แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 666 ใกล้แล้ว!
“ฮัดเช้ย!”
หลิงม่อยกมือปิดปากพร้อมจามเสียงดัง จากนั้นก็บี้จมูกสองสามครั้ง “ใครนินทาฉันอยู่นะ?”
เขาคิดในใจ พลางยกมือขึ้นรับวัตถุก้อนหนึ่งที่หล่นลงมาบนหัวอย่างแม่นยำ และยัดใส่ถุงถนอมอาหารโดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ
ตอนนี้ในถุงมีก้อนไวรัสเหนียวหนืดถึงครึ่งถุงแล้ว มองแวบแรกมีแต่สีแดงสดผิดปกติ มันดูสวยสดจนประหลาด
กลิ่นเชื้อไวรัสฉุนๆ ลอยโชยออกมาจากในถุง ทำให้หลิงม่ออดสูดจมูกไม่ได้
ถึงแม้การที่เขาเกิดความรู้สึกอย่างนี้ทั้งที่เป็นมนุษย์จะเป็นเรื่องแปลก แต่กลิ่นนี้มัน….
หอมมาก!
“ดูจากพัฒนาการ อีกสองชั่วโมง ก็น่าจะพอแล้ว…”
ตอนนี้เวลาในการล่าเหยื่อได้ผ่านไปสามชั่วโมงกว่าแล้ว ขอบเขตในการล่าก็ได้ขยายไปทั่วเขตใจกลางของเมือง
หาก้อนไวรัสเหนียวหนืดได้มากขนาดนี้ ก็ทำให้หลิงม่อประหลาดใจมากแล้ว
นี่ก็เป็นผลของการวิวัฒนาการของผ่าพันธุ์ซอมบี้ หากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อน แม้จะเก็บก้อนเหนียวหนืดแค่สิบก้อนก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย และตอนนี้ก็มีซอมบี้กลายพันธุ์ปรากฏตัวขึ้นมากมาย ซอมบี้วิวัฒนาการก็มีไม่น้อย
ชนชั้นสูงแม้ว่าจะยังมีน้อยมาก แต่ความเป็นไปได้ที่อาจบังเอิญเจอก็เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนมาก
สำหรับผู้รอดชีวิต วิวัฒนาการอันรวดเร็วของซอมบี้ก็เหมือนกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แต่สำหรับพวกเย่เลี่ยน กลับถือเป็นเรื่องดี
คิดไปคิดมา หลิงม่อยังรู้สับสนในตัวเองอยู่
ด้านหนึ่งในฐานะมนุษย์ เขาไม่อยากเห็นจุดจบอย่างนี้
แต่ในอีกด้าน เขากลับเคยชินที่จะคิดเผื่อพวกเย่เลี่ยน เขามักจะเผลอตัวไปยืนอยู่ในจุดยืนของพวกเย่เลี่ยนแล้วมองดูมาที่ปัญหาเหล่านี้
นานไปๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ ว่าควรจะเอนเอียงไปทางไหนมากกว่ากัน
“ไม่คิดแล้วๆ…”
หลิงม่อส่ายหน้า แล้วจู่ๆ เขาก็ยิ้มขึ้นมา
ก้อนเหนียวหนืดที่ไม่รู้พุ่งเข้ามาจากทิศใดถูกเขารับไว้อย่างแม่นยำ และยัดใส่ถุงอีกครั้ง
นอกจากนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ว่าง หนวดสัมผัสหลายเส้นแผ่ออกไปทั่วทิศทำหน้าที่เป็นกล้องวงจรปิด เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกะทันหัน
ถึงแม้จากการสำรวจก่อนหน้า หลิงม่อได้วางใจลงไม่น้อยแล้ว แต่จะลดการระวังตัวลงไม่ได้เด็ดขาด
แค่ดูพวกเย่เลี่ยนก็รู้แล้ว ว่าความสามารถในการลอบทำร้ายของซอมบี้น่ากลัวขนาดไหน…
