แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1171 การต่อสู้บนอาคารทั้งสองชั้น
หนวดสัมผัสทางจิตรูปสสารเหล่านั้นแทงเข้าไปลึกเพียงหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น ไม่ได้สร้างบาดแผลสาหัสอะไรนัก แม้ทำให้หัวหน้าทีมนิพพานมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย แต่ในขณะที่พลังงานซึ่งหลอมรวมขึ้นเป็นหนวดสัมผัสสลายหายไป หลิงม่อก็ตระหนักได้ทันทีว่าบาดแผลเหล่านั้นกำลังสมานตัวอย่างรวดเร็ว…
คิดไม่ถึงว่าในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ เขาจะมีพลังป้องกันและพลังฟื้นตัวที่ร้ายกาจขนาดนี้แล้ว แค่จุดนี้ เขาก็แกร่งกว่าปรสิตพวกนั้นมากแล้ว
“ยุ่งยากล่ะสิ…” หลิงม่อขมวดคิ้วแน่น
และหลังจากที่หัวหน้าทีมนิพพานได้สติกลับคืนมาจากความตกตะลึง เขากลับไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ใบหน้าเขากลับยิ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ไม่นะ! ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้! หลิวหยาง…ไอ้สัตว์ประหลาด แกทำอะไรกับร่างกายฉัน!”
เขากรีดร้องสุดเสียง สายตาฉายแววแห่งความสิ้นหวัง บางทีเมื่อกี้เขาอาจเพ้อฝันอย่างมีความหวังไปตามสัญชาตญาณ แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายเขาในตอนนี้ กลับเหมือนกำปั้นหนักๆ ที่ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ แม้แต่ร่างกายยังถูกปรับโครงสร้างไปอย่างนี้แล้ว ยังจะเหลือความหวังอะไรอีกงั้นหรือ…
“นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่ากลายพันธุ์อีก…อยู่ๆ ร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ ระยะเวลาในการเน่าสลายก็ย่อมต้องเร็วขึ้นตามไปด้วย ไม่แน่ว่าอีกไม่นานฉันอาจต้องมองดูร่างกายตัวเองเน่าเปื่อยไปต่อหน้าต่อตาก็ได้…อ๊ากกก! ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย!” หัวหน้าทีมนิพพานกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้เขาไม่เคยศึกษาค้นคว้าเรื่องของซอมบี้และเชื้อไวรัสเป็นพิเศษ แต่เขาอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ ย่อมต้องมีความรู้พื้นฐานเหล่านี้อยู่แล้ว ทว่าเมื่อถึงเวลาอย่างนี้ ยิ่งรู้มาก กลับมีแต่ยิ่งทำให้เขาทุกข์ทรมานมากขึ้น
หลิวหยางฟังเสียงกรีดร้องที่ดังก้องอยู่ในทางเดินบันได พลางเอ่ยปากพูดเสียงเรียบว่า “ฉันให้แกคงสติสัมปชัญญะไว้ได้ ฉะนั้นแกต้องให้ความร่วมมือแต่โดยดี ไปจับหลิงม่อมาให้ได้ด้วยความสามารถทั้งหมด ฉันถึงจะให้โอกาสในการมีชีวิตรอดกับแก ร่างกายของแกอาจหลุดพ้นจากขอบเขตความเป็นมนุษย์ไปแล้ว แต่อย่างน้อยแกน่าจะยังสามารถใช้สมองคิดใคร่ครวญได้ว่าควรทำอย่างไร เอาล่ะ แกพิจารณาเอาเองแล้วกัน”
“เชี่ย เจ้าเล่ห์สุดๆ!” หลิงม่อลอบด่าขณะหลบอยู่ด้านหลังมุมกำแพง ทว่าขณะเดียวกัน เขากลับเริ่มเตรียมตัวอย่างเงียบๆ เช่นกัน ในเมื่อหนวดสัมผัสทำร้ายอีกฝ่ายไม่ได้ อย่างนั้นก็คงต้องหาวิธีอื่นแล้วล่ะ…
“เสี่ยวเฮย ออกมา!”
