แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 1202 บางเรื่องเมื่อเปลี่ยนมุมมอง ก็ไม่อาจทำใจมองได้ตรงๆ
“แค่อารมณ์ร้อนเอง?”
หลิงม่อตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนส่ายหัวสองสามทีและเอ่ยอย่างระแวดระวัง “ไม่ นี่ไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญคือ…ดูเหมือนเจ้านี่จะเปิดประตูโกดังได้แล้ว…”
“อะไรนะ?” เฮยซืออึ้งงัน ถามด้วยอาการมึนงง “แต่ว่ามีพวกซย่าน่าเฝ้าระวังอยู่นี่…”
ระหว่างที่เธอพูด ก็เห็นหลิงม่อหลับตาลง หลังจากเขาลืมตาขึ้นมา สีหน้าก็เคร่งเครียดในทันที “ใช่แล้ว…พวกมันเปิดออกจากทางเพดาน เมื่อซย่าน่าสังเกตเห็นก็สายไปแล้ว…และตอนจะหยุดพวกมัน รูก็ถูกเจาะทะลุแล้ว”
“ทำไมการตอบสนองของอีกฝ่ายถึงรวดเร็วอย่างนี้?” เฮยซือขมวดคิ้ว พวกเขาเพิ่งจะแยกย้ายกระจายตัวเข้ามาในโกดังอาหารได้ไม่นาน ไม่มีเวลาคิดพิจารณาถึงขั้นนี้อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องคาดเดาว่าศัตรูจะมาไม้นี้ เล่นใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพา ฝ่าตีประจิม
“แล้วพวกเราควรทำอย่างไร?” เฮยซือถาม
หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด “ขอเวลาฉันคิดก่อน…ใช่แล้ว อีกฝ่ายไม่ได้รีบร้อนเข้ามา! หรือก็คือ เดิมทีพวกมันมีแผนที่จะเข้ามา แต่หยุดในชั่วเวลาสุดท้าย” เขาก้มมองซอมบี้สาวที่ยังสลบไม่ได้สติ พร้อมกล่าว “ฝ่ายนั้น…ทำทั้งหมดเพราะยัยนี่!”
“ฉันว่า ฉันพอจะรู้แล้วว่าคนที่ข่มขู่เราเมื่อกี้…เป็นใคร…” สีหน้าหลิงม่อพลันปรากฏแววซับซ้อน…
หลังจากนั้นไม่นาน…
“เจ้านายหมายความว่า…ศัตรูกลัวว่าเราจะทำร้ายเธอเหรอ?” เฮยซือเอ่ยถามขณะที่ย่อตัวลงไปข้างกายซอมบี้สาว
ขณะนี้ร่างของซอมบี้สาวถูกย้ายไปด้านนอกบานประตูแล้ว สองตาของเธอยังคงปิดสนิท ลำตัวยังสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้
หลิงม่อก็พิงชิดอยู่บริเวณกำแพงด้านข้าง บีบมาสเตอร์บอลในมือด้วยสีหน้าซีดขาว พยายามบีบพลังงานทางจิตที่สะสมไว้ออกมาไม่หยุด “ใช่แล้ว…”
“นั่นก็หมายความว่า เพียงแค่หล่อนยังมีลมหายใจและอยู่ในมือเรา อีกฝ่ายไม่มีทางสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามา…” เฮยซือเอ่ยอีกประโยค แล้วพลันหัวเราะคิกคัก “น่าสนุก คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีซอมบี้แลกตัวประกัน นับวันโลกเรายิ่งแปลกประหลาดเข้าไปทุกที…”
“ฟังจากสิ่งที่ฟังเธอพูด ดูเหมือนเธออยากให้ศัตรูพุ่งเข้ามาแทบขาดใจแล้วสินะ?” หลิงม่อยกนิ้วดีดหน้าผากเฮยซือไปหนึ่งที
เฮยซือแลบลิ้นท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว จากนั้นถามหลิงม่อด้วยท่าทีมีเลศนัย “หรือว่า…เจ้านายไม่อยากยืนยันให้แน่ใจ ว่าที่อยู่ข้างนอกนั่นใช่คนรู้จักจริงหรือเปล่า?”
“ฉันไม่ทำตามอำเภอใจแบบนี้หรอก!” หลิงม่อพูดจบ ก็ถามอย่างสงสัย “งั้นเมื่อกี้ที่เธอมาช้า…”
“อื้ม…ฉันอยากสัมผัสรู้สักหน่อย” จู่ๆ เฮยซือก็ยื่นมือออกไปลูบๆ ที่แก้มของซอมบี้สาว “ไม่นึกเลย…ว่าเธอจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ใครจะรู้ว่าคนที่เธอติดตามอยู่จะยังใช่เจ้านั่นไหม…ไม่ได้เจอกันนานเลย…บาลาบาลา…”
เพียะ!
