แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 675 ฉันมีเกราะป้องกันเฉพาะเป็นของตัวเอง
ขณะเดียวกับที่สะเก็ดไฟมากมายกระจายไปทั่ว หยดเลือดจำนวนหนึ่งก็ผสมรวมอยู่ในนั้นด้วย
แต่นึกไม่ถึงว่าในเวลาอย่างนี้ ปีกบางๆ คู่นั้นของซอมบี้นกจะใช้เป็นโล่ป้องกันได้ด้วย
พอมันยกแขนขึ้น ร่างกายท่อนบนทั้งหมดรวมถึงศีรษะของมัน ก็ถูกป้องกันไว้อย่างมิดชิด
การโจมตีในรูปแบบสสารของหลิงม่อแทบจะไม่ส่งผลใดๆ เลย ทุกครั้งเหมือนหนวดสัมผัสพุ่งปะทะกับแผ่นเหล็ก ไม่เพียงไม่เกิดประโยชน์ แต่กลับยังทำให้สมองของตัวเองสะเทือนจนมึนไปหมด
“อึกอึกอึกอึก!”
ซอมบี้นกยังคงยกแขนคลุมหัวไว้อย่างนั้น ปากก็เปล่งเสียงหัวเราะเยาะออกมาไม่หยุด
การที่เห็นมนุษย์ที่เอาแต่กระโดดขึ้นกระโดดลงคนนี้ถูกบีบบังคับให้ยอมรับความพ่ายแพ้ ทำให้ซอมบี้นกรู้สึกมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
ท่าทีของมันในตอนนี้เหมือนกำลังหาเรื่องสนุกทำมากกว่า ไม่ได้กำลังรีบกินอาหารแต่อย่างใด
แต่ความรู้สึกที่เหมือนหนูถูกแมววิ่งไล่อย่างนี้ หลิงม่อไม่ชอบเอาเสียเลย
เพิ่งจะดีใจได้ไม่ถึงสองวินาที เสียงหัวเราะแหลมๆ ของซอมบี้นกก็หายไปทันที และสิ่งที่ดังขึ้นมาแทนก็คือเสียงลั่นร้อง “อ๊ากก!”
ขณะเดียวกัน ร่างกายของมันก็สั่นคลอนไปมา แขนทั้งสองข้างพลันทิ้งลงข้างลำตัวอย่างควบคุมไม่ได้
แทบจะในเสี้ยววินาทีเดียวกับที่มันเผยใบหน้าออกมา ประกายไฟมากมายก็ระเบิดบนหน้ามันทันที
ภาพที่เห็นนี้ เหมือนมีคนขว้างดอกไม้ไฟที่ใกล้จะระเบิดแล้วใส่หน้ามันอย่างไรอย่างนั้น
“ถูกมนุษย์นกหัวเราะเยาะ จะทนได้ยังไง?”
หลิงม่อแค่นเสียงเย็น ด้วยใบหน้าที่ซีดไปทั้งดวง
หนวดสัมผัสรูปสสารแทงเยื่อหุ้มบางๆ นั่นไม่เข้า แต่พลังงานทางจิตไร้รูปกลับสามารถทำได้
ดวงแสงแห่งจิตของซอมบี้นกนั้นยากที่จะแทงทะลุเข้าไปได้ แต่ขอเพียงจับจังหวะเล็งช่องโหว่ให้ดี ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลยซะทีเดียว
อย่างเช่นเมื่อกี้ หลิงม่อจับจังหวะเสี้ยววินาทีที่ซอมบี้นกเผลอได้พอดี เขาจึงเปลี่ยนหนวดสัมผัสรูปสสารให้กลายเป็นพลังงานทางจิตบริสุทธิ์อย่างรวดเร็ว
และเมื่อพลังโจมตีทางจิตส่งผลให้การเคลื่อนไหวของซอมบี้นกผิดปกติไป หนวดสัมผัสรูปสสารกลุ่มใหญ่ที่เตรียมไว้นานแล้วก็พุ่งเข้าไปโจมตีอย่างทันที
โจมตีด้วยวิธีนี้ติดๆ กันถึงสองครั้ง ซอมบี้นกไม่เพียงเกิดอาการมึนหัว แต่ยังรู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั่วใบหน้า
มันถอยกรูดไปข้างหลัง ดึงระยะห่างออกไปสิบกว่าเมตรอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบหน้า
พอเห็นเลือดสดๆ เลอะอยู่บนฝ่ามือ กอปรกับความรู้สึกเจ็บแสบบนใบหน้า สีหน้าของซอมบี้นกพลันแปรเปลี่ยนไปทันที
มันเงยหน้าขึ้นมา แล้วเบิกตาที่แทบจะถลนออกจากเบ้ากว้าง มุมปากสองข้างฉีกออก เผยให้เห็นฟันที่ขาวจนน่ากลัว
“อ๊ากกกกกก!”
