แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1164 ฉันอยู่ข้างหลังแก
“ระวัง!” สวี่ซูหานที่เดินตามหลังพลันหวีดร้องตกใจ
หลิงม่อเสียวสันหลังวาบ ได้ยินเพียงเสียง “โครม” ร่างกายของเขาก็พลันเซอย่างควบคุมไม่ได้
“แกร่งมาก!”
หลิงม่อเอี้ยวตัวแนบแผ่นหลังชิดผนัง จากนั้นก็มองไปยังประตูที่ถูกเตะปลิวบานนั้นอย่างระแวดระวัง
“ตามคาด เจ้าพวกที่ซุ่มอยู่บนชั้นนี้…ต่างกับเจ้าพวกที่เราเจอก่อนหน้านี้จริงๆ แค่พละกำลังขุมนี้ก็น่าทึ่งมากแล้ว! แม้แต่พลังป้องกันรอบตัวของเราก็ถูกโจมตีจนแตกกระเจิง อีกทั้งแค่พลังส่วนเกินยังสะเทือนรุนแรงจนแขนเราชาไปหมด…”
เขาขยับแขนไปมาเล็กน้อย สีหน้าตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับดูไม่ได้แปลกใจมากนัก…
“ถึงแม้หวังว่าจะแก้ปัญหานั้นได้ในคราวเดียว แต่…เราก็เตรียมรับมือกับเหตุการณ์อย่างนี้ไว้แล้วเหมือนกัน เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด แม้ว่าพวกซย่าน่าจะอยู่แนวหน้า สวี่ซูหานระวังหลัง พวกเขาก็ยังเล็งเราเป็นเป้าหมายโจมตีอยู่ดี แต่เมื่อเป็นอย่างนี้…” หลิงม่อหันไปมองเหล่าซอมบี้ที่หยุดเดินแล้ว พลางลอบแสยะยิ้มเย็นในใจ “แกก็ถูกล้อมแล้วล่ะ…”
“หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ…พวกแก…”
ขณะที่เขาแนบหลังชิดผนัง ประตูบานที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามก็ถูกถีบออก
ผู้ที่ลงมือคือหลี่ย่าหลิน ขณะที่ถีบประตู เธอใช้มือเกาะขอบประตูด้านบนและโหนตัวขึ้นไป ทันทีที่ประตูเปิดออก “ผู้รอดชีวิต” ที่ถือมีดไว้เช่นเดียวกันก็ปรากฏตัวขึ้น
ภาพตรงหน้าที่ว่างเปล่าไร้เงาคนทำให้การเคลื่อนไหวของฝ่ายนั้นชะงัก ไม่รอให้เขาทันตั้งตัว หลี่ย่าหลินก็กระโดดลงมาจากข้างบนอย่างรวดเร็ว กระทั่งในขณะที่อีกฝ่ายยังไม่ทันมองเห็นร่างเธออย่างชัดเจน วินาทีต่อมาเสียง ‘สวบ’ ก็ดังขึ้นในห้องแล้ว
“ผู้รอดชีวิต” ยังคงยืนอยู่ในท่าเดียวกับตอนที่ปรากฏตัว แต่หลี่ย่าหลินกลับยืนเบี่ยงตัวอยู่ด้านข้างอีกฝ่าย ราวกับเพิ่งปรากฏตัวอย่างไรอย่างนั้น
“ฉึก!”
รอยสีแดงเส้นหนึ่งค่อยๆ ปรากฏเด่นชัดบนลำคอ เมื่อกะโหลกศีรษะหล่นตุบลงไปบนพื้น เลือดสดๆ พลันพุ่งกระฉูดอย่างบ้าคลั่ง
“ระดับความเร็วและความคล่องแคล่วของรุ่นพี่นี่มัน…ทันทีที่วิวัฒนาการ ก็พัฒนาด้านคุณภาพอย่างก้าวกระโดดมากกว่าก่อนหน้านี้ตามคาดเลย…” หลิงม่อลอบตะลึงในใจ
อ่อนพลิ้วราวอสรพิษ เคลื่อนไหวดั่งเงา…ตอนนี้ ทั้งสองลักษณะเด่นนี้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว
ถ้าหากว่ากดปุ่ม ‘รีเพลย์’ ภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดเมื่อกี้ให้ช้าลงอีกสักสิบหรือยี่สิบเท่า ก็จะเห็นว่า…เมื่อกี้ “ผู้รอดชีวิต” คนนั้นไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ เสี้ยววินาทีที่หลี่ย่าหลินกระโดดลงมา เขาก็มีปฏิกิริยาเตรียมเคลื่อนไหวเหมือนกัน ทว่าในพริบตาเดียว หลี่ย่าหลินก็ปรากฏตัวตรงหน้าเขา กระทั่งยังคลี่ยิ้มให้อีกด้วย
“ต้องโจมตี!”
