แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 678 เครื่องกลบกลิ่นแบบพกพา
แกร๊ก!
ขณะที่ทิ้งตัวลงพื้น เสียงกระดูกไหล่หักก็ดังขึ้น
การเคลื่อนไหวทั้งหมดเมื่อครู่ เกินขีดจำกัดของซอมบี้ตัวนี้ไปมาก
และเมื่อใดที่ฝืนเกินกำลังตัวเอง ถึงแม้จะเป็นซอมบี้ก็จะได้รับผลกระทบด้านลบเช่นเดียวกัน
แต่เพื่อสู้กับซอมบี้นก หลิงม่อกลับจำเป็นต้องควบคุมหุ่นซอมบี้ให้วิ่งพุ่งไปข้างหน้าโดยรักษาความเร็วนี้ไว้
“หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่นานร่างกายของหุ่นซอมบี้ก็คงพัง…ต้องสลัดมันทิ้งก่อนจะเป็นอย่างนั้นให้ได้” หลิงม่อคิด พลางค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางประตูลิฟท์
เมื่อขยับตัวจนสามารถมองเห็นซอมบี้นกได้แล้ว เขาก็รีบชะงักหยุดทันที
ซอมบี้นกกำลังยืนอยู่ด้านหน้ารั้วกั้น มันมองลงไปข้างล่างเหมือนตื่นตะลึงสุดขีด
ซอมบี้วิ่งหนีทั้งที่เพิ่งทำการท้าทาย มันเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้เป็นครั้งแรก…
“หนีไปดื้อๆ…อย่างนี้เลย?”
ซอมบี้นกพึมพำกับตัวเอง ดูท่าเหมือนมันจะยังตั้งตัวไม่ติด
ปรากฏว่าเสียงพูดของมันเพิ่งจะจบ เงาวัตถุสีดำเงาหนึ่งก็ถูกขว้างขึ้นมาจากชั้นล่าง
เดิมของสิ่งนั้นขว้างไม่โดนตัวมัน แต่ด้วยการตอบสนองโดยอัตโนมัติ ซอมบี้นกรีบยื่นฝ่ามือออกไปโจมตีมันเต็มแรง
พรวด!
ของเหลวปริมาณหนึ่งพร้อมกับเศษพลาสติก กระจายเต็มหน้าซอมบี้นก
“นี่มันอะไร?” ซอมบี้นกยกมือเช็ดหน้า พลางร้องลั่น
ดูเหมือนว่ามันจะไม่รู้จักกาต้มน้ำไฟฟ้า แต่ความรู้สึกถูกปั่นหัวได้กระตุ้นเพลิงโทสะในตัวมันสำเร็จ
“ไอ้สวะชั้นต่ำ! ไอ้อัปลักษณ์…แล้วก็ ไอ้เพื่อนร่วมสายพันธุ์หน้าโง่!”
ซอมบี้นกสรรหาคำพูดที่หยาบคายที่สุดเท่าที่จะนึกออกมาด่าทออย่างโกรธขึ้ง จากนั้นก็กระโดดตามลงไปโดยเลียนแบบท่าของหุ่นซอมบี้
ถึงแม้มันจะไม่เคยทำมาก่อน แต่เพราะมีปีกคู่นั้น มันจึงใช้ปลายเท้าเกี่ยวกับราวกั้นชั้นล่างไว้ แล้วเหวี่ยงตัวเองเข้าไปในทางเดินได้ ถึงจะทุลักทุเลไปบ้างก็ตาม
ด้านหน้า คือหุ่นซอมบี้ตัวนั้นที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง
“เพิ่งจะปาของใส่ฉัน แต่ทำไมแวบเดียวก็วิ่งไปได้ไกลขนาดนั้นแล้วล่ะ?” คราวนี้ซอมบี้นกดึงสติปัญญาอันน้อยนิดของตัวเองมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทว่าหลังจากครุ่นคิดอยู่ไม่ถึง 1 วินาที ซอมบี้นกที่คิดหาคำตอบไม่ออกก็สลัดความสงสัยทิ้งไปอย่างง่ายดาย
“ฮู่ว!”