‘เอาล่ะ ต่อไปก็รอให้เขาขึ้นมาแล้วกัน…’
…………
หัวหน้าทีมนิพพานไม่ได้ใช้เวลาในการไตร่ตรองนานนัก…
“เทียบกับการต้องทนมองตัวเองตายอย่างน่าอนาถ…ฉันยอมกลายเป็นสัตว์ประหลาดเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปดีกว่า! ก็แค่ต้องกินคนไม่ใช่เหรอ? หากฉันกลายเป็นสัตว์ประหลาด มีอะไรบ้างที่ฉันทำไม่ได้…ใช่แล้ว ถ้าหากว่าฉันแข็งแกร่งขึ้น ฉันก็ไม่ต้องดิ้นรนออกมาเสี่ยงชีวิตในที่แบบนี้อีก หากเป็นมนุษย์แล้วต้องถูกบีบบังคับถึงขั้นนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าสมเพชหรอกหรือ ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำไปล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย…” พูดจบ เขาก็หัวเราะออกมาราวกับคนจิตวิปลาส “ตกลง ฉันจะทำสุดความสามารถ…ในเมื่อร่างกายของฉันกลายเป็นอย่างนี้ การโจมตีทางกายภาพของหลิงม่อก็ไม่อาจทำอะไรฉันได้อีก การโจมตีทางจิตก็ยากจะกำราบฉันได้ในเวลาสั้นๆ…หึๆๆ ขอเพียงฉันเข้าไปยืนตรงหน้าเขาได้…”
“ไปได้แล้ว” หลิวหยางกลับไม่แปลกใจ และไม่มีปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ เขาเพียงพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉย
ทว่าเพิ่งจะสิ้นเสียงพูดของเขา เสียงฝีเท้าชวนอึดอัดใจนั้นก็พลันรุนแรงขึ้นกว่าเดิม กระทั่งดังชัดเจนอยู่ข้างหูหลิงม่อ
ตึกๆๆ!
หลิงม่อยกมือปิดหูโดยสัญชาตญาณทันที เสียงนี้ราวกับมีคนเอาลำโพงมาจ่อข้างหูเขาอย่างไรอย่างนั้น
‘ที่แท้ไม่ใช่เพียงสามารถสกัดกั้นได้!’
หากพลังที่สามารถรบกวนประสาทสัมผัสทั้งห้าถูกนำมาใช้ อานุภาพก็จะร้ายแรงจนน่าทึ่ง
ชั่วระยะหนึ่ง ไม่ใช่เพียงหลิงม่อคนเดียวที่ได้ยินเสียงนี้ แต่ราวกับว่ามันสะท้อนก้องไปทั่วอาคารทั้งหลัง
ณ ชั้นบน พวกซย่าน่าที่กำลังโรมรันพันตีกับปรสิตเหล่านั้นพลันขมวดคิ้วและมองลงไปชั้นล่างทันที…
“เสียงนี้มัน…ดูเหมือนฝั่งพี่หลิงจะไม่ค่อยราบรื่นนัก!”
“พวกเราต้องเร่งมือแล้ว!”
“ไม่ได้การ เจ้าพวกนี้เริ่มระเบิดเส้นเลือดกันแล้ว”
“นี่มัน…พวกนี้มันตัวอะไรกันเนี่ย…” กู่ซวงซวงตะลึงงัน เธอไม่เห็นผู้ลอบโจมตีคนแรกสุด และผู้ลอบโจมตีกลุ่มถัดมา พวกซย่าน่าก็ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาระเบิดเส้นเลือด แต่หลังจากที่หลิงม่อวิ่งตามศัตรูลงไปชั้นล่าง เหล่าผู้ลอบโจมตีที่ดักซุ่มอยู่บนนี้ก็พากันกระโจนพรวดออกมาพร้อมกัน รูปแบบการต่อสู้เปลี่ยนจากพุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดชีวิตเป็นป้องกันตัวอย่างต่อเนื่อง คล้ายต้องการเหนี่ยวรั้งพวกเธอไว้ที่นี่
