แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 660 จะนินทาก็ควรไปนินทาลับหลังคนอื่นเขาสิ!
จากบันทึกการใช้งานแอพฯ นำทางของเฉินเล่อ หลังจากที่ออกจากเมืองตงหมิง พวกหลิงม่อได้เดินเท้าในระยะหนึ่งเข้าไปเส้นทางที่ค่อนข้างลับตาคน
เมื่อก่อนถนนหลวงเส้นนี้ถูกทางด่วนเข้ามาแทนที่ ถึงแม้จะไม่ได้ถูกทิ้งร้างไปจริงๆ แต่จำนวนรถที่สัญจรไปมาก็ค่อนข้างน้อย จำนวนซอมบี้จึงมีไม่มากเพราะเหตุนี้
สิ่งที่ทำให้หลิงม่อประหลาดใจก็คือ ถนนเส้นนี้ยังเคยผ่านการทำความสะอาดมาก่อนแล้วด้วย
ซากรถที่มีไม่มากอยู่แล้วถูกลากไปกองรวมกันไว้ที่เดียว เผยให้เห็นถนนเส้นหนึ่งที่ถึงแม้คดเคี้ยว แต่ก็โล่งเปล่าไม่มีสิ่งกีดขวาง
งานนี้ไม่ใช่งานง่ายๆ หากให้ผู้รอดชีวิตมาทำ ถึงจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ ก็เกรงว่าจะกินแรงไม่น้อย
ทว่าคิดดูอีกทีพวกนั้นมีตัวทดลองอย่างหมายเลข 1 อยู่ด้วย งานลำบากอย่างนี้ คงจะถูกสัตว์ประหลาดอย่างเจ้านั่นจัดการได้ง่ายๆ
นอกจากนี้ หากดูจากร่องรอยบนพื้น ก็จะเดาได้ว่าเคยมีซอมบี้จำนวนหนึ่งถูกฆ่าที่นี่
และศพของซอมบี้พวกนั้น ก็ได้ล่อซอมบี้ฝูงใหม่เข้ามา
ซอมบี้เหล่านั้นกำลังเคลื่อนไหวช้าๆ อยู่บนถนนหลวง สายตามองไปข้างหน้า บางครั้งก็หันมองรอบๆ ตัว เพื่อมองหาเหยื่อที่อาจปรากฏตัวออกมา
แค่เส้นทางถูกทำความสะอาด ไม่ได้มีความหมายกับพวกหลิงม่อมากนัก
แต่หลิงม่อไม่นึกว่าในระหว่างที่ตัวเองเดินไปเดินมาอยู่ข้างทาง เขาจะเจอรถออฟโรดคันหนึ่งซึ่งเติมน้ำมันไว้เต็มถัง แถมยังบรรทุกอาหารจำนวนหนึ่งไว้ด้วย
ไม่ต้องเดาก็รู้ นี่คือรถที่สมาชิกนิพพานจอดไว้ที่นี่ ในช่องแคบๆ ด้านหลังรถออฟโรด มีกรงเหล็กรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่หนึ่งกรง เดาว่านั่นคงจะเป็นที่คุมขังของหมายเลข 1
บนราวกั้นของกรงเหล็กมีร่องรอยมากมายที่เกิดจากการทุบตี บางทีตอนที่หมายเลข 1 พยายามขัดขืน คงจะถูกทุบตีและทรมานไม่น้อย
หลิงม่อจ้องกรงเหล็กนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ในจู่ๆ ภาพที่สวี่ซูหานนั่งอยู่ในกรงเหล็กนั้นก็ผุดขึ้นในสมองเขาอย่างไม่รู้ตัว
เขามองเห็นดวงตาสีแดงจางๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง และคอเสื้อที่เปิดอ้าออกเล็กน้อยอยู่ในกรงเหล็กนั่น…
“เดี๋ยวก่อน นี่เราคิดเรื่องนี้ทำไมเนี่ย…”
หลิงม่อสะบัดหัวไปมา ตอนที่เขามองสวี่ซูหาน ไม่นึกเลยว่าเหมือนเธอจะรู้สึกได้ จู่ๆ เธอก็คว้าแขนของซย่าน่า แล้วเข้าไปหลบอยู่หลังเธอ