ขณะที่ซอมบี้นกลั่นร้องเสียงดัง หลิงม่อก็เผลอเหลือบไปมองช่องลำคอของมันอย่างไม่รู้ตัว
เห็นลิ้นเล็กๆ ที่กำลังสั่นระรัวไม่หยุดนั่นแล้ว หลิงม่อรู้สึกเหมือนมันต้องเปล่งเสียงออกมาจากช่องลำคอดำๆ นั่นแน่ๆ…
แค่เสียงร้อง ก็ทำให้หลิงม่อรู้สึกหนังศีรษะชาได้แล้ว
และสิ่งที่มันคล้ายกับจอมกรีดร้องก็คือ เสียงของมันกลับสร้างผลกระทบบางอย่างได้ด้วย
ได้ยินเสียงกรีดร้องนั่นเพียงไม่นาน หลิงม่อก็รู้สึกขาอ่อนทันที
เขาลองพยายามก้าวเท้า แต่กลับค้นพบอย่างน่าตกใจว่าตัวเองขยับไม่ได้แล้ว…
“แย่แล้ว ถึงแม้ดวงจิตจะต้านทานได้ แต่เรากลับไม่สามารถควบคุมร่างกายได้…”
นี่ขนาดว่าศักยภาพร่างกายของเขาไม่เลวมากแล้ว แค่ลองนึกว่าหากเป็นคนธรรมดาที่ศักยภาพร่างกายทั่วไป ป่านนี้คงจะคุกเข้าล้มลงไปกับพื้นแล้ว
“หน้าของฉัน!”
ซอมบี้นกกำหมัดจิกเล็บเข้าไปในฝ่ามือตัวเอง แล้วลูบไล้ขึ้นลงบนแก้ม เสียงเกา “แกร๊กๆ” ดังเสียดแทงแก้วหู
“หน้าอย่างกับกระดาษทราย ยังจะหวงอีก”
หลิงม่อยืนเกร็งตัวตรง เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ พลางใช้หางตาเหลือบมองเท้าตัวเอง
อาการอย่างนี้ยากที่จะอธิบาย เดาว่าน่าจะเหมือนกับการที่ร่างกายเปิดโหมดกลไกฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ เมื่อใดที่สัมผัสได้ถึงอันตรายรุนแรง ร่างกายก็จะสร้างปฏิกิริยาตอบสนองบางอย่างออกมาเพื่อป้องกันตัวเอง
อย่างเช่นการปิดและรีสตาร์ทใหม่—หมดสติ หรือไม่ก็เข้าสู้โหมดจำศีล—สมองขาวโพลน เป็นต้น
แต่อาการตัวอ่อนไปหมดอย่างนี้ หลิงม่อก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก…
นี่ไม่ใช่การป้องกันตัวเอง แต่กำลังแกล้งกันชัดๆ!
“หรือพอเกินขีดจำกัดที่ร่างกายของมนุษย์จะรับได้ เสียงกรีดร้องนี่จะทำให้เส้นเลือดแตก ร่างระเบิดตาย?”
หลิงม่อเดาสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วสายตาของเขาก็เหลือบมองไปข้างหลังอีกครั้ง
ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วินาที ร่างกายขนาดใหญ่ของเสี่ยวป๋ายก็วิ่งออกไปไกลจนแทบมองไม่เห็นแล้ว
หากสัมผัสรู้ดูก็จะรู้ว่า พวกเธอได้วิ่งไปถึงถนนใหญ่แล้ว
ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยทางแยกมากมาย และมีแต่ซอมบี้เต็มไปหมด ด้วยความสามารถของพวกเธอ หากคิดจะหนีก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ที่เย่เลี่ยนถูกเจอตัว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะตอนที่เธอก้าวข้ามสู่ระดับเจ้าเมือง กลิ่นอายของเธอได้กระจายออกไปข้างนอก
ถ้าหากตั้งใจปกปิดให้ดี เปอร์เซ็นต์ที่จะถูกเจอตัวคงน้อยลงมาก
แต่หากทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่มาก อย่างนั้นก็คงพูดยากแล้ว
“จะถ่วงเวลาได้อีกนานแค่ไหน?”
