แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 670 อย่าเพิ่งมาน้ำลายไหลเอาตอนนี้สิ!
ท่ามกลางความอึ้ง หลิงม่อรู้สึกเพียงว่าสัมผัสเย็นๆ นั่นได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ในที่สุดหลิงม่อก็ตื่นจากภวังค์งุนงง
สมองเขาตื่นตัวขึ้นมาก อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายก็น้อยลงมาก
แม้แต่ผลข้างเคียงที่ราชินีแมงมุมทิ้งไว้ให้ ก็ทุเลาลงมากภายในชั่วพริบตา
พอลืมตา เขาก็สบเข้ากับดวงตาสีนิลที่ดูเหม่อลอยเล็กน้อย แต่กลับทำให้คนใจสั่นของเย่เลี่ยนเข้าพอดี
“คือว่า…”
หลิงม่ออึ้งงันไปครู่หนึ่ง ไม่นานเขาก็ได้สติ
เขาจับไหล่เย่เลี่ยนแน่น แล้วพยายามควบคุมความปรารถนาอันแรงกล้า เพื่อจะสงบจิตอย่าสุดความสามารถ “นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?”
เย่เลี่ยนกระพริบตาปริบๆ เอียงคอ “หือ? อะ…อะไร…”
เอ๋?!
หลิงม่ออึ้งไปอีกครั้ง ยังติดอ่างอยู่เลยนี่?
ถึงแม้นี่จะไม่ใช่ข้อบกพร่องด้านสรีระ แต่กลับเป็นการแสดงให้เห็นว่าความคิดและการตอบสนองไม่เป็นหนึ่งเดียวกันมากพอ
หรือพูดตรงๆ ก็คือ เธอตอบสนองค่อนข้างช้า…
แต่ว่า…
“เด็กโง่ เธอวิวัฒนาการแล้ว ใช่ไหม?”
สายตาคาดหวังของหลิงม่อจับต้องไปที่เย่เลี่ยนเขม็ง ขณะเดียวกันนั้นเขาก็เขย่าแขนแล้วถามขึ้น
เย่เลี่ยนตัวสั่นเพราะแรงเขย่า แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาอย่างไร้เดียงสา “ไม่…ไม่ล้มหรอก…”
“เราไม่ได้กำลังเล่นตุ๊กตาล้มลุกกันอยู่นะ!” หลิงม่อตบหน้าผากตัวเองดังป๊าบ
ในเมื่อถามแล้วไม่ได้เรื่อง ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องตรวจดูด้วยตัวเอง
หลิงม่อดึงตัวเย่เลี่ยนให้หันซ้ายหันขวาเพื่อสังเกตดูอย่างละเอียดหนึ่งรอบ และเย่เลี่ยนเองก็หมุนตัวตามเขาอย่างว่าง่าย
ดูแค่ภายนอก ยังดูอะไรไม่ออก…
ความจริงแล้ว มีสองเรื่องที่หลิงม่อค่อนข้างใส่ใจเป็นพิเศษ
หนึ่งคือ คลื่นดวงจิตของเย่เลี่ยน เนื่องจากพวกเขามีสายสัมพันธ์ทางจิตเชื่อมกันอยู่ ดังนั้นจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างตอนที่เขาใช้พลังสำรวจกับซอมบี้เจ้าเมืองพวกนั้นแน่ แต่ก็มีจุดที่คล้ายกันอยู่บ้าง
อย่างเช่นตอนที่หลิงม่อรวบรวมสมาธิไม่พอ ก็จะรู้สึกได้ว่าด้านนอกดวงแสงแห่งจิตของเย่เลี่ยน เหมือนมีม่านบางๆ กั้นอยู่ ทำให้เขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงคลื่นดวงจิตของเย่เลี่ยน
ส่วนอีกเรื่องคือ ดวงตาของเย่เลี่ยน
ถึงแม้จะยังคงดูเลื่อนลอยเหมือนเดิม แต่ในความเหม่อลอยนั้น กลับมีบางอย่างซ่อนอยู่อย่างเห็นได้ชัด…
แต่การแสดงออกของเย่เลี่ยน กลับทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก
“ตกลงว่าก้ามข้ามแล้ว หรือยังไม่ก้าวข้ามกันแน่ล่ะเนี่ย?”
