แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 680 ปีกหนึ่งคู่ที่สวรรค์ให้แกมา สมควรเอามาเคี่ยวแกงกิน
“ปล่อยเดี๋ยวนี้…”
ซอมบี้นกเตะแรงๆ อีกครั้ง เศษอวัยวะภายในที่ทะลุกขึ้นมาปะปนกับเลือดจำนวนมาก ไหลออกจากมุมปากของหุ่นซอมบี้อย่างต่อเนื่อง
สีหน้าของมันเริ่มคลุ้มคลั่ง ถึงแม้ปกติซอมบี้จะกัดไม่ปล่อยอยู่แล้ว แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นนี้!
นอกจากนี้ เจ้าซอมบี้ตัวนี้ก็ไม่ได้อาศัยแค่สัญชาตญาณในการต่อสู้ ตอนนี้พฤติกรรมของมันกลับแสดงให้เห็นว่ามันมีทักษะพิเศษ
มันสามารถขัดขวางองศาในการเตะของซอมบี้นก ไม่ให้โดนหน้าอกและศีรษะซึ่งเป็นจุดอันตรายถึงชีวิตได้โดยอาศัยร่างกายของมันเอง
แม้จะโกรธแค้นถึงขีดสุด แต่ซอมบี้นกก็ทำได้เพียงบิดตัวก้มลงไปจิกผมหุ่นซอมบี้เท่านั้น
ในตอนนั้นเอง หางตาของมันก็เหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่ง
มันเพิ่งจะหันไปสบตากับดวงตาสีแดงก่ำคู่นั้น วัตถุทรงกระบอกก็ถูกขว้างตรงเข้ามาที่ศีรษะของมัน
“นั่นอะไรวะ?!”
ซอมบี้นกรับรู้ได้ถึงรางร้ายโดยสัญชาตญาณ ภาพนี้มันคุ้นๆ อยู่นะ!
ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ทำให้ซอมบี้นกเข้าใจหลักแห่งความจริงอย่างหนึ่ง—ของทุกสิ่งที่พุ่งออกมาจากมุมมืดอย่างกะทันหัน ไม่ควรแตะต้อง!
“รีบปล่อยสิโว้ย!”
สายตาของซอมบี้นกจับจ้องไปที่วัตถุทรงกระบอก ขณะที่เล็บแหลมๆ จิกผมของหุ่นซอมบี้อย่างแรง
ความรู้สึกตื่นเต้นลุ้นระทึกพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง ซอมบี้นกรู้สึกเหมือนแม้แต่ปลายเล็บของตัวเองก็กำลังสั่นเทาเพราะความตื่นเต้น
ในที่สุด! ในที่สุดก็จะสลัดหลุดจากการเกาะกุมของเจ้าหนอนเน่าตัวนี้ได้แล้ว!
ถ้าไม่ใช่เพราะไร้ความรู้สึกนึกคิดอย่างมนุษย์ ตอนนี้ซอมบี้นกคงร่ำไห้น้ำตานองหน้าเพราะความคิดของตัวเองไปแล้ว
เป็นถึงซอมบี้ราชา แต่กลับมีสภาพแบบนี้…
ช่างตกต่ำจริงๆ!
ซอมบี้นกกำลังจะกำจัดต้นเหตุแห่งความอัปยศครั้งนี้ด้วยมือของตัวเอง ส่วนวัตถุทรงกระบอกนั่นตอนนี้กำลังลอยอยู่เหนือศีรษะของมันพอดี
ซอมบี้นกหัวเราะเสียงเย็น “ขึกๆ” ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็ไม่มีทางสัมผัสถูกตัวมันได้แน่…
“ฟิ้ว!”
ทันใดนั้น ไม้ติดไฟท่อนหนึ่งก็ถูกขว้างออกมาจากมือของเงาร่างนั้น
“เอ๊ะ?”
ซอมบี้นกหันไปสนใจท่อนไม้นั้นชั่วขณะ และในตอนนั้นเอง เสียง “เคร้ง” ก็ดังขึ้นบนหัวของมัน แล้วของเหลวกลิ่นแปลกๆ มากมายก็สาดลงมารดหัวมัน
ซอมบี้นกยังคงอยู่ในท่าโค้งตัวลง มันถูกของเหลวประหลาดนั่นสาดตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่ทันตั้งตัว
เส้นผมที่ยุ่งเหยิงเหมือนรังนกของมันบดบังการมองเห็น ในขณะที่มันยังอึ้งตั้งตัวไม่ติด ท่อนไม้ท่อนนั้นก็ร่วงลงข้างเท้าของมัน
หางตาเพิ่งจะเหลือบเห็นสะเก็ดไฟเล็กๆ บนพื้น เจ้าซอมบี้นกก็รู้สึกว่าไอร้อนติด “พรึ่บ” จากปลายเท้าขึ้นมาทันที
“ว๊ากกก!”
ในวินาทีสุดท้าย มันหักคอหุ่นซอมบี้ได้สำเร็จ แต่กะโหลกนั่นก็ยังติดอยู่กับแข้งของมันไม่ยอมปล่อย และไม่นานมันก็ลุกท่วมไปด้วยไฟอย่างรวดเร็ว
“อุว๊ากกกก!”