หลิงม่อยืนพิงผนังอยู่ในตัวลิฟท์ เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก
นอกจากต้องเผาผลาญพลังจิตในปริมาณมากแล้ว ยังต้องควบคุมหนวดสัมผัสให้ควานหาสิ่งของมาปาใส่ซอมบี้นกอีก สำหรับหลิงม่อ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หากเป็นตอนที่มีพลังจิตเต็มเปี่ยม หลิงม่อสามารถใช้กาต้มน้ำใบนั้นปาหัวซอมบี้นกแรงๆ ได้ไม่มีปัญหา
ทว่าตอนนี้นอกจากความเหนื่อยล้าที่ได้รับแล้ว เขายังต้องควบคุมหุ่นซอมบี้อีกหนึ่งตัว ดังนั้นแค่มีแรงปาขึ้นมาได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
แต่ไม่คิดว่าข้างในจะมีน้ำอยู่ด้วย ถือเป็นเรื่องโชคดีที่เหนือความคาดหมาย
“ถือว่าเป็นของแถมแล้วกัน…” หลิงม่อคิดในใจ จากนั้นก็สลับมุมมองสายตากลับไปที่หุ่นซอมบี้
ซอมบี้นกโกรธกรุ่นเต็มที่ พอเห็นหุ่นซอมบี้มันก็สาวเท้าออกวิ่งโดยทันที
ในสถานที่อย่างนี้มันไม่อาจบินร่อนได้เหมือนอยู่ข้างนอก แต่พอมันอ้าแขนทั้งสองข้างออก เยื่อบางใต้วงแขนของมันกลับสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนใบเรือได้ด้วย!
หลิงม่อควบคุมหุ่นซอมบี้ให้หันกลับมามอง แล้วก็ต้องอึ้งจนพูดไม่ออก
เจ้าซอมบี้นกนั่นใช้ปลายเท้าจิกพื้น สองแขนอ้ากว้าง และภายใต้การช่วยเหลือจากปีกคู่นั้น ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ!
บวกกับน้ำหนักตัวอันเบาหวิวของมัน ไม่แน่ว่าหากอยู่บนผิวน้ำ มันอาจ “ลอยล่องเหนือน่านน้ำ” ได้จริงๆ…
“เป็นแค่ซอมบี้หน้าตาประหลาดยังกล้าทำเหมือนตัวเองเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้อีกนะ! ภาพพจน์ของเหล่าเทพเซียนถูกแกทำลายจนป่นปี้หมดแล้ว!”
หลิงม่อก่นด่าในใจ จากนั้นก็ควบคุมหุ่นซอมบี้ให้คว้าราวกั้นใกล้ตัว
การเบรกกะทันหันในระหว่างที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงนั้น ส่งผลให้ฝ่าเท้าของหุ่นซอมบี้ครืดไปกับพื้นอย่างแรง จนถึงขั้นมีสะเก็ดไฟเกิดขึ้นเล็กน้อย
“จะกระโดดหนีอีกแล้ว?” ซอมบี้นกเบิกตากว้าง มันเริ่มฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว
ไม่รอให้หุ่นซอมบี้กระโดดออกไป มันชิงหันข้างและกระโดดออกไปก่อนด้วยท่วงท่าสง่างาม
ส่วนหุ่นซอมบี้ของหลิงม่อที่เพิ่งจะคว้าราวกั้นแล้วกระโดดออกไปยืนนอกราวกั้น พอเห็นอย่างนั้นจึงรีบหันหลังกระโดดเข้าไปทางเดิม
“ทำไมยังไม่ลงมา?” ซอมบี้นกยืนรอข้างล่าง 1 วินาที ไม่นานมันก็โมโหเมื่อพบว่าตัวเองถูกปั่นหัวอีกครั้งแล้ว
“แกมันไม่คู่ควรกับการเป็นซอมบี้!”