“เธอใช้น้ำเสียงห่อเหี่ยวเรียกใครบาลาบาลาน่ะหา!” หลิงม่อตะโกนลั่น
“อ้าว? หรือว่าเจ้านายจำชื่อเธอได้?” เฮยซือถามด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน
หลิงม่อสำลักน้ำลาย ก่อนไอแห้งๆ ตามหลัง พูดอย่างเคร่งขรึมจริงจังว่า “อย่างน้อยเรียกว่าเฮยซือหมายเลขหนึ่งก็ได้ล่ะมั้ง…”
“เจ้านาย…”
“หืม?”
“อย่าทำแบบนี้สิ ถึงฉันจะเป็นสุนัขตัวหนึ่ง แต่ก็มีหลักการที่ตัวเองยึดมั่นนะ…”
“ใช่แล้ว” เฮยซือก้มหมอบวางคางลง ถามว่า “เจ้านายวางแผนจะจัดการกับเธอยังไง?”
“เรื่องนี้น่ะเหรอ…” สีหน้าของหลิงม่อเคร่งขรึมอีกครั้ง
เขายัดมาสเตอร์บอลกลับเข้าไป สะบัดศีรษะที่ฟื้นคืนสภาพบ้างแล้ว แล้วยืดลำตัวยืนตรง
“ในเมื่อช่วงสั้นๆ นี้อีกฝ่ายไม่มีทางเข้ามา…ถ้าอย่างนั้น ฉันจะลองอะไรหน่อยแล้วกัน…ไม่แน่ว่าก่อนที่พวกนั้นจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พวกเราอาจชิงตำแหน่งที่เป็นฝ่ายได้เปรียบไว้ได้ก่อน”
หลังพูดจบ หลิงม่อยื่นมือวางลงบนลำตัวของซอมบี้สาว
เฮยซือนั่งยองกอดเข่าอยู่ข้างๆ ดวงตาเบิกโตพร้อมกับปากที่อ้าออก “โอ้…”
จุดแสงสีเลือดมากมายทะลักออกมาจากดวงแสงแห่งจิตของหลิงม่อ ไหลลงมาตามแนวแขนและรวมตัวอยู่ในฝ่ามือ ผ่านทางปลายประสาทพลังจิต…จุดแสงพวกนี้ออกมาจากร่างกาย หล่อหลอมอย่างรวดเร็วกลายเป็นหนวดสัมผัสที่บางละเอียดราวกับไหม
“พลังควบคุมแข็งแกร่งมากเลย…” เฮยซือพูดพึมพำ
หลิงม่อสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่…หลังจากที่หนวดสัมผัสพวกนี้ก่อตัว ก็ยื่นไปสำรวจสมองของซอมบี้สาวอย่างคล่องแคล่ว หนวดสัมผัสแต่ละเส้นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง
ตรงนั้น มีดวงแสงแห่งจิตสีเลือดอยู่หนึ่งดวงเช่นกัน…
หนวดสัมผัสค่อยๆ รัดดวงแสงแห่งจิต จากนั้นรวมตัวกันอีกครั้งที่จุดใดจุดหนึ่ง และค่อยๆ ฉีกรอยแยกเส้นหนึ่งออก…
“อ๊า…” ซอมบี้สาวสั่นระริกไปทั้งตัว ส่งเสียงครวญครางตามสัญชาตญาณ
แต่หลิงม่อมีสีหน้าจริงจัง บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อละเอียดผุดออกมา
เมื่อหนวดสัมผัสกลุ่มนั้นเริ่มมุดเข้าไปในรอยแยก เฮยซือกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว
ไม่ได้ผ่อนคลายไปกว่าตอนที่หลิงม่อต่อสู้เลย…
นี่เป็นครั้งแรกที่เฮยซือเห็นหลิงม่อควบคุมหนวดสัมผัสอย่างจดจ่อเช่นนี้…เมื่อหนวดสัมผัสพวกนี้ปรากฏขึ้นโดยไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อฆ่าคน ความยากลำบากในการควบคุมพวกมันเพิ่มขึ้นมากในชั่วพริบตา
