แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1167 หันมาเล่นงานคนของตัวเอง
เจ้าหมอนี่…
น้ำเสียงของหลิงม่ออาจฟังดูผ่อนคลาย แต่ความจริงแล้วในใจกลับตึงเครียดมาก
สถานการณ์ไม่ค่อยดีเอาซะเลย…
“เป็นเพียงหนังหุ้มสินะ…ถ้าอย่างนั้นเขาก็เป็นเหมือน ‘ผู้รอดชีวิต’ พวกนั้นงั้นเหรอ? ภายนอกเหมือนคน แต่ความจริงข้างในกลับถูกยัยแมงมุมตัวนั้นควบคุมไปแล้ว…แต่ดูจากที่แม้แต่เนื้อกายก็ยังถูกปรับโครงสร้างใหม่ เรียกพวกเขาว่าหุ่นเชิดคงจะเหมาะกว่า…”
หลิงม่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปิดปากพูดขึ้นว่า “แกยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะ ทำไมล่ะ ไม่อยากคุยกับฉันงั้นเหรอ? แต่จากที่ฉันเห็น ตอนนี้แกน่าจะรู้สึกกลัวอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะยังไงแผนลอบโจมตีของแกก็ล้มเหลวไปแล้ว…ดังนั้นก่อนที่แกจะคิดแผนใหม่ได้ สู้คุยกับฉันฆ่าเวลาไปก่อนเป็นยังไง? พวกเราเองก็ถือว่าไม่ได้เจอกันนานแล้วเหมือนกันนะ…”
“หมอนี่จะอวดดีเกินไปแล้ว!” หัวหน้าทีมนิพพานคำรามต่ำ
ทว่า ที่อีกฝ่ายพูดกลับเป็นความจริงทั้งหมด…
ข้อได้เปรียบที่หลิวหยางลอบสร้างขึ้นมา ถูกหลิงม่อพูดเปิดโปงในประโยคเดียวเสียแล้ว ตอนนี้หลิงม่อรู้ตัวแล้ว หากคิดจะเข้าใกล้เขาอีกครั้งคงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป และที่แย่ที่สุดก็คือ การต่อสู้ชั้นบนคงดำเนินต่อไปได้อีกไม่นาน ทันทีที่เด็กสาวกลุ่มนั่นวิ่งลงมารวมกลุ่มกับหลิงม่อ คิดจะฆ่าหลิงม่อคงไม่ใช่เรื่องง่ายดายอีก กระทั่งหากพูดให้ถูกก็คือ แม้แต่ชีวิตของหัวหน้าทีมนิพพานเองก็จะมีอันตรายไปด้วย
เขาเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดก็คือศัตรูอย่างพวกซย่าน่า…พลังโจมตีอันน่าพรั่นพรึงอย่างนั้น ไม่ต่างจากสัตว์ประหลาดเหล่านั้นที่เขาเคยเห็นเลยซักนิด…
ส่วนหลิวหยาง…เขาไม่มีกะจิตกะใจห่วงความเป็นความตายของหมอนั่น ทว่าจะให้ดีที่สุดเขาอยากให้หมอนั่นฆ่าหลิงม่อซะ จากนั้นก็ขวางพวกซย่าน่าเอาไว้…นี่ต่างหากคือผลลัพธ์ที่หัวหน้าทีมนิพพานคาดหวังจากตัวเขามากที่สุด
“เอาล่ะ แกจะพูดอะไร” หลิวหยางพิจารณาครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบ
หัวหน้าทีมนิพพานพลันขมวดคิ้ว…นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เขาคาดว่าจะเกิดขึ้นเลยนี่…
“แกตอบคำถามเมื่อกี้ของฉันก่อนสิ” หลิงม่อพูดขึ้น
“เจ้าหลิงม่อนั่น…เขาพูดจาอย่างนั้น อีกเดี๋ยวหลิวหยางต้องเดือดดาลแน่ๆ หลิวหยางไม่ได้โง่ จะยอมทำตัวว่าง่ายขนาดนั้นได้ยังไง?…” หัวหน้าทีมนิพพานพึมพำ
“ได้ยินแกพูดอย่างนี้ แสดงว่าแกคงเจอคนอื่นมาแล้วสินะ? ถ้าอย่างนั้นก็ดี ฉันจะได้อธิบายให้แกฟังง่ายๆ” หลิวหยางบอก
“…” หัวหน้านิพพานได้ยินดังนั้นก็เกือบสำลักน้ำลายตัวเอง