ซย่าน่ามองเจ้าพวกนี้ที่ล้อมหน้าล้อมหลังพวกเธอ พลันพูดเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า “เอาอย่างนี้ พวกเราจะพุ่งตัวฝ่าวงล้อมออกไป หลังจากที่ไปสมทบกับพี่หลิง ค่อยกันเจ้าพวกนี้ไว้ข้างหลัง ตอนนี้มีพลังสกัดกั้นอยู่ พวกเราเลยไม่สามารถสัมผัสรู้ได้ถึงสถานการณ์ของพี่หลิง…”
“เกรงว่าฉันจะปล่อยให้พวกเธอทำอย่างนั้นไม่ได้น่ะสิ” เสียงพูดไม่คุ้นหูพลันดังแทรกขึ้นมา
กู่ซวงซวงยังไม่ทันตั้งตัว เหล่าซอมบี้สาวที่เหลือก็รีบหันไปมองทันที แม้แต่ใบหน้าเหม่อลอยของเย่เลี่ยนก็ยังฉายแววเปลี่ยนไปชั่วขณะ…ย่อมไม่ใช่เพราะว่าการปรากฏตัวของอีกฝ่ายกะทันหันเกินไป แต่เป็นเพราะเธอสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเธอจากตัวเงาร่างนั้น
และคนอื่นๆ ก็สัมผัสได้ถึงอันตรายจากเงาร่างนั้นด้วยเช่นกัน…ถึงแม้ว่าเธอจะยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ก็ตาม…
“เธอเป็นใคร?” ซย่าน่าขมวดคิ้วบางๆ แล้วถาม
ผู้หญิงคนนี้…เข้ามาจากทางไหนกัน?
ไม่นาน ซย่าน่าก็เหลือบไปเห็นประตูบานหนึ่งซึ่งอยู่เยื้องออกไปด้านหลังของผู้หญิงคนนี้
ประตูบานนั้นถูกเปิดทิ้งไว้ กอปรกับช่วงเวลาที่ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัว จึงสามารถมั่นใจได้ว่าเธอเข้ามาจากทางนั้นแน่นอน
“ไม่ใช่มนุษย์…” ซย่าน่าได้ข้อสรุปทันที
ถึงแม้หากมองแค่ภายนอก ผู้หญิงคนนี้จะดูเหมือนมนุษย์มากกว่า “ผู้รอดชีวิต” พวกนี้ก็ตาม…
“ผู้รอดชีวิต” พวกนี้พูดไม่ได้ เสียงที่เปล่งออกมาส่วนมากก็เป็นเสียงคำรามที่เกิดขึ้นตามสัญชาตญาณเท่านั้น ทว่าผู้หญิงคนนี้กลับสามารถพูดออกมาได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ นั่นทำให้เธอดูไม่เหมือนหุ่นเชิดเลยแม้แต่น้อย…
“ฉันหรือ? ความจริงจะว่าไปแล้วพวกเราก็รู้จักกันนะ” ผู้หญิงที่ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในเวลานี้ได้ ย่อมมีแค่เวินเสี่ยวอวี่คนเดียวอยู่แล้ว ทว่าจากใบหน้าที่ไม่คุ้นตาของเธอ พวกซย่าน่ากลับสัมผัสได้ถึงลมปราณที่คุ้นเคยรางๆ
แต่ลมปราณนั้นอ่อนเกินไป ชั่วขณะหนึ่ง พวกเธอจึงคิดไม่ออกว่าเธอเป็นใครกันแน่
“เมื่อกี้เธอบอกว่าจะไม่ให้พวกฉันลงไป…หมายความว่าจะสู้กับพวกฉัน?” หลี่ย่าหลินเลียริมฝีปาก และถามออกไปตรงๆ
เวินเสี่ยวอวี่ฉีกมุมปากเผยรอยยิ้มแข็งทื่อออกมา จากนั้นก็พยักหน้าบอกว่า “ใช่ คนพวกนั้นฉันจะไม่สนใจก็ได้ แต่ว่าพวกเธอ…สำหรับพวกเธอน่ะ ฉันอยากลองสู้ด้วยซักตั้ง แต่พวกเธอคงต้องรีบแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นถ้าหลิงม่อถูกจัดการได้ ชัยชนะฝั่งเราก็คงไร้ความหมาย พอถึงตอนนั้น ถึงแม้พวกเธอจะฆ่าฉันได้ ทุกอย่างก็สายไปแล้ว”
“เรื่องนี้มันแน่อยู่แล้ว…” ข้อมือซย่าน่ากระตุกหนึ่งที เธอพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มเย็นชา