นอกจากปัญหานี้แล้ว อีกหนึ่งปัญหาที่กวนใจหลิงม่อก็คือ ทั้งที่เย่เลี่ยนมีระดับวิวัฒนาการที่ต่ำที่สุด แต่ทำไมพอถึงเวลาอย่างนี้ เธอกลับเป็นคนแรกที่ก้าวเหยียบธรณีประตูระดับเจ้าเมืองกันล่ะ?
“อาจเป็นเพราะยังอยู่ในระหว่างวิวัฒนาการก็ได้มั้ง…”
หลิงม่อครุ่นคิด ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปที่พวงแก้มเย่เลี่ยน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นค่อนข้างกะทันหัน อีกอย่างสายตาของหลิงม่อก็แปรเปลี่ยนเป็นแหลมคมในชั่วพริบตา
เย่เลี่ยนหันหน้าหนีไปอีกทางแทบจะทันทีอย่างเป็นธรรมชาติ
“ตามคาด!”
หลิงม่อที่กำลังตื่นเต้นไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ฝ่ามือที่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศพลันพุ่งลงไปที่ไหล่ของเย่เลี่ยนทันที “ระวังเท้า!”
เย่เลี่ยนที่กำลังจดจ่ออยู่กับฝ่ามือของหลิงม่อ พอได้ยินเขาตะโกนออกมาอย่างนี้โดยไม่ทันตั้งตัว เธอก็ก้มหน้ามองทัน “ห๊ะ?”
“มีช่องโหว่แล้ว” หลิงม่อยกยิ้มมุมปาก นิ้วมือของเขาใกล้จะแตะโดนหัวไหล่ของเย่เลี่ยนเต็มที
หลังจากก้มหน้า เย่เลี่ยนกลับพบว่าไม่มีอะไร แล้วเธอก็รู้ตัวทันทีว่าถูกหลอก
ศักยภาพร่างกายของหลิงม่อไม่เลว การตอบสนองด้านดวงจิตยิ่งยอดเยี่ยมกว่า คราวนี้หากเป็นซอมบี้ชนชั้นสูงต้องหลบไม่ได้แน่ อย่างน้อยก็ต้องมีเฉียดๆ บ้าง
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่เย่เลี่ยนเงยหน้าขึ้น หลิงม่อยังโน้มตัวไปข้างหน้ากะทันหัน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ถึงการตอบสนองจะเร็วอีกแค่ไหนก็ต้องมีชะงักไปซักศูนย์จุดวินาทีบ้างล่ะ และในเสี้ยววินาทีนั้น ก็มากพอที่จะทำให้การ “จู่โจม” ของหลิงม่อสำเร็จลุล่วง
พลังจิตได้รับการอัพเกรด บวกกับเมื่อกี้ศักยภาพร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้นเหมือนกัน หลิงม่อรู้สึกว่าการตอบสนองทางร่างกายและดวงจิตของตัวเองสามัคคีกันมากขึ้นแล้ว
อย่างน้อย เขาก็เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วและลื่นไหลกว่าเมื่อก่อนมาก
ความแตกต่างนี้ คนรอบข้างอาจไม่รู้สึก แต่พอมายืนอยู่ในมุมมองของหลิงม่อ ก็จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมาก
ในขณะที่ปลายนิ้วมือใกล้จะแตะโดนร่างกายของเย่เลี่ยน ม่านตาของเย่เลี่ยนกลับหดตัวทันใด จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายตัวอีกครั้ง เหมือน “ภาพลานตา” อย่างไรอย่างนั้น
แล้วทันใดนั้น เธอก็เบี่ยงตัวหลบออกไปด้านข้างในมุมที่พลิกแพลงสุดๆ และนึกไม่ถึงว่ามือของหลิงม่อจะโจมตีพลาดจริงๆ
“เอ๋?”
