แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 658 ปล้นบ้านที่เจ้าของไม่อยู่
เหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในเมืองตงหมิงลุกลามโดยใช้เวลาไปหนึ่งคืนเต็มๆ จนกระทั่งเช้าตรู่ของวันที่สอง พวกหลิงม่อเดินออกมาจากโรงแรมขนาดเล็กสภาพเก่าทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ก็ยังมองเห็นควันดำโขมงที่ลอยคลุ้งอยู่แต่ไกล
ไม่เพียงท้องฟ้าเท่านั้นที่มืดจนเหมือนถูกสีดำย้อม ในอากาศ ยังมีกลิ่นเหม็นแทงจมูกปะปนอยู่จางๆ ด้วย
ไม่ว่าใครที่มองเห็นภาพนี้ผ่านอาคารก่อสร้างอันรกร้างและวังเวง คงจะรู้สึกไม่ต่างกันว่าโลกกำลังถูกกัดกร่อนทีละนิดๆ
“ไฟไหม้รุนแรงมาก ซอมบี้แถวๆ นี้ถูกดึงดูดเข้าไปหมดแล้ว”
มู่เฉินค่อยๆ ยื่นหน้าออกไปอย่างระมัดระวัง แล้วมองสำรวจสองฝั่งถนนรอบหนึ่ง จากนั้นก็ทำหน้าคลายใจ พร้อมพูดขึ้น
หลิงม่อแบกกระเป๋าเป้ สองมือซุกกระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกมาเลย หน้าตาเขาเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับยังคงเปล่งประกายดังเดิม เขายืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตู แล้วเตือนเสียงเรียบว่า “อย่าลืมสิ ข้างกายพวกเรามีลูกครึ่งซอมบี้อยู่ตัวหนึ่งนะ ถ้านายอยากเห็นซอมบี้ หันกลับมาก็เห็นแล้วนี่”
“ห๊ะ?”
มู่เฉินหันกลับไปโดยอัตโนมัติ ปรากฏว่าพอหันกลับไป ก็สบตาเข้ากับดวงตาสีแดงจางๆ คู่หนึ่งเข้าพอดี
สวี่ซูหานที่ถูกซย่าน่าดึงตัวไว้กำลังพยายามยื่นแขนข้างหนึ่งออกมา ดวงตาเบิกกว้างคู่นั้น กำลังจ้องมาทางหลิงม่อและมู่เฉินพร้อมแยกเขี้ยวแยกเล็บใส่ ทว่าหลังจากที่เปล่งเสียงขู่อยู่สองสามครั้ง สายตาของเธอก็ฉายแววเลื่อนลอยอีกครั้ง แล้วเธอก็ค่อยๆ สงบลง
ทว่าทั้งหมดนั่นทำให้มู่เฉินตกใจจนแทบสำลัก เขารู้สึกหนังศีรษะชาไปหมด
ถ้าหากเป็นซอมบี้ทั่วไปก็ไม่เท่าไหร่ แต่คนตรงหน้ากลับเป็นคนที่เขาคุ้นเคยดี เขาจึงรู้สึกว่ามันน่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่า
พอเห็นสภาพของสวี่ซูหาน มู่เฉินก็รู้สึกเหมือนความหวังที่เธอจะหายดีเป็นปกติคงเป็นไปได้ยาก แต่คิดอีกที แม้แต่หลิงม่อยังไม่ยอมแพ้ แล้วตัวเองจะตัดใจง่ายดายขนาดนี้ได้อย่างไร…
คิดได้อย่างนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมขึ้นมา “จะว่าไป ทำไมยัยนั่นถึงได้ปองร้ายกับเราแค่สองคนล่ะ?!”
พูดไป เขาก็หันไปมองพวกเย่เลี่ยนสามคนด้วย
เด็กสาวสามคนนี้ยืนอยู่กับสวี่ซูหานโดยไม่มีท่าทีหลบเลี่ยง ซน่าน่าถึงขนาดรับหน้าที่ควบคุมความประพฤติของเธอด้วยซ้ำ แต่สวี่ซูหานกลับไม่สนใจเพื่อนร่วมเพศสามคนที่ยืนอยู่ห่างตัวเองแค่คืบ แต่ดันแสดงความปรารถนาอยากโจมตีใส่พวกเขาสองคนแทน
นี่มันไม่ถูกต้องนี่!