หลี่ย่าหลินเองก็หรี่ตาลงเช่นกัน ท่ามกลางดวงตาทั้งสองข้างของเธอพลันมีประกายสีเหลืองอำพันขึ้นมาจางๆ
ส่วนเย่เลี่ยนถึงแม้ไม่เผยสัญญาณเตรียมต่อสู้ ให้เห็นแต่สายตากลับจับจ้องไปยังร่างของเวินเสี่ยวอวี่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ละสายตา
สวี่ซูหานที่เห็นอย่างนั้น ก็รีบดันหลังกู่ซวงซวงให้เข้าไปในห้องที่อยู่ข้างๆ ทันที
“ยังไงตอนนี้เธอก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี ซ่อนตัวอยู่ในนี้ไปก่อนแล้วกัน”
ท่ามกลางการต่อสู้ของกลุ่มสัตว์ประหลาด หากจะให้เธอซึ่งเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวยืนชมอยู่กลางสมรภูมิ คงเป็นเรื่องชวนระทึกขวัญเกินไป แม้แต่สวี่ซูหานเองก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่พุ่งพรวดในพริบตา
ยังอ่อนหัดอยู่มากจริงๆ…
“หลิงม่อ! แกตายซะเถอะ! ฮ่าๆๆ…”
เสียงฝีเท้านั้นดังกึกก้องบาดแก้วหู พร้อมกับร่างของหัวหน้านิพพานที่พุ่งตัวไปยังชั้นที่หลิงม่ออยู่อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ดวงตาข้างขวาของเขายังจดจ้องทุกการเคลื่อนไหวของหลิงม่ออย่างชัดเจน…
“แกไม่หนีงั้นรึ? ฮ่าๆๆๆ ไม่คิดเลยว่าแกจะไม่หนี! ถ้าอย่างนั้นแกก็เตรียมตัวตายได้เลย! แกตายแน่!”
ภายใต้การเคลื่อนไหวที่มีความเป็นความตายเป็นแรงขับเคลื่อน ถึงแม้ว่าหัวหน้าทีมนิพพานไม่อาจควบคุมร่างกายตัวเองได้ แต่เขากลับเพิ่มอานุภาพม่านพลังสกัดกั้นให้รุนแรงจนถึงขีดสุด
สายตาของเขาจดจ้องไปที่หลิงม่อ ในขณะที่พุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับใบหน้าอันบิดเบี้ยว
ทว่าในเสี้ยววินาทีที่เอี้ยวตัวตรงทางเลี้ยว ร่างของเขากลับพุ่งชนกับเงาร่างที่มองไม่เห็นอย่างจัง…
เงาร่างนั้นแม้ไร้รูปกาย แต่กลับทำให้เขารู้สึกมึนศีรษะทันที ขณะเดียวกัน สองเท้าที่กำลังสาววิ่งอย่างบ้าคลั่งของเขาก็ราวกับถูกบางสิ่งขัด ทำให้เสียหลักและทรงตัวไม่อยู่ไปชั่วขณะ
“แกยังใช้พลังจิตได้อีกหรือ!” หัวหน้าทีมนิพพานจ้องหลิงม่อที่ยืนอยู่ไม่ห่างด้วยสายตาโกรธขึ้ง ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาต้องกัดฟันกรอดก็คือ หลิงม่อกลับหลับตาลงแล้ว
“ถึงแม้แกจะยังใช้พลังจิตได้ แต่มันก็อ่อนลงมากแล้ว! ฉันจะคอยดูว่าแกจะอดทนไปได้อีกนานแค่ไหน! หลิวหยาง ให้ฉันพุ่งเข้าไปชนตรงๆ ซะ!”
ทว่าเพิ่งจะสิ้นประโยค หัวหน้าทีมนิพพานก็ต้องค้นพบอย่างตกตะลึง ในเสี้ยววินาทีเมื่อกี้ที่เขาเสียการทรงตัวจนเกือบล้มลงไป สองมือของเขาราวกับถูกบางสิ่งผูกมัดไว้…ขณะเดียวกัน พละกำลังมหาศาลที่มองไม่เห็นขุมหนึ่งพลันกระแทกเข้ามาที่ศีรษะของเขา…
“อั่กก!”