ขณะที่เขาเตรียมจะโจมตีอย่างแท้จริง หลี่ย่าหลินกลับหายตัวไปจากครรลองสายตา…ในช่วงเวลาที่หลี่ย่าหลินหายตัวไปเพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที คอของเขาก็ถูกบั่นขาดจากร่างอย่างรวดเร็ว
หนึ่งดาบอันนุ่มนวล…ราวกับจูบจากอสรพิษที่ตวัดไหวเพียงครั้งก็นำมาซึ่งผลลัพธ์ถึงชีวิต
และในขณะเดียวกัน “ผู้รอดชีวิต” อีกหนึ่งคนก็ถูกซย่าน่าหมายหัวแล้วเช่นกัน
“อืม…จนถึงตอนนี้ สถานการณ์ทุกอย่างอยู่ในความคาดหมาย ถึงแม้เจ้าพวกนี้จะหมายหัวเรา แต่ขอเพียงระวังตัวมากพอ พวกเขาก็จะเข้ามาประชิดตัวเราไม่ได้ และด้านอื่นพวกเขาก็น่าจะถูกซย่าน่ากับรุ่นพี่กำราบ เดาว่าทางข้างหน้าก็น่าจะมีเจ้าพวกที่เหมือนกันนี้อยู่อีก…” หลิงม่อหันไปมองอีกด้านหนึ่งของทางเดิน…ผู้มีพลังจิตคนนั้นซ่อนตัวอีกครั้งแล้ว แต่ว่า… “ชั้นนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว…ถ้าเป็นเราละก็…”
หลิงม่อพลันหมุนกายเปลี่ยนทิศ พุ่งตัวย้อนกลับไปทางเดิม มุ่งหน้าไปที่ปากบันได ขณะเดียวกัน หนวดสัมผัสของเขาพุ่งพรวดออกไปรอบตัวอย่างบ้าคลั่งโดยมีเขาเป็นใจกลาง และแม้ว่าระดับความเร็วในการวิ่งเต็มกำลังจะยังเทียบไม่ได้กับซอมบี้ธรรมดา แต่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมสำหรับคนธรรมดาแล้ว ระยะทางสั้นเพียงเท่านี้ เกรงว่าใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็น่าจะพุ่งตัวไปถึง
“แย่แล้ว ทำไมถึงได้วูบไปอีกแล้วล่ะ! แม่งเอ๊ย…ถูกจู่โจมอีกแล้ว! คนพวกนั้นทำไมถึงได้ไร้ประโยชน์ขนาดนี้วะ!” หัวหน้าทีมนิพพานวิ่งหนีอย่างทุลักทุเล พลางด่ากราดไปด้วย เขาได้รับบาดเจ็บค่อนข้างหนัก ตอนนี้จึงเริ่มมีอาการมึนเบลอเล็กน้อย
“ขอแค่ออกห่างจากพวกนั้นก็พอแล้ว…สถานที่เฮงซวยนี่สภาพแวดล้อมแย่เกินไปแล้ว! ถ้าหากว่าสามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำว่าพวกหลิงม่อจะมาจากทิศไหน พวกเราก็คงออกไปดักซุ่มรอระหว่างทางได้แล้ว! ทั้งที่เฮลิคอปเตอร์ได้ยินและมองเห็นได้จากที่ไกลๆ แท้ๆ…บ้าเอ๊ย! ถ้าฉันได้สถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่านี้ล่ะก็…”
หัวหน้าทีมนิพพานเร่งความเร็วในการวิ่งหนีให้เร็วขึ้นอีกเล็กน้อย ถึงแม้จะเป็นเพียงการสูญเสียสติและเกิดอาการวูบไปชั่วขณะ แต่เขารู้สึกได้รางๆ ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก
“ไม่สิ…ถึงหมอนั่นจะตามมาแต่ก็ต้องใช้เวลา…ระหว่างทางยังมีคนอื่นดักซุ่มอยู่…แต่ว่า พวกผู้หญิงที่หมอนั่นพามาด้วยแกร่งเกินไปไหมวะ! ข้อมูลสำคัญขนาดนี้กลับไม่บันทึกไว้ในรายงานซักนิด!”