ไม่คิดเลยว่าจะทำตัวว่าง่ายขนาดนั้นจริงๆ…ศัตรูถามอะไรเขาก็ตอบ…
ทว่าเมื่อหลิวหยางอ้าปาก หัวหน้านิพพานก็อึ้งงันไป…
อยู่ๆ เขาก็ได้ยินไม่ชัดเจน…
ทั้งที่รู้ว่าหลิวหยางกำลังพูดอยู่แน่ๆ และเขาเองก็ได้ยินเสียง แต่กลับจับใจความไม่ได้เลย
ความรู้สึกอย่างนี้ เหมือนกำลังฟังเสียงจากแผ่นซีดีเก่าๆ ที่เป็นรอย ไม่เพียงรู้สึกรำคาญหู แต่ยังให้ความรู้สึกที่ประหลาดมากอีกด้วย
แต่ไม่นานหัวหน้าทีมนิพพานก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นฝีมือของเวินเสี่ยวอวี่แน่ๆ…
ก่อนหน้านี้ เขาไม่ค่อยรู้แน่ชัดว่าเวินเสี่ยวอวี่มีพลังพิเศษที่น่าทึ่งขนาดไหนกันแน่ แต่จนถึงวันนี้ เขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย
พลังที่แข็งแกร่ง รวมถึงความสามารถในการควบคุมอันยอดเยี่ยม…และแม้แต่ม่านพลังสกัดกั้นทั้งผืน เธอก็เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้
สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือ…ความจริงแล้วหัวหน้าทีมนิพพานไม่รู้เลย ว่าเธอใช้วิธีอะไรในการทำให้พลังของเธอขยายขอบเขตไปได้กว้างขนาดนี้…
“เกิดอะไรขึ้น? เวินเสี่ยวอวี่ นี่เธอหมายความว่ายังไงกัน! ทำไมต้องสกัดกั้นฉันออกมาด้วยวะ!”
แต่เดือดดาลก็ส่วนเดือดดาล สุดท้ายหัวหน้าทีมนิพพานก็ทำได้เพียงยืนกล้ำกลืนความโกรธอยู่ที่เดิม เขาคิดไม่ถึงว่าเวินเสี่ยวอวี่ที่ก่อนหน้านี้ไม่ยอมเสี่ยงอันตรายดึงพลังออกมาสกัดกั้นหลิงม่อโดยตรง กลับเลือกใช้พลังในเวลานี้…อีกทั้งคนที่ถูกสกัดกั้น กลับเป็นหัวหน้าทีมอย่างเขา…
“เอ๊ะ! จุดอ่อนม่านพลังเพิ่มมากขึ้นแล้ว!” เฮยซือที่กำลังต่อล้อต่อเถียงกับอวี๋ซือหรานไม่หยุดพลันชะงักงัน จากนั้นก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ
“เธอมันยัยหมาที่หูงอกผิดที่…เดี๋ยวนะ หมายความว่ายังไง?” อวี๋ซือหรานงงงัน
“หมายความว่า…จุดอ่อนเมื่อกี้อาจจะขยายใหญ่ขึ้น! ยัยโง่ เธอรีบกลับไปเร็ว ไม่แน่ว่าพวกเราอาจพาพวกเขาไปรวมตัวกันที่จุดเดียวกันได้!” เฮยซือหันไปบอก
ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเป็นฝ่ายจู่โจมก่อนแล้ว อีกทั้งศัตรูก็ไม่น่าจะส่งคนมาอีก แต่ทุกเรื่องกันไว้ย่อมดีกว่าแก้ หากมีโอกาสลดความเสี่ยง เฮยซือไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดมือไปแน่…
ทว่าไม่นาน สีหน้าตื่นเต้นบนใบหน้าของเฮยซือพลันจางหายไป…
“อีกฝ่ายรู้ทั้งรู้ว่าพวกเราอาจใช้ประโยชน์จากจุดนี้ แต่กลับยังยอมเสี่ยงอันตรายอย่างนี้…ทำไมกันล่ะ? เกิดอะไรขึ้นกับฝั่งเจ้านายอย่างนั้นเหรอ…”
…………
“จุ๊ๆ แกนี่มือเติบใจใหญ่จริงๆ เลยนะ” หลิงม่อได้ยินหลิวหยางพูดอย่างนั้น ก็เข้าใจบางเรื่องทันที บทสนทนาของพวกเขาต่อจากนี้ เกรงว่าไม่สามารถให้มนุษย์ผู้นั้นได้ยิน …