หลิงม่อครุ่นคิดอย่างจริงจัง แล้วบอกว่า “แรงดึงดูดของเพศตรงข้ามมั้ง…”
“อย่ามาแถนะโว้ย!” มู่เฉินเคือง
“เอาน่า นำทางได้แล้ว ตอนนี้สาขาแยกไม่มีใครอยู่พอดี พวกเราจะเดินทางไปนิพพานสำนักงานใหญ่ในไม่ช้านี้ ไปหาของเพิ่มหน่อยดีกว่า” หลิงม่อบอก
มู่เฉินตาเป็นประกายขึ้นมา “ใช่แล้ว! ไปปล้นบ้านที่เจ้าของไม่อยู่ดีกว่า”
“แต่สาขาย่อยแบ่งออกเป็นสองส่วนนะ ส่วนหนึ่งคือที่พัก และอีกส่วนก็…ถือว่าเป็นที่ทำงานล่ะมั้ง” มู่เฉินพูด
หลิงม่อยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็พูดต่อ “ไปที่ทำงานดีกว่า ของส่วนมากจะถูกเก็บรวบรวมไว้ที่นั่น”
คราวนี้เขาไม่ต้องสางแผนพาพวกหลิงม่อเดินอ้อมอีกแล้ว เพียงหนึ่งชั่วโมงผ่านไป มู่เฉินก็พาพวกเขามาถึงหน้าประตูโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
“ที่นี่เองหรอ?” หลิงม่อตะลึงเล็กน้อย
ก็ไม่แปลกที่เขาจะมีเครื่องหมายคำถามติดอยู่บนหน้า เพราะโรงพยาบาลแห่งนี้เก่ามาก
ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างราวกับถูกผลิตขึ้นเมื่อ 1 ศตวรรษที่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดูวังเวงเข้าไปอีก
ม่านหน้าต่างเก่าขาดๆ ถูกลมพัดพลิ้วออกมาด้านนอกบานหน้าต่างที่ถูกเปิดแง้มทิ้งไว้ กำแพงอิฐสีแดงด้านนอกมีแต่พืชสีเหลืองเกาะก่ายเต็มไปหมด พืชไม้เลื้อยเหล่านี้ดูแตกต่างจากต้นตีนตุ๊กแกในสมัยก่อนเล็กน้อย ไม่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูน่าเกลียดน่ากลัว แต่พวกมันยังแผ่กลิ่นอายประหลาดบางอย่างออกมาด้วย
พวกนี้ก็เป็นสิ่งที่เติบโตหลังจากติดเชื้อไวรัส มองแวบแรกเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อใดที่มันเลื้อยยาวจนเต็มผนังสิ่งก่อสร้างหลังหนึ่ง ภาพที่เห็นก็จะเหมือนมีมือคนมากมายกำลังยืนออกมาจากด้านใน
ประตูใหญ่ของที่นี่มืดมิดและสภาพรกรุงรัง นั่นทำให้คนยากที่จะย่างเท้าเข้าไป ยิ่งยากจะคาดเดาได้ว่าที่นี่เกี่ยวข้องกับสาขาย่อยของนิพพาน
เสี้ยววินาทีหนึ่ง หลิงม่อคิดว่ามู่เฉินไม่จำเป็นต้องพาพวกเขาเดินอ้อมไปอ้อมมาเลยแม้แต่น้อย ถึงจะพาพวกเขามาเดินอยู่แถวๆ นี้ เขาก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าที่นี่คือสาขาย่อยเมืองตงหมิงของนิพพาน
“ก็ที่นี่แหละ” มู่เฉินยืนยัน “นายอย่าสนใจสภาพข้างบนนี้สิ ที่ทำการจริงๆ อยู่ใต้ดินนู่น”
“ก็ใช่แหละ ซ่อนตัวได้บอดเยี่ยมมาก” หลิงม่อพยักหน้ารับ
ถึงแม้จะไม่ค่อยเหมือนกับที่คิดไว้ ทว่าทุกคนก็ยังคงเดินตามมู่เฉินเข้าไปข้างใน
เสี้ยววินาทีที่ก้าวข้ามประตูใหญ่ หลิงม่อรู้สึกได้ทันทีว่าอุณหภูมิลดลงไปหลายองศา