ในเวลานี้เอง ด้านหลังของหัวหน้าทีมนิพพานที่กำลังจะวิ่งลงไปที่ชั้นสอง เสียงพูดที่ทำให้เขาขนลุกซู่ไปทั้งตัวพลันดังขึ้น…
“ฉันเดาไม่ผิดจริงๆ แกเป็นมนุษย์ตามคาด”
“…ทำไมกัน?!”
หัวหน้าทีมนิพพานสะท้านวาบไปทั้งร่าง เขาค่อยๆ หมุนตัวกลับไป
“อย่าขยับ” หลิงม่อพูดขึ้นทันที
หัวหน้าทีมนิพพานพลันชะงักกึก พลางลอบกำหมัดแน่น
ในขณะที่ความเจ็บปวดถูกเบี่ยงเบนไปยังฝ่ามือ สติของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นคืน
ชั้นบน…คนที่กระโจนออกมาล้วนถูกขัดขวางไว้แล้ว ไม่นับรวมเด็กสาวที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงกับผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้น ฝั่งหลิงม่อมีกำลังต่อสู้ทั้งหมดสามคน และสองในสามคนนั้นก็ยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย นอกจากนี้ หลิงม่อที่ไม่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิดกลับเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้อย่างน่าประหลาด
หัวหน้าทีมนิพพานเลื่อนสายตาไปยังเหนือศีรษะของหลิงม่อ…และเพียงแวบแรก เขาก็มองเห็นตำแหน่งที่หลิงม่อยืนอยู่…
“ไม่คิดเลยว่าหมอนั่นจะไม่ยอมเผยตัว…”
เขายืนอยู่บนขั้นบันได ส่วนหลิงม่อกลับยืนหลบอยู่หลังมุมกำแพง…
“แย่แล้ว…” เหงื่อเย็นพลันไหลอาบหน้าผากของเขา
และในตอนนี้เอง หลิงม่อก็เปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง
“อืม…คนที่คอยสอดส่องพวกฉันก็คือแกจริงๆ ด้วยสินะ”
เมื่ออยู่ห่างกันใกล้ขนาดนี้ และภายใต้สถานการณ์ที่ม่านพลังสกัดกั้นถูกลดทอนอานุภาพ สัมผัสรู้ของหลิงม่อก็ว่องไวแม่นยำขึ้นทันที
“ขณะที่ศัตรูปรากฏตัวกะทันหัน การตอบสนองแรกของผู้มีพลังจิตที่ไม่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิดแบบแกควรจะเป็นรีบพุ่งตัวหลบ หรือไม่ก็ใช้วิธีการป้องกันตัวบางอย่างไม่ใช่เหรอ? แต่นี่แกกลับหมุนตัวหันกลับมา…”
หลิงม่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “ถ้าให้ฉันเดาล่ะก็…แกคงคิดจะสบตากับฉันตรงๆ ล่ะสิ?”
หัวหน้าทีมนิพพานไม่พูดอะไร แต่ยิ่งได้ยินหลิงม่อพูด ในใจเขาก็ยิ่งตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าหมอนี่สามารถเดินเข้าออกนิพพานสำนักงานใหญ่ได้…ไม่ใช่คนธรรมดาตามคาด…
คนที่สามารถคาดเดาเหตุการณ์และให้หลักเหตุผลได้นั้นล้วนไม่ใช่เรื่องน่าทึ่ง แต่คนที่ยืนหยัดในการตัดสินใจของตัวเองได้ถึงเพียงนี้ต่างหากที่ไม่ธรรมดา
เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความผิดพลาด ก็คือชีวิตของตัวเอง…
“ไม้ตายที่ใช้ลอบโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ถูกมองออกซะแล้ว…”
หลิงม่อยังคงพูดต่อไป “ความจริงเมื่อกี้ฉันยังไม่แน่ใจหรอกนะ แต่พอแกรีบสอดส่องฉัน ฉันก็มั่นใจทันที เพราะถ้าหากแกแค่อยากรู้ตำแหน่งของฉันอย่างเดียว อาศัยเพียงพลังสัมผัสรู้ก็น่าจะพอแล้ว แน่นอนว่าเพราะพลังสัมผัสรู้ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของอีกคน แกก็เลยต้องอาศัยการสอดส่องเพื่อยืนยันว่าฉันกำลังมองแกอยู่หรือไม่…”
—————————————————————————–