“เอ่อ…” หลิงม่อกระอักกระอ่วน
ก่อนขึ้นรถ เขาหันกลับไปมองข้างหลังอีกครั้ง
ถึงแม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่หลิงม่อรู้ดี ว่าสวี่ซูหานกับเสี่ยวป๋ายกำลังตามหลังมา
บทเรียนครั้งที่ผ่านมา ทำให้ครั้งนี้ซอมบี้โลลิไม่กล้าวิ่งซนไปทั่วอีกแล้ว
แต่อย่างไรครั้งนี้เธอก็ยังต้องตามหลังอยู่ห่างๆ กับเสี่ยวป๋ายอีกครั้ง
หากวัดกันเรื่องเดินทางด้วยเท้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเร็วหรือความอึด เสี่ยวป๋ายไม่มีทางด้อยกว่าอย่างแน่นอน
แต่เรื่องที่มันติดเชื้อไวรัส กลับเหมือนระเบิดเวลาที่ไม่แน่นอน บางทีอาจมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นกะทันหันได้ทุกเมื่อ
แต่เป็นห่วงก็ส่วนเป็นห่วง จากสถานการณ์ในตอนนี้ ก็ทำได้เพียงคอยสังเกตการณ์ต่อไปเท่านั้น
กลับเป็นซอมบี้โลลิน้อยอวี๋ซือหรานมากกว่า ตอนนี้เธอคงจะทำหน้าบึ้งตึงอารมณ์เสียอยู่อย่างแน่นอน…
พอคิดถึงเรื่องนี้ หลิงม่อเองก็รู้สึกจนใจขึ้นมาเล็กน้อย
ก็สถานการณ์มันบังคับนี่นา…
“หัวหน้าทีม ขึ้นรถสิ” มู่เฉินเร่งเร้า
เขาชื่นชอบรถออฟโรดคันนี้มาก ขณะที่เร่งเร้าหลิงม่อ สองมือยังไม่ลืมลูบไล้ฝากระโปรงหน้ารถ ปากก็ร้องจุ๊ๆ อย่างถูกใจ
แต่เพราะเขามัวเสียเวลาตรงนี้ กว่าจะรู้ตัว ก็ต้องตะลึงเมื่อพบว่าตรงที่นั่งคนขับมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“เดี๋ยวนะ เธอขับเป็นหรอ?” มู่เฉินเบิกตากว้าง แล้วถาม
ซย่าน่าหัวเราะเย็นชา เธอขยับนิ้วมือทั้งสิบ และลูบไม้ลูบมือเล็กน้อยเพื่อเป็นการอุ่นเครื่อง “แน่นอนอยู่แล้ว”
“มั่นใจขนาดนี้เชียว…” มู่เฉินเพิ่งจะทำหน้ากึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อออกมา แล้วจู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นสีหน้าของหลิงม่อ
หัวหน้าทีมของเขากำลังนั่งหลังตรงอยู่ในตำแหน่งข้างที่นั่งคนขับ พร้อมทำหน้าดำคร่ำเครียด…
มู่เฉินใจเต้น “ตึกตัก” ทันที เขาเพียงอ้าปากพะงาบๆ แต่สุดท้ายกลับเดินคอตกไปขึ้นรถ โดยไม่ได้พูดอะไร
เรื่องที่หลิงม่อทำได้เพียงอดทน เขาก็ต้องอดทนไปอย่างนี้เหมือนกัน…
“ไม่ว่าจะขับแย่แค่ไหน ก็คงไม่แย่ไปกว่าขับเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาหรือไม่ก็ขับช้าเหมือนเต่าล่ะมั้ง…” มู่เฉินปลอบใจตัวเอง
แต่ในไม่กี่นาทีต่อมา เขาถึงได้ตระหนักว่า ตัวเองผิดมหันต์แล้ว!
ซย่าน่าขับรถปาดไปปาดมาอย่างเกรี้ยวกราด แถมยังขับเร็วจนน่ากลัวมากด้วย!!
