แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1185 เป้าหมายสำคัญ
“กรร…”
ในโกดังอาหารที่ตั้งอยู่ในป่าร้างห่างไกลความเจริญ ขณะนี้มีเสียงร้องคำรามดุร้ายของฝูงซอมบี้ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน พวกมันยังคงปีนขึ้นไปยังกำแพงรั้วสูงอย่างต่อเนื่อง จากนั้นพุ่งลงไปยังพื้นที่ว่างซึ่งมีกลุ่มมนุษย์อยู่ตามคำสั่งการ กลุ่มที่เสี่ยงอันตรายที่สุดก็คือพวกอวี่เหวินซวนที่หลังแนบชิดกับอาคารสำนักงาน…เดิมทีพวกเขาแค่มีหน้าที่เป็นกำลังเสริม แต่เมื่อเฮยซือและอวี๋ซือหรานถูกซอมบี้พวกนั้นถ่วงจนยิ่งอยู่ไกลออกไป พวกอวี่เหวินซวนเลยเจอการโจมตีอันดุดันในสนามรบโดยไม่ทันตั้งตัว
ชั่วขณะนั้น ทุกคนต่างพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง กระสุนที่เหลือไม่มากก็ถูกบีบให้นำออกมาใช้ และหลังจากที่พวกหลิงม่อฝ่าวงล้อมออกมาจากอาคารหอพัก พวกเขาก็ตกเป็น “กลุ่มเป้าหมายสำคัญ” ใหม่ทันที ทว่าสิ่งที่ไม่อยู่เหนือการคาดการณ์ของหลิงม่อก็คือ ภัยคุกคามที่พวกเขาแสดงออกมาแบ่งเบาความกดดันที่พวกอวี่เหวินซวนต้องเผชิญได้ไม่น้อยทีเดียว
ร่างศพพวกนั้นเพิ่งจะล้มลงบนพื้น พวกหลิงม่อก็ได้รับความสนใจเต็มที่
“กรรรร!”
ซอบบี้เจ้าเมืองอีกตัวที่อยู่ห่างออกไปจู่ๆ ก็คำรามเสียงต่ำ และขณะที่ได้ยินเสียงร้องนี้ หลิงม่อและคนอื่นๆ สัมผัสถึงสายตาที่มันมองมาได้ทันที ถูกซอมบี้ระดับสูงจับจ้องด้วยสายตาโหดเหี้ยมเช่นนี้ กู่ซวงซวงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกขนพอง
“แย่แล้ว…” หลิงม่อขมวดคิ้วพลางพูดเสียงเบา
สวบๆๆ!
ซอมบี้ที่กำลังใกล้เข้ามาจู่ๆ ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นไม่น้อย จำนวนหนึ่งในพวกมันดูจากลมปราณแล้วไม่ธรรมดาเลย สิ่งที่หลิงม่อรู้สึกว่ายากที่สุดก็คือ ซอมบี้พวกนี้ไม่ได้กระโจนออกมาขัดขวางพวกเขา แต่กลับค่อยๆ เคลื่อนที่ล้อมวงเข้ามาปิดกั้นพวกหลิงม่ออย่างเงียบๆ ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ พวกมันกำลังหาโอกาสกรูเข้ามาโจมตี
และถึงแม้ซอมบี้เจ้าเมืองตัวนั้นไม่มีทีท่าจะเข้าใกล้ แต่กลับจ้องพวกเขาด้วยแววตาประสงค์ร้ายอยู่ตลอด แม้ว่าจะมีเย่เลี่ยนและหลี่ย่าหลินที่เป็นซอมบี้ระดับสูงกว่าอยู่ในวงล้อมเดียวกับพวกหลิงม่อด้วย แต่เจ้านั่นก็ยังคงแผ่จิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัว
‘เจ้าพวกนั้นมันมาจากไหนกันแน่…’ หลิงม่อครุ่นคิด พลางมองไปทางโกดังอาหารแล้วคำนวณเวลา จากนั้นก็ตะโกนพูดขึ้นในหัว “ซย่าน่า!”