ฝ่ามือของหลิงม่อเริ่มเปียกชื้นไปด้วยเหงื่ออีกครั้ง เขายังไม่ถึงขีดจำกัด แต่ก็อีกไม่นานแล้วล่ะ
โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้สภาพร่างกายไม่เป็นดั่งใจ ยากที่จะเดาได้ว่าเขาจะถ่วงเวลาไปได้อีกนานแค่ไหน
ตอนแรกซอมบี้นกมาเพราะอาหาร ถึงแม้มันจะเกิดความอยากรู้อยากเห็นเพราะความพิเศษของ “อาหาร” แต่เดาว่าตอนนี้ความโมโหคงเข้ามาแทนที่หมดแล้ว
“มนุษย์! แกทำร้ายใบหน้าฉัน!” ซอมบี้นกยังคงกรีดร้องอย่างโกรธแค้น
เมื่อเล็บมืออันแห้งเหี่ยวของมันที่วางไว้บนใบหน้าซูบผอม บวกกับสีหน้าบิดเบี้ยวนั่นแล้ว เป็นภาพที่ชวนหวาดกลัวมากจริงๆ
“ฉันทำไปเพื่อความประโยชน์ส่วนรวมนะ!”
หลิงม่อโต้กลับด้วยคำพูดสองแง่สองง่าม
ในเมื่อจะถ่วงเวลา ถ้าอย่างนั้นก็ดึงความสนใจทั้งหมดของมันมาที่ตัวเองเลยแล้วกัน!
นิ้วมือของหลิงม่อนวดคลึงไปที่ต้นขาตัวเอง สายตาเหลือบมองร่างกายตัวเองเป็นพักๆ “เร็วสิ มีปฏิกิริยาหน่อยสิวะ! อย่ามาหยุดทำงานเอาตอนนี้ได้ไหมเนี่ย?”
การให้กำลังใจตัวเองเชิงสะกดจิตอย่างนี้จะได้ผลหรือไม่ หลิงม่อเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรล่ะ!
ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ…หลิงม่อเหลือบมองขาตัวเองอีกครั้ง แล้วสายตาของเขาก็มั่นคงขึ้นทันที
ซอมบี้นกเช็ดคราบเลือดที่เลอะเต็มหน้า ความรู้สึกเคียดแค้นถูกหลิงม่อกระตุ้นให้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ทำเพื่อส่วนรวม? ใบหน้าของฉันน่าเกลียดมากนักรึไง?”
ซอมบี้นกกลับจำคำนี้ได้ แถมยังใช้ได้คล่องทีเดียว
“อืม” หลิงม่อพยักหน้า
“น่าเกลียดตรงไหนกัน!” ซอมบี้นกแยกเขี้ยวแยกฟันเค้นเสียงถามอย่างดุดัน
พูดไป เล็บของมันก็ยังคงไม่หยุดขูดผิวหน้า
กรงเล็บอันแหลมคมของมันหากเปลี่ยนไปเป็นเกาหน้าคนอื่นแทน เดาว่าใบหน้าของอีกฝ่ายคงจะหายไปในพริบตาแล้ว
คงมีแค่ผิวหน้าของมันเท่านั้น ที่จะทนรับแรงเกาจากกรงเล็บอันแหลมคมของตัวเองได้
หลิงม่อได้ยินเสียงเกา “แกร๊กๆ” นั่นแล้วถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
มนุษย์นกที่สภาพเหมือนศพแห้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดแถมตอนนี้ก็กำลังเกาผิวหยาบกร้านของตัวเองไม่ยอมหยุดอยู่อย่างนั้น…
ควรถามว่าไม่น่าเกลียดตรงไหนมากกว่า!
ซอมบี้นกหมดความอดทนในที่สุด ทันใดนั้นมันก็กรีดร้อง “อ๊าก” ออกมา แล้วกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ด้วยความเร็วของมัน หลิงม่อเพียงกระพริบตาเพียงครั้งเดียว ก็มองเห็นเงาร่างนั้นใกล้เข้ามาด้วยความเร็วสูงแล้ว
“วูบ!”