หลิงม่อตะลึงค้าง ถึงแม้เขาจะมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น และตามความเร็วของเย่เลี่ยนทัน แต่เขากลับจัดการกับการเคลื่อนไหวของตัวเองไม่ทัน
เย่เลี่ยนเลือกมุมที่เขาคิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย เพื่อหลบการจู่โจมของเขาจนสำเร็จ
นี่แหละคือการหลบที่สมบูรณ์แบบ 100%!
ถึงแม้หลิงม่อจะรู้ว่าตัวเองต้องคว้าพลาดแน่นอน และเขาก็มีเวลาเปลี่ยนท่าโจมตีต่อ แต่ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ กลับไม่สามารถจัดท่าโจมตีไปตามทิศทางที่เย่เลี่ยนหลบได้
ถ้าเป็นเวลาปกติ หลิงม่อจะคิดว่านี่เป็นเพียงความบังเอิญ
แต่เมื่อกี้เขาเห็นดวงตาของเย่เลี่ยนอย่างชัดเจน…
นี่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการด้านดวงตาหรือเปล่า?
ซอมบี้ไม่เหมือนกับผู้มีความสามารถพิเศษ การกลายพันธุ์เฉพาะส่วนของซอมบี้ไม่ใช่ว่าอวัยวะส่วนนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตลอด เมื่อวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าสุดท้ายอาจกลายเป็นอวัยวะที่แตกต่างไปจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้
ถึงแม้หลิงม่อจะเตรียมใจไว้นานแล้ว แต่พอเห็นซอมบี้สาวข้างกายตัวเองมีการกลายพันทางด้านร่างกายเข้าจริงๆ เขาก็ยังคงรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่ดี
“พี่หลิง…พี่หลอกฉันทำไม…” เย่เลี่ยนเบ้ปากเล็กน้อย
“ระดับเจ้าเมือง…”
หลิงม่อกลับเข้าสู่ภวังค์ช็อกค้างไปเรียบร้อยแล้ว กว่าเขาจะได้สติก็ผ่านไปครู่ใหญ่ แล้วจู่ๆ เขาก็ดึงตัวเย่เลี่ยนเข้าไปกอด
“เด็กโง่!”
หลิงม่อมีคำพูดมากมายล้นอยู่ในใจ แต่พอมาถึงริมฝีปาก สิ่งที่พูดออกมา กลับมีแค่สองคำนี้
เย่เลี่ยนเกยคางไว้บนไหล่หลิงม่อ เธอเบิกตากว้าง แล้วจ้องไปข้างหน้า
เธอนิ่งอยู่อย่างนั้นไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยยกมือขึ้นช้าๆ แล้วตบเบาๆ บนแผ่นหลังกว้างของหลิงม่อ
“ฟืดด~~”
เย่เลี่ยนสูดลมหายใจลึกๆ แล้วมุดหน้าลงกับหัวไหล่หลิงม่ออย่างตะกละ
ช่วงเวลานี้เหมือนแสนสั้น แต่ก็เหมือนดำเนินไปอย่างยาวนานเช่นกัน
จนกระทั่งหลิงม่อรู้สึกเหมือนไหล่ตัวเองเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ จึงปล่อยเย่เลี่ยนออก แล้วยกมือขึ้นเช็ดปากเธอเบาๆ พร้อมหัวเราะบอกว่า “อย่ามาน้ำลายไหลใส่ฉันตอนนี้สิ…”
ขณะเดียวกัน ดวงตาทั้งคู่ของเขากลับจ้องเย่เลี่ยนอยู่อย่างนั้นไม่วางตา
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ตอนนี้พอมองดูเย่เลี่ยน แทบไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมเลย…
ทว่าถึงอย่างไรคำว่า “แทบ” ก็หมายความว่าไม่ใช่ทั้งหมด หากมองดูดีๆ ก็จะสังเกตเห็นจุดที่ทำให้คนตาลายได้เหมือนกัน