“รับทราบ”
หลังหน้าต่างบานหนึ่งของอาคารหอพัก ซย่าน่าที่กำลังยืนหลับตาปรับอารมณ์พิงอยู่ข้างหน้าต่างพลันเบิกตาขึ้น พูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ถึงทีพวกฉันบ้างล่ะ”
เธอมองไปยังสวี่ซูหานที่ยืนตื่นกลัวอยู่ข้างๆ พลางกะพริบตาแล้วพูดขึ้น “เธอกลัวมากเลยเหรอ?”
“ไม่นะ…อาจจะแค่นิดหน่อย?” สวี่ซูหานม้วนนิ้วมือของตัวเองไปมา
“งั้นเหรอ? ถึงเธอจะพูดแบบนี้ แต่ว่าร่างกายเธอซื่อสัตย์มากเลยนะ ท่าทางจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว…”
“ไม่…ฉันจะไม่เป็นตัวถ่วง…” สวี่ซูหานรีบพูด
“ที่จริงไม่มีอะไรเลย…ตอนที่เป็นมนุษย์ฉันก็กลัวมากเหมือนกัน ถ้าจะพูดให้ชัดเจน คงเป็นความกลัวในการต่อสู้ล่ะมั้ง”
“ใช่เลย…หืม? เธอพูดว่าอะไรนะ?” สวี่ซูหานพยักหน้าหงึกหงัก แต่หลังจากที่สติกลับมาก็อึ้งงันทันที นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน? จู่ๆ ก็เข้าสู่โหมดระบายความในใจอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ยังมีอีก…สายตาของซย่าน่าจริงใจขนาดนี้เลยเหรอ! เหมือนสาวน้อยซื่อสัตย์ที่เชื่อใจได้คนหนึ่งเลย…
“ตอนนั้นฉันก็ต้องต่อสู้เหมือนกัน เพราะเป็นหนทางเดียวในการรอดชีวิต แต่ไม่ว่าจะเป็นการฟันมนุษย์หรือซอมบี้ ฉันไม่มีประสบการณ์เลย พูดได้แค่ว่า…ตอนเริ่มต้นเป็นเรื่องยากจริงๆ แต่พอเวลาผ่านไป ฉันก็เริ่มเข้าใจ ขอแค่หาเหตุผลที่ทำให้ตัวเองยืดหยัดต่อไปได้ให้เจอ เรื่องนี้ก็จะง่ายขึ้นมากเลย” ซย่าน่ายกมือข้างหนึ่งยันขอบหน้าต่าง พูดขึ้นโดยไม่ได้หันกลับไปมอง
“เหตุผล…” สวี่ซูหานพยักหน้าตอบรับเหมือนคิดอะไร “ฟังดูมีเหตุผลมากเลย…ถ้าอย่างนั้นซย่าน่า เหตุผลของเธอ…คืออะไรเหรอ?”
“เหตุผลน่ะหรือ…” ซย่าน่าครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วจึงตอบกลับ “ง่ายมากเลย เธออยากเป็นฝ่ายที่ถูกบดขยี้ หรืออยากเป็นฝ่ายบดขยี้ล่ะ?” ซย่าน่าหันหน้ากลับมายิ้มให้สวี่ซูหาน “อ้อ ถือโอกาสบอกด้วยความหวังดีเลยแล้วกัน อย่างเธอน่ะ ถึงแม้จะสูญเสียอวัยวะภายในส่วนใหญ่กับเลือดเนื้อไป เธอก็ยังอยู่รอดต่อไปได้อีกสักพัก อ้อ…ใช่ ถึงจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายก็ไม่มีประโยชน์ เจอกันข้างนอกน้า… ”
“สูญเสียหมายความว่ายังไง…”
ตอนทอดมองบานหน้าต่างที่ว่างเปล่า จู่ๆ สวี่ซูหานก็ขนลุกซู่
เธอก้มมองร่างกายของตัวเองแวบหนึ่ง จากนั้นก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง “ฉันไม่อยากถูกกิน! แล้วฉันก็ไม่อยากเห็นตัวเองถูกฉีกทึ้งด้วย! ฉันไม่ใช่หมูหันที่ถูกย่างจนสุกสักหน่อย!…ซย่าน่า! รอฉันด้วย! ฉันจะช่วยเธอกำจัดพวกเศษสวะนั่นเอง!”