เธอมักจะขับพุ่งเข้าไปหาซอมบี้ที่ปรากฏตัวบนถนนตรงๆ จนกระทั่งเมื่อใบหน้าของซอมบี้ใกล้จะแนบติดกระจก หรือในตอนที่พวกเขาสามารถมองเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวนั้นได้อย่างชัดเจนแล้ว เธอถึงได้หักพวงมาลัยกะทันหัน แล้วพาตัวรถเฉี่ยวผ่ายร่างของซอมบี้ไปอย่างเฉียดฉิว
แค่นี้ยังไม่เท่าไหร่ เสี้ยววินาที่ที่ขับผ่านไป ซย่าน่าถึงขั้นแทงเคียวดาบออกไป และในระหว่างที่เลือดสดๆ ลอยกระจายไปพร้อมสายลม เธอกลับนับจำนวนด้วยสีหน้าจริงจัง “หนึ่งตัว…สองตัว…”
ผ่านไปไม่กี่ครั้ง มู่เฉินที่หน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลมก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในสมอง : ฉันเดาตอนเริ่มของเรื่องถูก แต่กลับเดาเรื่องราวระหว่างนั้นไม่ถูก!
ขณะที่พวกหลิงม่อขับรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังนิพพานสำนักงานใหญ่อย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งได้ลงจอด ณ สนามบินของฐานทัพฟอลคอนที่ 2
เมื่อประตูเครื่องเปิดออก เงาร่างของคนสิบกว่าคนก็ทยอยเดินเรียงแถวออกมาราวกับฝูงปลา และด้านหลังบานหน้าต่างของตึกที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ใครคนหนึ่งกำลังมองมาที่พวกเขา
หลังคนเหล่านั้นลงจากเฮลิคอปเตอร์ ก็รีบมุ่งหน้ามายังตึกที่เขาอยู่ทันที คนคนนี้เห็นแล้วอดยิ้มเย็นชาไม่ได้ “ไม่ทักไม่ทายกันซักนิด คิดจะมาก็มาเลย”
“เขาเคยบอกก่อนแล้วเหอะ…” ข้างหลังมีเสียงของใครอีกคนดังขึ้น
“อ้อ…ของแบบนั้น ฉันขี้เกียจอ่าน” คนข้างหน้าต่างพูดอย่างไม่สนใจ
“ก็ใช่…” นึกไม่ถึงว่าคนที่อยู่ข้างหลังจะเห็นด้วย แล้วพยักหน้าพูดว่า “ตอนนี้นายเป็นคนรับผิดชอบที่นี่ เป็นหัวหน้าตัวจริงของที่นี่ แต่พวกเขากลับแค่บอกล่วงหน้า แต่ไม่ได้ปรึกษาหารือก็มาเลย ซ้ำยังขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของเราที่ไปส่งของกลับมาอีก…”
คนข้างหน้าต่างหันหน้ากลับมากะทันหัน แล้วบอกว่า “ต่อไปกำชับแทนฉันด้วย หากไม่มีคำสั่งของฉัน ไม่ว่าใครหน้าไหนในฟอลคอนที่ 1 ต้องการจะขึ้นเครื่อง ให้ปฏิเสธให้หมด อ่อ…แล้วก็หากไม่มีคำสั่งของหลิงม่อด้วย”
“น้องเขยนายอยู่ที่ไหนไม่รู้ด้วยซ้ำ…” จางอวี่กลอกตามองบน
ถึงแม้จะพูดอย่างสบายๆ แต่จางอวี่ก็ยังอดทำหน้ากังวลไม่ได้
ในความเป็นจริง เป็นเพราะท่าทีอย่างนี้ของอวี่เหวินซวน ที่ทำให้คนกลุ่มนั้นมาถึงที่นี่
ตอนนี้ถึงขั้นถ่ายทอดคำสั่งเผด็จการอย่างนี้อีก ไม่แน่ว่า ซักวันหนึ่งพวกเขาอาจฟังแค่คำสั่งของอวี่เหวินซวนกับหลิงม่อจริงๆ ขึ้นมา…
แต่ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ ฐานทัพฟอลคอนจะยอมอยู่เฉยหรอ?
เขายังไม่ทันได้คิดอย่างละเอียด เสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาจากนอกประตู
“ผมขอรายงานก่อน…พวกคุณจะเข้าไปเลยอย่างนี้ไม่ได้นะ!”
“รายงานอะไร! ในนี้มีใครบ้างที่ไม่ใช่คนเก่าคนแก่ของฐานทัพที่ 1 ยังต้องรายงานให้อวี่เหวินซวนอีกรึ มากเกินไปแล้ว!”
“มัวเสียเวลากับเขาทำไม? พวกนาย ไสหัวไปซะ! คิดว่าเป็นตัวอะไรมาจากไหน ถึงได้กล้ามาขวางพวกเรา ตาบอดรึไง!”