เมื่อพวกเธออยู่ข้างกายหลิงม่อก็ยังควบคุมตัวเองบ้าง แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางการต่อสู้กับซอมบี้พวกเธอกลับปลดปล่อยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนแรกพวกเธอยังดูไม่ “ป่าเถื่อน” มากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การลอบทำร้ายของพวกเธอ ก็เริ่มใกล้เคียงเหล่าซอมบี้ระดับสูงที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการสังหารทุกวันเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับพวกเธอนี่ถือเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง แต่หลิงม่อรู้สึกว่าการที่พวกเธออยู่กับมนุษย์อาจไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป
ในด้านของสัญชาตญาณอาจด้อยกว่าซอมบี้ป่าเถื่อน ความเร็วในการวิวัฒนาการก็ตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด แต่พวกเธอกลับรู้จักใช้เคล็ดลับและกลอุบายเล็กๆ เหล่านั้นได้ดีกว่าซอมบี้ทั่วไป
และแค่กับดักง่ายๆ เพียงกับดักเดียว ก็ทำให้พวกเธอเป็นฝ่ายเหนือกว่าได้ในพริบตา
ทว่าในกลุ่มสาวๆ ซอมบี้ เย่เลี่ยนกลับเป็นกรณียกเว้น
รูปแบบการโจมตีของเธอจะพื้นฐานกว่า และใกล้เคียงการโจมตีของซอมบี้ป่าเถื่อนมากที่สุด
หลิงม่อคิดว่า เรื่องนี้อาจเกี่ยวกับที่สติปัญญาของเธอฟื้นคืนกลับมาได้น้อยที่สุด…
และไม่แน่อาจเป็นเพราะเหตุนี้ เธอถึงได้สามารถแสดงวิชายิงปืนได้ขั้นเซียนขนาดนี้ โดยอาศัยแค่สัญชาตญาณเท่านั้น
แต่สวี่ซูหานที่ตั้งใจเกินไปทั้งที่มีความสามารถพิเศษที่เกี่ยวข้องกัน แต่กลับสู้เย่เลี่ยนไม่ได้
พอเปรียบเทียบกันอย่างนี้ ความจริงก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าวิธีไหนดีกว่ากัน
นี่ไม่ใช่เรื่องที่หลิงม่อจะกำหนดได้ ทำได้เพียงปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
ยิ่งไปกว่านั้นหลิงม่อคิดว่า สำหรับซอมบี้ ชนชั้นสูงเหมือนเป็นช่วงเวลาของการก้าวผ่านเข้าสู่ระดับสูงที่แท้จริงมากกว่า
ทิศทางวิวัฒนาการที่แท้จริง เกรงว่ากว่าจะดูออกก็คงต้องรอให้ถึงระดับเจ้าเมืองก่อน…
“พึ่บ!”
ก้อนเหนียวหนืดอีกก้อนถูกขว้างเข้ามา พร้อมกับเงาร่างของหลี่ย่าหลินที่กำลังโฉบหายไปอยู่ไกลๆ
了。
ทว่าคุณภาพของก้อนนี้ต่ำลงมาก ดูเหมือนว่าเหยื่อดีๆ ที่พวกเธอล่าได้ จะมีน้อยลงเรื่อยๆ แล้วล่ะ
และในจำนวนก้อนเหนียวหนืดที่หลิงม่อได้รับมาทั้งหมด กลับไม่มีของเสี่ยวป๋ายเลยซักก้อนเดียว
แต่พอคิดได้ว่ามันเป็นเพียงหมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวหนึ่ง วิธีการแบบนี้ทำให้มันลำบากไม่น้อยจริงๆ…
นานๆ ทีถึงจะมีโอกาสปลดปล่อยสัญชาตญาณเต็มที่อย่างตอนนี้ เสี่ยวป๋ายท่าทางคึกคักและตื่นเต้นเต็มที่
ความน่ากลัวและดุร้ายของมันในฐานะสัตว์กลายพันธุ์ได้ถูกแสดงออกมาให้เห็น การจู่โจมอันดุดันราวปีศาจร้าย ทำให้หลิงม่อตระหนักได้อีกครั้ง ว่ามันไม่ได้เป็นเพียงหมีแพนด้าขนปุกปุยที่พยายามจะกลิ้งตัวไปมาให้ได้ แต่มันเป็นปีศาจที่ทำให้ผู้พบเห็นหน้าเปลี่ยนสีเพราะความหวาดกลัว
ยิ่งสู้เสี่ยวป๋ายก็ยิ่งฮึกเหิม ในสามชั่วโมงที่ผ่านไป มันกลืนก้อนเหนียวหนืดไปไม่น้อย