“นี่สิถึงจะเป็นวิธีกระตุ้นที่ถูกต้อง…ไอ้พี่หลิงบ้านั่น ทั้งที่รู้ว่าคนอื่นมีจุดบกพร่อง กลับไม่หาวิธีดีๆ มาช่วยเลย บอกให้ปล่อยให้ฉันจัดการแต่แรก…จริงๆ เล้ย แต่ครั้งนี้ครบทั้งจังหวะเวลา ทำเล รวมถึงคนแล้วล่ะมั้ง…” ซย่าน่าเหลือบมองคนข้างๆ เห็นสวี่ซูหานเตรียมพร้อมออกรบเต็มที่ มุมปากจึงค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้ม
“ภารกิจของพวกเราคือ…กะจังหวะเวลาให้แม่นยำ แล้วรีบวิ่งพุ่งเข้าไป ไม่ว่าระหว่างทางเจอกับตัวอะไรเข้า…ถ้าไม่ใช่สมาชิกในทีมของพวกเรา ก็ฟันมันทิ้งให้จบไปเลย!” หลังจากซย่าน่าพูดด้วยความรู้สึกตื่นเต้นคึกคัก ก็มองสองมือที่ว่างเปล่าของสวี่ซูหาน แล้วพูดเสริมขึ้นว่า “หรือไม่ก็ดึงหัวของพวกมันทิ้งซะ แต่ต้องระวังอย่าให้มนุษย์เห็นเข้าล่ะ จากนั้นก็ไปรวมตัวกับพวกเฮยซือ แล้วค่อยพุ่งไปที่โกดังอาหารด้วยกัน”
“เข้าใจแล้ว…เดี๋ยวก่อน ฉันไม่มีทางดึงหัวพวกมันออกด้วยมือเปล่าหรอกน่ะ!” สวี่ซูหานขยับนิ้วมือทั้งสิบเล็กน้อย “จับไปที่ตรงกลาง แล้วบีบคอหอยให้แหลกก็เรียบร้อยแล้ว…”
“กินเลย!”
“ต้องเป็นฆ่าเลยไม่ใช่หรือ…”
“เหมือนๆ กันแหละน่า เธออย่าทำเสียขวัญกำลังใจสิ…”
“ฉันว่าเธอไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยนะ!”
“เธอพูดจากับคนที่อาวุโสกว่าแบบนี้เหรอหา!”
“เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะนี่นา…ถึงระดับวิวัฒนาการของเธอจะสูงกว่าฉันนิดหน่อย…จริงๆ ก็สูงกว่าเยอะนั่นแหละ…”
“กรร!”
“อ๊าก!”
“เป็นอะไรไป?”
“ฉันเหมือนจะขาอ่อนนิดหน่อย…”
“โหย…”
“ไม่ต้องมองฉันเหมือนตัวเองไม่มีความผิดเลย! ไม่คิดเลยว่าเป็นซอมบี้แล้วยังจะถูกคนแก่มากประสบการณ์รังแกอีก…ถึงจะเป็นคนละเผ่าพันธุ์ แต่ก็มีชีวิตรอดยากไม่ต่างกันเลย…”
……
“เฮยซือ พวกเธอเป็นยังไงบ้าง?” หลิงม่อแจ้งแผนการให้ซย่าน่ารู้แล้ว ก็รีบติดต่อเฮยซือทันที
ตอนนี้หลิงม่อเป็นหัวใจหลักของความสำเร็จในการเคลื่อนไหวครั้งนี้…ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแผนการของเขา
“ฉันกำลังเข้าใกล้ฝั่งที่พวกอวี่เหวินซวนอยู่…เจ้าโง่นั่นก็กำลังพยายามสลัดฝูงซอมบี้พวกนั้น แต่…” จู่ๆ น้ำเสียงของเฮยซือก็เปลี่ยนไป เธอพูดเสียงเบา “นายติดต่อมนุษย์พวกนั้นไม่ได้ใช่ไหม?”