ซอมบี้นกปีนขึ้นชั้นบนอย่างคลุ้มคลั่ง พลางก่นด่าอย่างเจ็บแค้น
“ด่าลื่นปากเชียว…ด้วยความแกร่งระดับนี้…เดาว่าคงจะอดทนจนถึงตอนที่วิ่งออกไปไม่ไหว อีกอย่างถ้ารอให้มันออกไปก่อน แล้วเราค่อยออกไปทีหลัง เดาว่าเพิ่งจะก้าวพ้นประตูมันก็คงได้กลิ่นเราแล้ว…”
พอคิดถึงตรงนี้ หลิงม่อก็กลั้นหายใจอีกครั้ง แล้วค่อยๆ เดินไปทางประตูลิฟท์
ก่อนจะออกไป หลิงม่อหันหลังกลับไปมองศพเน่าๆ เจ้าของดวงตากลวงโบ๋คู่นั้น
“พี่ชาย ขอยืมใช้หน่อยแล้วกันนะ”
เขาทนพะอืดพะอม แผ่หนวดสัมผัสสองเส้นออกไป แล้วเกี่ยวเศษผ้าเก่าๆ ผืนหนึ่งขึ้นมา
เดิมผ้าผืนนี้ติดอยู่กับร่างศพเพราะมีเลือดเป็นตัวยึดไว้ ดังนั้นเพียงสะกิดเบาๆ มันก็หลุดออกแล้ว
ทว่าเพราะมีหนวดสัมผัสอยู่ เศษผ้าที่เดิมควรหล่นลงบนพื้นกลับลอยอยู่กลางอากาศ
หลิงม่อสูดดมเล็กน้อย แต่ก็ต้องรีบปิดจมูกอย่างรวดเร็วอีกครั้ง “ดีมาก กลิ่นฉุนสุดๆ น่าจะกลบกลิ่นอายมนุษย์ของเราได้”
เมื่อเขามุดออกไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง เศษผ้าเก่าๆ นั่นก็ลอยตามออกมาด้วย
“เรียกว่าเป็นเครื่องกลบกลิ่นแบบพกพาได้หรือเปล่านะ? จะว่าใช้ดีก็ใช้ดีอยู่ แต่กลิ่นนี่สุดจะทนจริงๆ…”
หลิงม่อปิดจมูก แล้วค่อยๆ เดินกลับไปทางเดิมที่เพิ่งเดินเข้ามาเมื่อกี้
หุ่นซอมบี้ที่เขาควบคุมยังคงเล่นวิ่งไล่กับซอมบี้นกอยู่ชั้นล่าง ทว่าเนื่องจากใช้เรี่ยวแรงเกินขีดจำกัด ซอมบี้ธรรมดาตัวนั้นจึงเริ่มมีอาการไม่ดี
ขณะเดียวกับที่หลิงม่อเดินไปถึงบานหน้าต่างขอบติดพื้น แผ่นหลังของหุ่นซอมบี้ก็ถูกกรงเล็บแหลมคมของซอมบี้นกข่วนเข้าในขณะที่กำลังกระโดดหนี
บาดแผลลึกและหยาดเลือดที่พุ่งกระจายกลางอากาศ ส่งผลให้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ไม่มากของหุ่นซอมบี้ลดฮวบลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง กล้ามเนื้อที่ถึงขีดจำกัดตั้งนานแล้วก็เริ่มเหน็บชา เส้นเอ็นทั่วร่างกายเริ่มส่งเสียงโอดครวญ เหมือนหนังยางที่ถูกยืดจนใกล้จะฉีกขาด
“ซอมบี้ธรรมดาพอเทียบกับซอมบี้ราชา เห็นผลต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ…แล้วยังไอ้ความรู้สึกที่เหมือนถูกหนอนชอนไชจากบาดแผลพวกนี้อีก…”
ซอมบี้ธรรมดายังไม่รู้จักความรู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นถึงแม้หลิงม่อจะรับรู้ถึงสภาพร่างกายของหุ่นซอมบี้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่มีความรู้สึกร่วมใดๆ
บาดแผลแม้ไม่เจ็บ แต่มันกลับทำให้รู้สึกเหมือนมีหนอนมากมายกำลังชอนไชออกมาจากในร่างกายอย่างไรอย่างนั้น
และความรู้สึกอย่างนี้ ไม่ได้เป็นผลจากพลังฟื้นฟูอย่างแน่นอน…
“หรือเป็นเพราะเชื้อไวรัส?” พอนึกถึงคาบเหนียวเหนอะสีแดงที่ติดอยู่ในซอกเล็บของซอมบี้นกแล้ว หลิงม่อก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที
สำหรับซอมบี้ระดับต่ำกว่า เชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างของซอมบี้ราชา น่าจะถือได้ว่าเป็นยาพิษขนานแรงได้เลย
หุ่นซอมบี้คงอดทนได้อีกไม่นาน หลิงม่อจึงเร่งความเร็วทันที เขาพยายามเดินเข้าไปใกล้หลุมบนพื้นที่เกิดจากความเสียหายอย่างเงียบเชียบที่สุด
เมื่อเขาออกไปข้างนอก ซอมบี้นกก็จะยังอยู่ข้างในนี้ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นๆ แน่นอนว่ามันจะสัมผัสถึงเขาไม่ได้
พอหุ่นซอมบี้ถูกจัดการ หลิงม่อก็คงหนีไปไกลแล้ว ถึงแม้อาจจะถูกไล่ตามอีก แต่อย่างน้อยเขาก็ยังได้โอกาสทิ้งห่างครั้งหนึ่ง
แต่ในขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปใกล้หลุมนั้น ร่างกายกลับชะงักไปทันที
“เย่เลี่ยน?!”