ลมแรงปะทะหน้า ฟังจากเสียงหากถูกกระแทกเข้า เดาว่าคงจะกลายเป็นศพไร้หัวตายคาที่อย่างไม่ต้องสงสัย
หลิงม่อรู้สึกความเย็นแผ่ซ่านไปทุกอณูขุมขนทันที หัวใจพลันหยุดเต้นไปชั่วขณะ
ขายังขยับไม่ได้!
แต่เงาร่างของมันเพิ่งจะพุ่งมาถึงตรงหน้า หลิงม่อก็ได้เบี่ยงหน้าหลบออกไปด้านข้าง จากนั้นก็ไถลตัวถอยหลังอย่างรวดเร็ว
เท้าของเขายังคงติดอยู่กับพื้น แต่ความเร็วในการไถลถอยหลังกลับน่าทึ่งมาก เพียงพริบตาเดียวเขาก็ทิ้งระยะห่างออกไปไกลแล้ว
ไม่มีการสะดุดพักใดๆ ทั้งสิ้น ทันใดนั้นเขาก็ “กระโดด” ขึ้นข้างบนโดยไม่คิดล่วงหน้า แล้วเขาก็ทิ้งตัวลงบนป้ายร้านของร้านค้าที่อยู่ด้านข้าง หลังชะงักไปเล็กน้อยเขาก็กระโดดลงไป แล้วหายเข้าไปด้านหลังมุมผนังด้านนั้น
การโจมตีของซอมบี้นกล้มเหลว ยิ่งไปกว่านั้นเพียงชั่วพริบตาหลิงม่อก็หายตัวไปอย่างไรร่องรอย มันจึงเบิกตากว้างด้วยความตะลึง
ทว่าครั้งนี้สงสัยก็ส่วนสงสัย แต่ฝีเท้าของมันกลับไม่หยุดพักเลยแม้แต่น้อย
หลิงม่อใช้หนวดสัมผัสลากตัวเองให้เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง พร้อมกับขมวดคิ้วทิ้งตัวไปข้างหลัง
เงาร่างของซอมบี้นกผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ข้างหลังเขา แถมยังมีแนวโน้มว่าจะใกล้เข้าเรื่อยๆ แล้วด้วย
“หมกมุ่นอะไรอย่างนี้…”
หลิงม่อลองคำนวณการเผาผลาญของตัวเองในตอนนี้ รวมถึงคำนวณว่าตัวเองยังสามารถใช้พลังงานทางจิตได้อย่างปลอดภัยอยู่หรือไม่
ผลสรุปที่ได้ไม่ค่อยดีนัก ถ้าหากต้องรักษาความเร็วระดับนี้ไปเรื่อยๆ อย่างมากเขาก็ยืนหยัดไปได้อีกแค่สิบนาทีเท่านั้น
ถ้าหากต้องหนีอย่างเดียวก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่เขายังต้องรักษาระยะห่างกับพวกเย่เลี่ยนไว้ด้วย
หากเป็นอย่างนี้ การจะสลัดซอมบี้นกทิ้งก็ยิ่งยากขึ้นอีกหลายเท่า
“มนุษย์ หนีไปก็ไม่มีประโยชน์! อึกอึกอึกอึก…”
ซอมบี้นกเริ่มเปล่งเสียงหัวเราะแหลมๆ ออกมาอีกครั้ง เลือดบนแผลตรงฝ่าเท้าและใบหน้าของมันเริ่มหยุดไหลด้วยตัวเองแล้ว
แต่เพราะถูกเลือดสดๆ กระตุ้น น้ำเสียงของมันตอนนี้จึงยิ่งฟังดูคลั่งและคึกหนักกว่าเดิม
“ไม่ให้หนีแล้วจะให้รอความตายรึไงวะ?”
หลิงม่อตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า แต่กลับไม่ได้เสียสมาธิไปแต่อย่างใด
การใช้หนวดสัมผัสเกี่ยวของประเภทเสาไฟข้างทางหรือเสาไฟฟ้า แล้วโหนตัวข้ามไป ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่การต้องเล็งหาเป้าหมายต่อไปในระหว่างที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง และต้องตอบสนองทันทีที่พบเป้าหมายต่อไปนั้น กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ทันทีที่ไขว้เขว ก็ต้องพบกับโศกนาฏกรรม…
—————————————————————————–