‘ยิ่งเป็นซอมบี้ระดับสูง คงยิ่งยากสำหรับเขาสินะ’ เฮยซือพลันรับรู้ถึงบางอย่าง “แต่หลังจากที่อยู่ร่วมกับซอมบี้ระดับสูง ยิ่งเป็นเรื่องยากที่จะมองซอมบี้ระดับสูงที่มีความคิดเป็นของตัวเองพวกนี้เป็นแค่อาวุธในการต่อสู้เท่านั้น…’ เฮยซือเหลือบมองหลิงม่อ สะบัดหัวเล็กน้อย ‘ไหนจะจุ๊บๆ แล้วยังจะแปะๆๆ ตกดึกยังถูกบีบบังคับให้ส่งเสียงร้องครวญครางแปลกๆ เป็นประจำอีก…ลำบากน่าดูเลยสินะ…’
หลิงม่อไม่ยี่หระสายตาประหลาดของเฮยซือ…เขาจดจ่อตั้งใจกับการควบคุมหนวดสัมผัส ค่อยๆ ให้พวกมันเข้าไปภายในดวงแสงแห่งจิตของซอมบี้สาว
“ที่ตรงนี้คือ…จุดอ่อนที่เหลือทิ้งไว้หลังจากถูกโจมตีเมื่อกี้…” ดวงตาหลิงม่อพลันมีประกายแวววับ
ทว่าไม่นาน สีหน้าเขาก็ปรากฏประกายจริงจัง
“ตรงนี้กำลังฟื้นคืนสภาพแล้ว…ไม่มีเวลาสำรวจต่อแล้ว…” หลิงม่อกัดฟันกรอด “เข้าไปเดี๋ยวนี้เลย!”
สวบๆ!
หนวดสัมผัสพุ่งพรวดเข้าไปทันที
“อ๊า!” ซอมบี้สาวลืมตาทันที ลำตัวช่วงบนก็โค้งงอขึ้นตามสัญชาตญาณ
แววตาของเธอเหม่อลอย แต่กลับแดงสดดั่งเลือด ในขณะเดียวกัน รูม่านตาก็หดขยายไม่หยุด มือทั้งสองข้างข่วนบนพื้นอย่างรุนแรง ทิ้งรอยลึกไว้สิบเส้น
หลิงม่อในตอนนี้สีหน้าซีดเซียว แต่เมื่อแค่นเสียงขึ้นจมูก สองขาก็ฝืนยืนขึ้น
“เจ้านาย…” เฮยซือเงยหน้าขึ้น พลางขมวดคิ้วจ้อง
“คนที่อยู่ข้างในโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นฉันจะลงมือแล้วจริงๆ! เดี๋ยวนะ…พวกแกกำลังทำอะไรเธอ?! ถ้าพวกแกทำให้เธอบาดเจ็บหรือฆ่าเธอ คนที่จะตายเป็นรายต่อไปก็คือพวกแก!” บุคคลภายนอกยังคงตะโกนลั่นด้วยอารมณ์เดือดดาล
“อ๊าาา…” นิ้วมือของซอมบี้สาวกดลึกลงไปในพื้นดิน
หลิงม่อพลันมีสีหน้าตกตะลึง “เป็นไปได้ยังไง?!”
เขารู้เหตุผลที่พลังจิตของซอมบี้สาวไม่แข็งแกร่งแล้ว…
“ความทรงจำช่วงมนุษย์ของเธอ…ยังยุ่งเหยิงวุ่นวาย…”
ดวงแสงแห่งจิต จากหนึ่งแบ่งออกเป็นสอง…
“เป็นเพราะว่า…ตอนนั้นถูกเฮยซืออาศัยร่างงั้นเหรอ” หลิงม่อสงสัย
ทั้งยังไม่ได้รับผลกระทบจากความทรงจำตอนที่เป็นมนุษย์ ตรงกันข้าม สิ่งนี้กลับทำให้เธอเหมือนกระดาษว่างเปล่าแผ่นหนึ่ง ซึ่งถูกย้อมให้เป็นสีแดงในเวลาอันรวดเร็ว
‘ถึงว่าล่ะ แข็งแกร่งขนาดนี้…จนถึงตอนนี้เธอยังคงพึ่งพาสัญชาตญาณของซอมบี้ในการเคลื่อนไหว’ หลิงม่อครุ่นคิดในใจ
ความทรงจำที่เป็นซอมบี้ทั้งหมดแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่หลิงม่อพบเจอ…
“ถ้าอย่างนั้นปัญหาที่พวกราชินีแมงมุมต้องเผชิญ…เธอกลับไม่เจองั้นเหรอ?” หลิงม่อพลันย้อนคิดไปถึงคำพูดที่ร่างปรสิตหลิวหยางพูดกับเขา…ราชินีแมงมุมเจอปัญหาที่หนักเป็นสองเท่า แต่ซอมบี้ตรงหน้ากลับสุดขั้วตรงข้าม เธอไม่ได้รับผลกระทบจากความทรงจำช่วงมนุษย์…ทุกอย่างที่เธอจำได้ ล้วนเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเป็นซอมบี้แล้ว