“เธอจะพูดอะไร…” หลิงม่อขมวดคิ้วตอบกลับ
จากนั้นเขาก็เข้าใจความหมายที่เฮยซือต้องการจะสื่อทันที จึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง…ถึงแม้ส่งข่าวสารไปให้พวกเขาไม่ได้ แต่ในเมื่อรู้สถานการณ์ด้านนอกที่พวกเธอเจออยู่ พวกเขาไม่มีทางถอยกลับหรอก แต่ว่า…พวกเราก็ควรให้พวกเขาร่วมมือด้วยสักหน่อย”
“หืม? ทำยังไง?” เฮยซือยังคงไม่เข้าใจ
หลิงม่อสูดหายใจลึก จากนั้นก็อ้าปากพูดเสียงดัง “พุ่งไปยังทิศทางที่เฮยซืออยู่!”
ในขณะเดียวกัน คำพูดนี้ก็ดังอยู่ในสมอง เฮยซือที่ได้ยินกลับอึ้งงัน “แค่นี้เองหรือ? แต่นายแหกปากแค่นี้…”
“รอดูได้เลย” หลิงม่อยิ้มๆ แล้วพูด “มีบางครั้ง ฉันรู้สึกว่าข้อได้เปรียบที่ดีที่สุดของมนุษย์เมื่อเทียบกับซอมบี้ก็คือ ไม่ว่ามนุษย์จะอ่อนแอแค่ไหน ก็มีจุดที่สร้างความประหลาดใจได้เสมอ บางส่วนอาจจะเป็นในด้านไม่ดี แต่บางส่วนก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน”
“เฮอะ…พูดอะไรยุ่งยาก…”
“เฮยซือ…ถึงเธอจะเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ แต่ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือเป็นพวกซย่าน่า ต่างก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ทั้งนั้น ฉันหวังว่า…พวกเธอจะสังเกตการณ์มนุษย์ให้มากกว่านี้หน่อย” หลิงม่อพลันพูดขึ้น
“พูดจากใจจริงๆ เลยนี่…”
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าไม่ใช่พราะแผนการของนิพพานในครั้งนี้ ราชินีแมงมุมก็ไม่มีทางมีโอกาสดีๆ แบบนี้หรอก”
“แล้วทำไมนายไม่พูดกับพวกซย่าน่าไปตรงๆ บ้างล่ะ!”
“ก็ลองกับเธอก่อนนี่ไง!”
“เฮอะ! แล้วเจอกัน!”
“แล้วเจอกันนะ!”
……
“ฟู่ว!”
เมื่อเห็นว่ายังห่างกับโกดังอาหารที่ใกล้ที่สุดอยู่หลายสิบเมตร แววตาของหลิงม่อก็ค่อยๆ เย็นชาขึ้น
เขายังดึงมือเย่เลี่ยนอยู่ แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนคลายความเร็วของฝีเท้าลงสักนิด และหลี่ย่าหลินที่กำลังลากกู่ซวงซวง ก็ยังคงรักษาอัตราความเร็วให้เท่ากับหลิงม่อ
ถึงแม้สถานการณ์ตอนนี้จะไม่ได้แตกต่างไปจากวินาทีก่อนหน้านี้ แต่กู่ซวงซวงก็สัมผัสได้ทันทีว่า บรรยากาศรอบๆ ทั้งสี่ทิศมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงแล้ว…
“กรร!”
ซอมบี้เจ้าเมืองตัวนั้นเงยหน้ายกคอขึ้น ส่งเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วพื้นที่
“มาแล้ว!”
ม่านตาหลิงม่อหดเล็กลง
……………………………………….