“เพราะว่าฉันยังไม่อยากฆ่าเขา…แต่ว่าเขาก็ทำให้ฉันผิดหวังไม่น้อย ตอนแรกฉันหวังกับเขาเอาไว้สูงมากทีเดียว เป็นผู้มีพลังจิตเหมือนกัน เขาควรจะผลาญพลังของแกให้ได้มากที่สุด น่าเสียดายที่ฉันมองผิดไป ตามคาด…พวกมนุษย์แม้ว่าจะเคลื่อนไหวด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความปรารถนาแรงกล้า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าความตายย่อมหวาดกลัวและถอยหนี คนที่ยอมสู้สุดตัวเพื่อแลกสิ่งที่อยากได้ ยังคงมีน้อยมาก บางที…นี่อาจเป็นเหตุผลที่ซอมบี้ถูกสร้างขึ้นมาแทนที่มนุษย์อย่างพวกแกก็ได้นะ” หลิวหยางบอก
“แต่พวกแกก็ยังหมายตาร่างกายของมนุษย์ไม่ยอมเลิกรางั้นเหรอ? ฉันล่ะแปลกใจจริงๆ…ตามหลักแล้ว ตอนนี้เป้าหมายหลักในการล่าของพวกแกคงไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้มนุษย์เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่พยายามเอาตัวรอดมากกว่า ไม่มีทั้งอันตราย และแทบไม่มีตัวตน…” น้ำเสียงของหลิงม่อยามพูดประโยคนี้เต็มไปด้วยความจนใจ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน เมื่อก่อนหากเดินไปในตัวเมือง ผ่านไปไม่นานก็จะเจอกับผู้รอดชีวิตกลุ่มหนึ่ง แต่ตอนนี้…เกรงว่าเหล่าคนที่ตามหาค่ายผู้รอดชีวิตไม่เจอคงตายกันไปหมดแล้ว…
หลิวหยางกลับเผยสีหน้าผิดคาดออกมาแวบหนึ่ง ทว่าไม่นานก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วบอกว่า “ดูเหมือนว่าแกจะรู้สถานการณ์เป็นอย่างดี…แต่ว่า แกยังคงรู้น้อยไปหน่อย ก็ไม่แปลก แกเป็นมนุษย์ ไม่สามารถท่องโลกได้อย่างอิสระเหมือนพวกฉัน แน่นอนว่าฉันเองก็เพิ่งมารู้มากขนาดนี้ตอนที่เป็นอย่างนี้เหมือนกัน”
เป็นอย่างนี้? หลิงม่อพลันตื่นตระหนก…ที่เขาสงสัยเป็นเพียงส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งกลับทำไปเพื่อต้องการหยั่งเชิงยัยแมงมุมตัวนี้! เพราะยังไงเรื่องอื่นก็ยังอีกยาวไหล แต่ยัยแมงมุมตัวนี้…เธอกลับเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา และวิวัฒนาการของพวกเย่เลี่ยนโดยตรง!
“มนุษย์นั้นอ่อนแอที่สุด…แต่ที่แกพูดก็ไม่ผิด การต่อสู้ของพวกฉันกับสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่พวกนั้นรุนแรงยิ่งกว่า อาจเป็นเพราะอย่างนี้ การต่อสู้ภายในเผ่าพันธุ์ของพวกฉันเลยพลอยลดลงตามไปด้วย แต่สาเหตุที่รสชาติของมนุษย์ยอดเยี่ยมที่สุดนั้นย่อมมีเหตุผล” หลิวหยางบอก “ฉันวิวัฒนาการจนกลายเป็นอย่างตอนนี้ไปแล้ว…แต่ว่า จุดอ่อนของฉันกลับเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ”
“จุดอ่อน…” หลิงม่อตะลึง เขารู้สึกได้ว่าตัวเองคาดเดาบางอย่างได้รางๆ แล้ว
“ใช่แล้ว…ไม่ใช่แค่พวกฉัน ฉันคิดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งสายพันธุ์…พวกฉันเรียกพวกมันว่าสิ่งมีชีวิตด้านมืด…พวกมันเองก็น่าจะสัมผัสได้แล้วเหมือนกัน…”