สำหรับเธอ ทุกอย่างคือการสังหาร…
“ถึงว่าท่าทางเหมือนจะจำฉันไม่ได้…”
ในตอนนี้เอง หลิงม่อกลับส่งเสียง “หืม” ออกมา…
ภาพความทรงจำแรกที่โผล่มาจากสมองของซอมบี้สาวน้อยตัวนี้ กลับเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา…
‘อ๊าาา…’
ภายในห้องมืดสลัว เงาร่างหนึ่งถูกแขวนไว้บนหลังคา และตรงหน้าเธอเป็นชายที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา…
ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ท่าทางดูเหมือนจะคาดหวังมาก…
……
“หยุดๆๆ! ฉันจำได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ปกติมากเลยนี่! ทำไมพอเปลี่ยนเป็นมุมมองของเธอ เรื่องมันถึงได้พิลึกแบบนี้! ใช่แล้ว…ตอนนั้นเฮยซือกำลังวิวัฒนาการ…ถ้าอย่างนั้นมันก็คุ้มค่าแก่การคาดหวังอยู่…แต่ทำไมภาพเหตุการณ์เมื่อกี้ถึง 18+ ขนาดนั้นเล่า! ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!”
หลิงม่อเบิกตากว้าง…แต่หนวดสัมผัสยังคงเชื่อมอยู่ ภาพเหตุการณ์จึงยังไม่ถูกตัด…
“อ๊า…อ๊า…”
ร่างเงานั้นยังส่งเสียงร้องที่ได้ยินแล้วเกิดอาการหน้าแดงใจเต้นรัวอยู่ในหัวเขา…
โชคดี ภาพเหตุการณ์ที่ทำให้หลิงม่อสบถว่า “เชี่ย” ผ่านไปรวดเร็วมาก…ภาพต่อไปที่ปรากฏ กลับเป็นภาพขาคู่หนึ่ง…
“เดี๋ยวๆ…ทำไมมีแค่ขาล่ะ? ทำไมถึงจ้องแต่ขาคู่นี้? สังเกตมันจากทั่วทุกสารทิศทำไม! เป็นคนคลั่งไคล้ขาหรือไงกัน! สนใจตื่นเต้นในอะไรแปลกๆ วะเนี่ย!”
ในที่สุด ภายใน “แววตา” ที่หลิงม่อทนมองตรงๆ ไม่ได้…ร่างในภาพเหตุการณ์โถมตัวเข้าหาขาคู่นี้ จากนั้น..ก็เริ่มกลิ้งไปกลิ้งมา…
“พอได้แล้ว! ตอนนั้นฉันไม่รู้สึกเลย! แต่พอมองจากมุมเธอแล้วน่าอับอายชะมัด!”
และภาพเหตุการณ์ต่อมา…
“อ๊า!”
เป็นเสียงครวญครางอีกแล้ว…ภาพที่ปรากฏ กลับเป็นภายในห้องหนึ่งที่หลิงม่อไม่เคยเห็น
ร่างนี้กำลังยันกำแพงประคองตัวลุกขึ้นช้าๆ จากนั้นก็สะบัดศีรษะแรงๆ ภาพที่เห็นโอนเอนไปมา
“นึกอะไรออกแล้วเหรอ?” เสียงหนึ่งดังแว่วมาจากอีกมุมหนึ่งของห้อง
“อืม…” เสียงซอมบี้สาวดังตามมา “แต่ไม่น่าจะเรียกว่านึกออกล่ะมั้ง…ควรพูดว่าเกี่ยวกับความทรงจำเหล่านี้ มีความเข้าใจเป็นของตัวเองแล้ว…”
“งั้นเหรอ? ก็เป็นเรื่องแปลกใหม่ดี…” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างไร้อารมณ์ “ถ้าอย่างนั้น…นึกถึงเขาออกแล้ว?”
“เขาหรือ…อืม…นึกออกแล้ว”
“งั้นก็ดี…บอกภาพจำที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับเขาให้ฉันรู้ที”
“มนุษย์คนนั้น…เอาสิ่งสำคัญที่สุดของฉันไป…ทิ้งความอัปยศอดสูฝังลึกไว้ให้ฉัน…”
……………………………………….