เขาหันหลังขวับ เบิกตากว้างมองเข้าไปข้างในตัวห้างฯ หรือพูดให้ถูกต้องก็คือ เขากำลัง “มอง” ไปที่ประตูใหญ่ของห้างฯ
เนื่องจากพลังจิตถูกใช้ไปจำนวนมาก บวกกับสถานการณ์คับขัน หลิงม่อจึงไม่อาจแบ่งสมาธิไปสัมผัสรู้สถานการณ์ฝั่งพวกเย่เลี่ยนได้เลย
แต่เมื่อเย่เลี่ยนเข้ามาใกล้ในระยะนี้ สายสัมพันธ์ทางจิตก็ก่อเกิดปฏิกิริยาตอบสนองตามความเคยชิน
แต่ระยะห่างนี้มัน…ใกล้เกินไปแล้ว…
“ไม่ๆๆๆ…”
หลิงม่อรีบส่งคำสั่งผ่านกระแสจิต แต่มันกลับสายไปแล้ว
ปัง!
เสียงปึงปังดังมาจากชั้นล่างของห้างฯ แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในตัวห้างฯ ที่มืดมิด ประตูกระจกบานใหญ่กระเด็นออกไปไกล พร้อมกับการปรากฏตัวของโฉมงามผู้มีเงาร่างอันบอบบางตรงหน้าประตู
เสียงเศษกระจกหล่นกระทบพื้นดังเพล้งๆ เงาร่างอรชรเริ่มสาวเท้าเดินเข้ามาในตัวห้างฯ
เมื่อซอมบี้ตัวหนึ่งคำรามเสียงดังพร้อมชะโงกหน้าออกมานอกรั้วกั้น กระบอกปืนยาวๆ ในมือเงาร่างหญิงสาวก็ถูกยกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฟุบ!
ลูกกระสุนพุ่งเข้าไประเบิดใบหน้าซอมบี้ตัวนั้นอย่างแม่นยำ เลือดสดๆ และชิ้นเนื้อกระจายไปทั่ว
ร่างกายของซอมบี้ตัวนั้นกระเด็นออกไป และกระแทกเข้ากับกองชั้นวางของด้านหลังอย่างแรง
เสียงโครมครามดังมาอีกครั้ง หลิงม่อที่อยู่ชั้นบนยกมือขึ้นตบหน้าผากอย่างจนใจ
“เด็กโง่ กลับมาทำไม่เนี่ย…”
ทว่าถึงแม้จะเอือมเล็กน้อย แต่สิ่งที่หลิงม่อรู้สึกมากกว่า กลับเป็นความอบอุ่นใจ
เย่เลี่ยนในฐานะซอมบี้ ย่อมรู้เรื่องสภาพร่างกายของตัวเองดีกว่าอยู่แล้ว และการต่อต้านคำสั่งทางจิตสำหรับเธอที่เป็นเด็กดีมาโดยตลอดนั้น เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก
การที่เธอกลับมา ทำให้หลิงม่อมีความรู้สึกที่หลากหลายมาก
เสียงโครมครามที่เย่เลี่ยนสร้างขึ้น รวมถึงกลิ่นอายของซอมบี้เจ้าเมืองที่ไม่คิดปกปิด ดึงดูดความสนใจจากเจ้าซอมบี้นกได้ในทันที
มันหันหลังกลับมามองในระหว่างที่กำลังไล่ตามหุ่นซอมบี้ ฉีกยิ้มแล้วเผยเสียงหัวเราะประหลาดออกมา “ขึกๆๆๆๆ…มาแล้ว อาหารมาแล้ว!”
เลือดในกายพลันเดือดพล่านขึ้นมาทันที
“เอาวะ! สู้กันซักตั้ง!”
หลิงม่อกำลังจะก้าวออกไป แต่ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังงานทางจิตจากเย่เลี่ยน
เขาอึ้งไปก่อน จากนั้นก็เบิกตากว้าง อดเผยรอยยิ้มตื่นเต้นออกมาไม่ได้
—————————————————————————–