ด้านหลังประตูคือโถงทางเดินอันมืดมิด เนื่องจากครึ่งหนึ่งของผนังถูกทาด้วยสีเขียว พอเลือดถูกสาดใส่ผนังเป็นวงกว้าง จึงดูสะดุดตามากกว่าปกติ
ประตูไม้สองข้างทางถูกเปิดทิ้งไว้ทุกบาน สายลมพัดเข้ามาจากทิศใดทิศหนึ่ง แล้วลอยออกไปยังอีกทิศ ส่งผลให้ทั่วทั้งโถงทางเดินเต็มไปด้วยเสียงประตูขยับดัง “เอี๊ยดอ๊าด” และเสียง “หวีดหวิว” ของลม เมื่อสองเสียงดังผสมผสานกัน ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันขนลุกซู่
“นึกว่าที่ที่พวกนายอยู่จะดีกว่านี้หน่อย” หลิงม่อที่เดิมตามอยู่ข้างหลัง อดพูดขึ้นไม่ได้
ในเมื่อที่นี่เป็นสาขาย่อยของนิพพาน ย่อมต้องไม่มีซอมบี้อยู่แล้ว ทว่าสภาพแวดล้อมแบบนี้กลับทำให้รู้สึกระแวงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ความปลอดภัยมาก่อนเป็นอันดับแรก” มู่เฉินพาพวกเขาเดินตรงเข้าไปในโถงทางเดิน แล้วเดินเลี้ยวไปทางบันไดซึ่งทอดลงไปข้างล่าง “ยิ่งไปกว่านั้นเงื่อนไขของที่นี่ ก็ดีกว่าที่พักผู้รอดชีวิตทั่วไปไม่รู้ตั้งกี่เท่านะ แต่ที่นี่กับสำนักงานใหญ่ เทียบกันไม่ติดหรอก ถึงฉันจะไม่เคยไปสำนักงานใหญ่ แต่จากที่นายจับสมาชิกของสำนักงานใหญ่ได้คนหนึ่งก็คงจะรู้แล้ว บอกไว้ก่อน ทรัพยากรของสำนักงานใหญ่ก็ได้มาจากการรวบรวมไปจากพวกสาขาย่อยอย่างพวกฉันนี่แหละ”
“อืม ความจริงพวกนายกำลังเสี่ยงชีวิตเพื่อสำนักงานใหญ่สินะ” หลิงม่อพูดแทงใจดำ
มู่เฉินอ้าผากพะงาบๆ แต่สุดท้ายก็พูดอย่างเหนื่อยหน่าย “ก็รนหาที่เองนี่นะ…แต่พอมาคิดดูตอนนี้ มันเหนื่อยมากจริงๆ”
ยากที่จะได้เห็นเขามีสีหน้าอย่างนี้ หลิงม่อเห็นแล้วอดแปลกใจไม่ได้
แต่เขาพูดจากใจจริง หลังพักผ่อนมาครึ่งค่อนคืน ในที่สุดจิตใจเขาก็สงบลงมาก
ตอนแรก เขามองว่าเรื่องที่จะช่วยหลิงม่อฝึกทีมปาฏิหาริย์เป็นแค่การแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้ เขากลับรู้สึกอยากทำด้วยใจขึ้นมาแล้ว
อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครแทงข้างหลังอีกแล้ว แล้วก็ไม่ต้องคอยกังวลเพราะการแข่งขันเหล่านี้อีก
ถึงแม้หลิงม่อจะเป็นคนที่มีความลับเยอะ แต่มีเรื่องหนึ่งที่มู่เฉินมองออกอย่างชัดเจน
ขอเพียงไม่มีอันตรายคุกคามกับหลิงม่อ เขาย่อมอยู่รอดปลอดภัย
แต่ทันทีที่คิดจะทำเรื่องไม่ดีกับเขาและเหล่าแฟนสาวของเขา คนคนนี้ก็จะไม่ออมมือเด็ดขาด
“เรื่องราวทุกอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา เลยอยู่ด้วยกันได้ไม่ยาก” มู่เฉินคิดอย่างนี้
หลังจากเดินลงบันไดไป ก็เห็นประตูเหล็กบานใหญ่บานหนึ่งอยู่ตรงหน้า