มันถึงขั้นลากสุนัขกลายพันธุ์ตัวหนึ่งออกมาจากมุมตึก อาศัยความได้เปรียบเรื่องร่างกายที่ใหญ่ยักษ์กว่า โรมรันพันตีอย่างบ้าคลั่งอยู่ซักพัก จากนั้นมันก็ฉวยโอกาสใช้กระบวนท่าแพนด้าล้มทับจัดการสุนัขกลายพันธุ์ตัวนั้นจนตายคาที่
ทว่าหลังจากที่ก้อนเหนียวหนืดของสัตว์กลายพันธุ์ก้อนนี้ถูกกลืนลงท้องไป เสี่ยวป๋ายก็ดูมึนๆ ไปทันที
“แบ๊~”
มันร้องครวญคราง แล้ววิ่งโซซัดโซเซกลับมาหาหลิงม่อ
หลิงม่อในตอนนี้กำลังนับจำนวนก้อนเหนียวหนืดด้วยตาที่เป็นประกายอยู่ แต่พอเงยหน้าแล้วเห็นหมีแพนด้ากลายพันธุ์เดินเซไปเซมาอย่างนี้ ก็ถึงกับอึ้งไปทันที
“เสี่ยวป๋าย?” เขารีบวิ่งเข้าไป แล้วใช้มือพยุงหัวของมันไว้
เสี่ยวป๋ายพยายามยกเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ค่อยๆ หมอบลง
ซอยเส้นนี้เดิมก็ไม่ได้กว่างมากอยู่แล้ว พอเสี่ยวป๋ายนอนหมอบลงไป ก็ขวางทางเดินจนมิด
“เป็นอะไรไป?”
หลิงม่อลูบหัวมันเบาๆ พร้อมมองสำรวจร่างกายของมันขึ้นลง
เสี่ยวป๋ายถึงขั้นทิ้งหัวนอนลงกับพื้น เปลือกตายังคงห้อยอยู่อย่างนั้น ปากก็เปล่งเสียงครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์
พอเห็นหลิงม่อตรวจดูแล้วไม่เจออะไร จู่ๆ เสี่ยวป๋ายก็ยกอุ้งเท้าขึ้นมาข้างหนึ่งขึ้นมากุมหัวตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ ลออุ้งเท้าข้างนั้นลง
“แกคงไม่ได้กำลังปวดหัวอยู่หรอกนะ?”
หลิงม่อหางตากระตุก แล้วถามขึ้น
“แบ๊…” สายตาอ่อนแรงของเสี่ยวป๋ายทอดมองไปข้างหน้า ขอบตาดำๆ ของมันเหมือนขยายวงกว้างขึ้นมาอีกหนึ่งรอบอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันดูหน่อย” หลิงม่อประคองหัวของมันไว้ จากนั้นก็ยื่นหน้าผากของตัวเองเข้าไปแตะ
หลังจากลองสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง หลิงม่อก็ขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “คลื่นดวงจิตไม่มีปัญหานี่นา หรือเกิดจากปัญหาด้านร่างกาย?”
พอนึกขึ้นได้ว่าในร่างกายของมันยังมีเชื้อไวรัสที่ติดมาแฝงอยู่ รวมถึงเมื่อกี้มันก็เพิ่งกลืนก้อนไวรัสเหนียวหนืดไปจำนวนมาก จู่ๆ หลิงม่อก็กระจ่างขึ้นมา
“หรือว่าแกกำลังจะวิวัฒนาการกลายพันธุ์แล้ว? แต่ปฏิกิริยาอย่างนี้ไม่ค่อยเหมือนกับซอมบี้เลย…”
เสี่ยวป๋ายยังคงนอนอ่อนแรงอยู่บนพื้น “แบ๊…”
หลิงม่อรีบยื่นมือเข้าไปกดตรงลำคอของเสี่ยวป๋าย ตามคาดผิวกายภายนอกมีปฏิกิริยาร้อนๆ หนาวๆ เล็กน้อย
เขารู้สึกลุ้นและตื่นเต้นขึ้นมาทันที เฮยซือวิวัฒนาการมาแล้วหลายครั้ง แต่เขาได้เห็นอย่างมากสุดยังไม่ถึงหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ…
แต่ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็จะได้เห็นขั้นตอนวิวัฒนาการกลายพันธุ์ของสัตว์กลายพันธุ์กับตาตัวเองแล้ว
ทว่าพอคิดถึงเชื้อไวรัสที่แฝงอยู่ในตัวของมัน หลิงม่อก็อดร้อนใจไม่ได้
เชื้อไวรัสมากมายมายผสมปนเปกันไปหมดอย่างนี้ เสี่ยวป๋ายจะวิวัฒนาการไปในทิศทางไหนกันแน่นะ?