และนี่ก็คือจุดที่แตกต่างกันที่สุดของซอมบี้และผู้มีความสามารถพิเศษ ผู้มีความสามารถพิเศษนั้นเวลาไม่ใช้พลัง จะดูไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดา และการใช้พลังก็เกิดขึ้นเพียงเวลาสั้นๆ
ในสภาวะปกติ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อที่ผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายระเบิดออกมาในพริบตา หรือพลังจิตที่อยู่ในสมองของผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตก็ตาม ล้วนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่การกลายพันธุ์ของซอมบี้ กลับปรากฏอยู่บนสรีระร่างกาย ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังแสดงให้เห็นอยู่อย่างนั้น
“โชคดีที่ไม่ได้สะดุดตาขนาดนั้น…”
หลิงม่อมองซ้ายมองขวา แล้วก็แอบถอนหายใจโล่งอกเบาๆ
เขาเคยลองจินตนาการถึงสถานการณ์ต่างๆ นานา แต่เหตุการณ์ตรงหน้ากลับดีกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก
“แต่ว่าการกลายพันธุ์อย่างนี้เกิดขึ้นจากอะไร? การสุ่มของเชื้อไวรัส? หรือว่า…”
หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วทันใดนั้นเขาก็คิดออก
หรือเป็นเพราะปกติเย่เลี่ยนมักใช้ปืนไรเฟิลตลอดงั้นหรือ?
ไม่ว่าเธอจะยิงปืนแม่นแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ยังต้องอาศัยดวงตาในการเล็งเป้า
เมื่อใช้การมากเข้า สัญชาตญาณเลยเลือกส่วนนี้อย่างนั้นหรอ?
มีความเป็นไปได้ เพราะถึงอย่างไรการอัพเกรดการกลายพันธุ์ทั้งหมดก็เพื่อวิวัฒนาการต่อไป
และการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นระหว่างนี้ ก็เพื่อเพิ่มอัตราการอยู่รอดและอัตราการแข่งขันให้สูงขึ้น
“ใช่แล้ว เป็นอย่างนี้แหละ…”
หลิงม่ออดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาดึงตัวเย่เลี่ยนให้หันซ้ายหันขวาเพิ่งสังเกตอีกหนึ่งรอบ “ตั้งชื่อว่าอะไรดี? ดวงตาละลานชวนหลงใหล? ดวงตาละลาน?”
“ไม่…ไม่เอา” เย่เลี่ยนรีบส่ายหน้าแรงเหมือนกลองป๋องแป๋ง
แม้มองจากมุมมองสุทรียศาสตร์ของซอมบี้ ชื่อนี้ก็ยังน่าเกลียดเกินทน!
ไม่นึกเลยว่าความสามารถในการตั้งชื่อของตัวเองจะถูกเย่เลี่ยนผู้มีหน้ามึนที่สุดดูถูกซะแล้ว หลิงม่อถึงกับกระอักกระอ่วนจนพูดไม่ออก…
“ถ้างั้นก็ได้…ค่อยคิดอีกทีแล้วกัน แต่ดวงตานี่ หลักๆ แล้วสามารถมองเห็นได้ทุกองศา และเลือกองศาที่เหมาะสมกับเธอมากที่สุดอย่างรวดเร็วใช่ไหม?” หลิงม่อถามหยั่งเชิงอีกครั้ง
เย่เลี่ยนทำหน้ามึนพร้อมครุ่นคิด จากนั้นก็พยักหน้าช้าๆ
“จริงด้วยสินะ…” หลิงม่อมองเธออย่างครุ่นคิด ตอนนี้เขาได้เห็นความสามารถในการหลบหลีกของดวงตาคู่นี้แล้ว แต่ด้านการโมตีจะเป็นอย่างไรกลับยังไม่แน่ใจ
แต่ช่วงเวลานี้ไม่ใช่โอกาสดีในการทดลอง เย่เลี่ยนนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีซอมบี้หญิงอีกสามตัวและสัตว์กลายพันธุ์พ่วงมาอีกหนึ่งตัวที่ยังคงพยายามอัพเกรดกันอย่างยากลำบากอยู่ในห้อง
—————————————————————————–