หลิงม่อเงยหน้ามอง แล้วรู้สึกพูดไม่ออกทันที
ป้ายเนื้อไม้แผ่นหนึ่งแขวนไว้ด้านข้าง ด้านบนมีอักษรอยู่หนึ่งบรรทัด : ห้องเก็บศพเข้าทางนี้
มู่เฉินมองตามสายตาของหลิงม่อ แล้วนิ่งไปชั่วขณะ
เมื่อก่อนตอนที่เก็บป้ายนี้ไว้ ทุกคนต่างรู้สึกว่ามันน่าขำ
แต่ตอนนี้ กลับรู้สึกเหมือนการเสียดสีอย่างหนึ่ง…
“แกร๊กๆๆ…” มู่เฉินผลักประตูใหญ่ออกอย่างแรง
ห้องทำงานนี้ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่เก็บรวบรวมสิ่งของ แต่เป็นห้องของหมายเลข 0 ด้วย
ทว่า ตอนนี้ในห้องกลับเต็มไปด้วยความมืดมิดไร้ที่เปรียบ บนพื้นมีสิ่งของที่ถูกทิ้งเรี่ยราดให้เห็นเป็นระยะๆ ประตูห้องส่วนมากก็ถูกเปิดทิ้งไว้ เห็นชัดว่าหลังจากเมื่อคืน คนที่อยู่ที่นี่ก็พากันหนีออกไปหมดแล้ว
นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงแม้คนพวกนี้จะไม่รู้ว่าสาขาย่อยล่มสลายแล้ว แต่ก็เห็นว่าหมายเลข 0 ตายแล้วกับตาตัวเอง
ตอนเดินผ่านห้องทดลองห้องนั้น หลิงม่อได้เดินเข้าไปดูแวบหนึ่ง แล้วเขาก็เห็นศพที่เริ่มเขียวช้ำศพหนึ่งอยู่ในตู้อบ
สิ่งที่เขาเห็นแตกต่างจากที่คิด เด็กทารกนั่นดูปกติมาก เพียงแต่มีศีรษะที่ใหญ่กว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่รู้ว่านิพพานสาขาย่อยไปหาเด็กทารกมนุษย์ผู้นี้มาจากไหน แต่แค่คิดว่าพวกเขาสละชีวิตอันไร้เดียงสาได้อย่างไม่ลังเล เพียงเพื่อการการทดลองหนึ่งแล้ว…
หลิงม่อขมวดคิ้วเบาๆ ในใจสาปส่งอย่างแค้นเคือง “สมควรตายนัก”
หมายเลข 0 ตัวเดียวยังต้องเสียสละมากมายขนาดนี้ การถือกำเนิดของหมายเลข 1 ก็คงต้องแลกมาด้วยชีวิตและความทุกข์ทรมานนับไม่ถ้วน
“พี่หลิง ดูนี่” หลิงม่อเรียกเขา
หลิงม่อหันไปมอง แล้วก็เห็นว่าสามสาวซอมบี้กำลังดึงตัวสวี่ซูหานและยืนอยู่หน้าตู้หลังหนึ่ง ซย่าน่าซึ่งอยู่ในกลุ่มหันหน้ามา แล้วกวักมือเรียกเขา
เขารีบเดินเข้าไปหา แล้วก็พบว่าลิ้นชักหลายอันถูกดึงออกมาแล้ว ในนั้นก็มีขวดและกระป๋องมากมายอยู่เต็มไปหมด
ทว่าสิ่งที่สะดุดตาที่สุด กลับเป็นสมุดที่เหลือเพียงครึ่งเล่มบนโต๊ะตัวนั้น
เห็นชัดว่าคนพวกนั้นตั้งใจจะเผาสมุดเล่มนี้ก่อนจะหนีไป แต่ในความเป็นจริงพวกเขากลับเผาไหม้ไปแค่มุมหนังสือเท่านั้น ส่วนที่เหลือยังคงสมบูรณ์ดีอยู่
หลิงม่อขมวดคิ้วแล้วพลิกอ่านดู พลิกไปได้ไม่กี่หน้า ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
สมุดบันทึกของนักวิจัยพวกนั้น!
ยิ่งไปกว่านั้น นึกไม่ถึงว่าเนื้อหาส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับการวิจัยด้านพลังจิต…
—————————————————————————–