“อะไรก็ดีหมด แต่ไม่เอาตัวเล็กเท่ากระเป๋าเสื้ออีกแล้วนะ!”
เขาคิดอย่างนี้ก็จริง แต่วิวัฒนาการของเสี่ยวป๋ายไม่ใช่สิ่งที่หลิงม่อจะกำหนดได้
หลายนาทีผ่านไป ท่ามกลางสายตารอคอยของหลิงม่อ ปฏิกิริยาของเสี่ยวป๋ายก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มันกระตุกไปทั้งร่าง พร้อมกับเปล่งเสียงที่ฟังดูคล้ายทรมานมากอยู่ตลอด
หลิงม่อลูบหัวของมันเบาๆ เพื่อพยายามทำให้มันสบายตัวขึ้นบ้าง พลางทนรับแรงกดดันทางจิตที่เกิดจากการวิวัฒนาการของเสี่ยวป๋าย
และเมื่อคลื่นดวงจิตระลอกนี้โจมตีเข้ามา หลิงม่อก็รู้สึกโชคดีขึ้นมาทันที
ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งได้รับการอัพเกรดมาครั้งหนึ่ง เกรงว่าคงจะรับการจู่โจมที่รุนแรงขนาดนี้ไว้ไม่ได้
แถมการจู่โจมเหล่านี้ก็แข็งแกร่งขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่เปิดโอกาสให้หายใจหายคอกันเลยแม้แต่น้อย
อันตรายที่เกิดขึ้นกับสายสัมพันธ์ทางจิตในระหว่างที่หุ่นซอมบี้วิวัฒนาการ คือจุดบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของพลังควบคุมหุ่น
เมื่อใดที่ความสามารถของตัวเองไม่แกร่งพอ ก็ง่ายที่หันไปพึ่งพิงหุ่นซอมบี้ทั้งหมด
แต่ทันทีที่หุ่นซอมบี้วิวัฒนาการ ร่างกายของผู้ใช้พลังก็จะได้รับบาดเจ็บอย่างใหญ่หลวง หรือกระทั่งอาจถูกหุ่นซอมบี้ทำลายสายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างที่สองฝ่ายเลยทีเดียว
หากสูญเสียอำนาจในการควบคุมหุ่นในสถานการณ์แบบนั้น ก็คงทำได้แค่รอถูกฉีกร่างเป็นชิ้นๆ เท่านั้น
หลิงม่อย่อมไม่มีปัญหานี้แน่นอน แต่ความรู้สึกปวดขมับหนึบๆ อย่างนี้ก็ไม่ได้ดีนัก
ทว่ามันก็ช่วยฝึกฝนและขัดเกลาพลังจิตของเขา และมีประโยชน์เรื่องการเพิ่มพลังจิตของเขาไม่น้อยเหมือนกัน
แต่สติปัญญาของสัตว์กลายพันธุ์นั้นมีการอัพเกรดที่จำกัด ประโยชน์ที่มีต่อหลิงม่อจึงจำกัดตามไปด้วย ดังนั้นหลิงม่อจึงไม่ค่อยสนใจนักว่าพลังจิตจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เขาสนใจเพียงวิวัฒนาการของเสี่ยวป๋ายเท่านั้น
หมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวนี้นอนคอตกอยู่กับพื้น สภาพเหมือนเหน็ดเหนื่อยมาก ร่างกายอ้วนท้วนของมันกำลังดิ้นขลุกขลักอยู่กับพื้นเบาๆ
หลิงม่อสังเกตเห็นว่าบนพื้นมีหยาดเหงื่อเพิ่มขึ้นมา ในขณะที่เสี่ยวป๋ายปิดๆ เปิดๆ หนังตา ดวงตาคู่นั้นของมันก็แดงก่ำจนเหมือนจะมีเลือดไหลออกมา
“…” หลิงม่อพึมพำในใจ
เมื่อเสี่ยวป๋ายดิ้นแรงขึ้นเรื่อยๆ สายตาของหลิงม่อก็ยิ่งจดจ่อมากขึ้น
ใกล้แล้ว! ใกล้แล้ว!
—————————————————————————–