เสียงเอะอะโวยวายดังลั่น พร้อมกับเสียงบานประตูที่สะเทือนดัง “ปึงปึง”
“นี่มันออกจะ…” จางอวี่ขมวดคิ้วพูดขึ้น
แต่เขาเพิ่งจะเปิดปากพูด อวี่เหวินซวนก็ดึงเสื้อให้เข้าที่ จากนั้นก็เดินไปยังประตูห้องอย่างรวดเร็ว และเปิดประตูดัง “แกร๊ก” “โอ๊ะ แขกพิเศษนี่นา”
นอกประตู เจ้าหน้าที่ยามเฝ้าประตูสองคนกำลังยื้อหยุดพวกนั้นไว้ด้วยสีหน้าลนลานและลำบากใจ และข้างหน้าพวกเขาก็คือคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง
หนึ่งในนั้นซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าสุดกำลังยกแขนขึ้นสูง ฝ่ามืออ้ากว้าง และจ้องหน้าเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูอย่างโกรธขึ้ง
พอประตูเปิดออก การเคลื่อนไหวของเขาก็ชะงักค้างอยู่อย่างนั้น
“เป็นมิตรขนาดนี้เลยหรอ ฉันยังไม่ทันออกมาก็เตรียมโบกมือทักทายกันก่อนแล้ว? อุวะฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจมากหรอกน่า มารยาทดีเกินไปแล้ว คือว่า…เอ่อ ใช่สิ นายเป็นตัวอะไร ฉันต้องเรียกนายว่าไงนะ?”
อวี่เหวินซวนหรี่ตาเล็ก แล้วพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มร่า
ตอนที่ได้ยินประโยคแรกๆ ชายคนที่ยกมือค้างอยู่เริ่มมีสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่พอได้ยินจนจบประโยค สีหน้าของเขาพลันบึ้งตึงขึ้นมาทันที
เสียดสี ดูถูก พออวี่เหวินซวนอ้าปากพูด กลิ่นชนวนระเบิดก็เข้มข้นขึ้นทันที…
นิ้วมือของเขากระตุกเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ฟาดลงไปจริงๆ แต่กลับสะบัดแขนลงอย่างขุ่นเคือง แล้วชักสีหน้าพูดขึ้นว่า “ฉันเป็นรองหัวหน้าคณะตรวจสอบของฐานทัพที่ 1 เกาเวย ท่านนี้คือหัวหน้าคณะ”
พูดไป เขาก็เบนสายตาไปมองชายแก่ที่ยืนอยู่ข้างตัวเอง
ชายแก่คนนี้ผิวคล้ำมาก สีหน้าท่าทางเป็นคนเคร่งครัด หนังเหี่ยวย่นห้อยอยู่บนดวงตาหรี่เล็ก เขาเม้มปาก วางท่าว่าห้ามสิ่งมีชีวิตใดเข้าใกล้เด็ดขาด
“ฉันเป็นหัวหน้าคณะ มู่ถาน”
“น่าจะชื่อเมี่ยนทาน (หน้าตาย) มากกว่านะ…” อวี่เหวินซวนเม้มปาก แล้วหันไปพูดว่า “เกาเว้ยเมี่ยนทาน (โรคใบหน้าอัมพาตขั้นหนัก)…ช่างบังเอิญเข้ากันได้ดีจริงๆ”
รองหัวหน้าคณะคนนั้นหน้าบึ้งจนถึงขีดสุดแล้ว ส่วนสมาชิกในคณะที่อยู่ข้างหลัง แต่คนกำลังกลั้นหัวเราะจนหน้าแทบเขียว
ได้ยินมานานแล้วว่าหัวหน้าของฟอลคอนที่ 2 เป็นคนบ้า วันนี้ได้เจอกับตัวก็รู้ว่าเป็นดั่งคำร่ำลือจริงๆ…
คนอะไร นินทาคนอื่นต่อหน้าต่อตาเจ้าตัวก็ได้หรอ? แถมยังจงใจพูดให้ได้ยินชัดๆ อีก!
และจางอวี่ผู้ที่ถูกบังคับให้เป็นคู่สนทนากับเขา กลับยังคงรักษาสีหน้าราบเรียบไว้ดังเดิม ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมองข้ามคำพูดของอวี่เหวินซวนไป และหันมาพูดกับมู่ถานว่า “หัวหน้าเมี่ยน…หมี่ ยินดีที่ได้ต้อนรับ เชิญทางนี้”
—————————————————————————–