหรอ?” กู่ซวงซวงเข้าใจในสิ่งที่หลิงม่อพูดทันที เธอปิดตาลองดูเองบ้าง แต่แล้วก็เบิกตาขึ้นพร้อมส่ายหัว พูดด้วยสีหน้าซีดเซียวว่า “ไม่ได้ ฉันมองทะลุไปไม่ถึง ตอนที่มันสั่นไหวเล็กน้อยฝ่ายตรงข้ามก็รีบเพิ่มการป้องกันทันที ฉันไม่สามารถเปิดทางได้สำเร็จแม้แต่ช่องเดียว”
กู่ซวงซวงพูดด้วยสีหน้าละอายใจ หลังจากที่ตามเข้ามา เธอก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ถ้าจะให้พูดคือเปลืองพื้นที่เพิ่มไปหนึ่งคน และทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง ซึ่งก็มีประโยชน์อยู่…อย่างเช่นตอนแรกที่ฝ่ายตรงข้ามทำให้เธอตกอยู่ในสภาวะลืมเลือน มันย่อมดีกว่าถ้าเทียบกับการที่คนอื่นตกอยู่ในสภาวะนั้น ประโยชน์ข้อที่หนึ่งคืออัตราการตกอยู่ในอันตรายของเธอต่ำกว่า ประโยชน์ข้อที่สองคือเธอฟื้นคืนสติได้เร็วกว่าคนอื่น
แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่การถูกสุ่ม พวกซย่าน่าและหลิงม่อมีพลังจิตที่เชื่อมโยงกัน ดังนั้นอาการ “ลืมเลือน” ของพวกเขาจึงมีโอกาสสำเร็จน้อยมาก ทางฝั่งสวี่ซูหาน…เธอเป็นคนที่ขี้หวาดระแวงอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีสมาธิตลอดเวลา สุดท้ายคนที่มีโอกาสโดนก็เหลือแค่กู่ซวงซวง
แต่ยังไงซะนั่นมันก็เป็นความคิดปลอบประโลมใจ ดังนั้นหลังจากที่กู่ซวงซวงรู้สึกละอายใจเธอก็เม้มริมฝีปากแน่นเตรียมพร้อมที่จะลองอีกครั้งหนึ่ง
“ให้ฉันทำดีกว่า” หลิงม่อพูดขัดขึ้นซะก่อน “ฝ่ายตรงข้ามบีบให้เราขึ้นมา แล้วยังเตรียมพร้อมรับมือเป็นอย่างดี… หากพวกเราไม่ให้ของขวัญในการพบปะครั้งนี้ก็คงจะดูไร้มารยาท”
เจ้าพวกที่ซุ่มจู่โจมไม่กลัวการถูกโจมตีทางจิต แต่ถ้าเป็นม่านพลังสกัดกั้นก็คงกลัวสินะ…
หลิงม่อที่สูดหายใจเข้าหนึ่งเฮือกยกมือห้ามซย่าน่า “ฉันเอง การเผาผลาญพลังของเธอมากไป เอามาใช้เวลานี้มันน่าเสียดาย”
ซย่าน่าทำได้แค่พยักหน้า แล้วจึงก้าวถอยหลังไปอยู่ระหว่างหลี่ย่าหลินและเย่เลี่ยน
เธอมองไปทางด้านข้างอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับสังเกตเห็นเย่เลี่ยนที่กำลังจ้องมองไปทางด้านหน้าด้วยอาการเหม่อลอย รูม่านตาเธอขยายและหดตัวลงไม่หยุด
“พี่เย่เลี่ยน…น่าจะเห็นอะไรบางอย่างใช่ไหม? น่าเสียดายที่เธอบอกพวกเราไม่ได้ ไม่รู้ว่าเธอจะอยู่ในอาการแบบนี้อีกนานแค่ไหน…” แววตาของซย่าน่าปรากฏความสับสนอยู่แวบหนึ่ง ระหว่างเธอกับหลี่ย่าหลิน คงจะมีแค่เธอเนี่ยล่ะที่มีความคิดคล้ายมนุษย์มากขนาดนี้
“ฮู่ว์…”
หลิงม่อไม่ได้ปิดตาลง แต่ในตอนนี้เสี่ยวเฮยผสานเข้ากับร่างของเขาเรียบร้อยแล้ว
นั่นหมายความว่า หลังดวงตาที่เบิกอยู่ของเขายังคงมีดวงตาพลังจิตอีกหนึ่งคู่กำลังสังเกตการณ์บริเวณรอบๆ
“ในเมื่อจะตรวจหาทั้งที งั้นก็ตรวจหาระยะไกลเสียเลย…”
สมาธิของหลิงม่อพุ่งกลับมารวมกันอย่างรวดเร็ว เสียงข้างตัวเริ่มไกลออกไปทุกที แม้แต่เสียงจังหวะการเต้นของหัวใจก็เริ่มหายไปช้าๆ…
บรรยากาศเงียบสงัด ภาพที่อยู่ตรงหน้าเขาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง…
พรึบ~ พรึบ~
ภายใต้ภาพที่สั่นไหว ท่ามกลางความเลือนราง หลิงม่อพบบางจุดที่แตกต่าง…
แต่ไม่นาน ภาพนั้นก็กลับมาหยุดนิ่ง
“ยากอย่างที่คิดไว้เลย…” ท่าทางของหลิงม่อไม่ได้แปลกใจเสียเท่าไหร่
ถ้าเทียบกับพลังแห่งการฉีกแยก แน่นอนว่าดาบฟันวิญญาณของซย่าน่าแข็งแกร่งกว่า จิตและกายของเธอรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ได้รับผลกระทบจากการบล็อกน้อยที่สุด แต่อย่างกู่ซวงซวงและหลิงม่อล้วนแล้วแต่ต้องปล่อยพลังจิตออกไปภายนอก
เสี่ยวเฮยที่รวมเป็นหนึ่งกับเขาแบบนี้ แท้จริงแล้วเป็นแค่การเสริมประสิทธิภาพประเภทหนึ่งเท่านั้น เทียบกับซย่าน่าที่เข้าถึงได้ด้วยวิวัฒนาการ…ไม่ติดเลยสักนิด
“แต่ก็เพราะเหตุผลนี้ พลังของซย่าน่าจึงไม่ควรเปิดเผยง่ายๆ แล้วยังจะยัยคนนั้นอีก…ถ้าแมงมุมจับสถานการณ์ของเธอได้ล่ะก็ เป็นไปได้ว่า…”
……………………………………….