ซอมบี้นกลั่นร้องเสียงประหลาด แต่ตอนนี้ทั้งความเร็วและพละกำลังกลับไม่สามารถช่วยให้มันดับไฟได้อีกแล้ว
ขณะที่ซอมบี้นกวิ่งพล่านอยู่ในกองเพลิงที่ลุกลามแรงขึ้นเรื่อยๆ แถมบนหน้าแข้งก็มีวัตถุกลมๆ ติดไฟเกาะอยู่ เจ้าของเงาร่างผู้ลงมือกลับยืนเหม่อลอยอยู่กับที่
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
นอกห้างสรรพสินค้า หลิงม่อกำลังยืนพิงเสาไฟหอบแฮ่กๆ
เส้นผมบนหน้าผากของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ สีหน้ายิ่งซีดขาวจนน่าตกใจ
ต้องทำสองเรื่องพร้อมกันในเวลาเดียวกัน แถมเป็นเรื่องหนักหน่วงทั้งนั้น โดยเฉพาะตอนที่หุ่นซอมบี้ตัวแรกใกล้ตาย สำนึกต่อต้านที่เกิดจากสัญชาตญาณของมัน ยิ่งทำให้หลิงม่อควบคุมได้ลำบากกว่าเดิม
ในวินาทีสุดท้าย เขาเกือบตัดขาดสายสัมพันธ์ทางจิตกับมันไม่ทัน
แค่คิดว่าเมื่อกี้เขาเกือบต้อง “สัมผัส” ประสบการณ์คอขาดด้วยตัวเอง หางตาของหลิงม่อก็กระตุกยิกๆ อย่างควบคุมไม่ได้
แต่ว่า…เขาทำสำเร็จแล้ว!
“สำนวนที่ว่าสวรรค์ให้ปีกมาหนึ่งคู่ สมควรถูกเอามาเคี่ยวกิน (สำนวนจีน หมายถึง คนที่มีความสามารถติดตัว แต่กลับไม่สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ และใช้ชีวิตล้มเหลว ไร้ค่า)…ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นตัวอย่างจริงๆ กับตา…” หลิงม่ออดคิดในใจไม่ได้
“ว๊ากกกก!”
ซอมบี้นกยังคงร้องลั่น พร้อมกับเปลวไฟที่ไหม้ลามอย่างรวดเร็ว
เดิมทีอากาศข้างในนี้ก็แห้งมากอยู่แล้ว ซ้ำยังมีแต่สินค้ากระจุกกระจิกที่ติดไฟง่าย รวมถึงเสื้อผ้าจำนวนมากอยู่ด้วย แค่เปลวไฟเล็กๆ ก็ทำให้เกิดไฟไหม้ได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไฟบนตัวซอมบี้นกในตอนนี้เลย
หลังจากยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง เงาร่างนั้นก็ขยับเขยื้อน คราวนี้ไม่ได้ขว้างท่อนไม้เข้ามา แต่กลับก้มหยิบสิ่งของติดไฟที่อยู่ใกล้ๆ ขว้างออกไปทั่ว
รอจนกระทั่งพื้นรอบๆ ติดไฟแล้ว เงาร่างนี้ก็พุ่งเข้าไปทางซอมบี้นก
เปลือกตาของซอมบี้นกถูกเผาจนทำให้มันลืมตาไม่ได้ รอบด้านก็เต็มไปด้วยไอร้อนและควันคลุ้ง มันไม่อาจจับทางได้ว่าควรวิ่งหนีไปทิศใด
แต่ในขณะที่กำลังคิดจะวิ่งฝ่ากองเพลิงออกไปมั่วๆ มันกลับถูกเงาร่างนั้นพุ่งเข้ามากระแทกจังๆ
แรงกระแทกพาให้ล้มลงไปกับพื้น ส่งผลให้ซอมบี้สองตัวกลิ้งหลุนๆ ไปท่ามกลางทะเพลิง
“กร๊อบ!” ถึงแม้ตอนนี้ซอมบี้นกจะกลายร่างเป็นมนุษย์เพลิงไปแล้ว แต่มันก็ยังมีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่ มันเอื้อมมือออกไปจับอวัยวะบางส่วนของซอมบี้ แล้วออกแรงดึงเต็มแรง จากนั้นก็เตะแรงๆ อีกครั้ง จนซอมบี้ตัวนั้นกระเด็นลอยออกไป
มันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง และวิ่งพุ่งไปข้างหน้า
“โครม!”
เสียงซอมบี้นกวิ่งกระแทกผนังดังโครม แต่มันก็หันหลังกลับ และวิ่งไปยังอีกทางอย่างรวดเร็วอย่างไม่ยอมเสียเวลา
หลิงม่อยกมือขึ้นปัดตัวสองสามทีอย่างเคยชิน แล้วจึงค่อยสลัดเงาร่างของหุ่นซอมบี้ที่เพิ่งวิ่งใส่ทะเลเพลิงทิ้งไป
เจาหรี่ตามองไปทางห้างสรรพสินค้า เย่เลี่ยนกำลังถือปืนเทพเจ้าสายฟ้าวิ่งออกมาจากในนั้น
“ทางนี้!” หลิงม่อกวักมือเรียกเขา
เย่เลี่ยนวิ่งตรงมาทางเขา ขณะเดียวกันก็หันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้
“ไม่ต้องดูแล้ว ไฟไหม้ขนาดนี้ พวกเราเข้าไปก็มีแต่จะอันตราย” พอเย่เลี่ยนวิ่งมาถึงตรงหน้า หลิงม่อก็พูดขึ้น
ควันดำโขมงกลุ่มหนึ่งลอยคลุ้งออกมาจากหน้าต่างของชั้นนั้น พร้อมกับแสงไฟที่สาดไหวอยู่รางๆ
เย่เลี่ยนพนักหน้า จากนั้นก็กวาดสายตาเช็คสภาพร่างกายหลิงม่อหนึ่งที
หลิงม่อยิ้มแล้วบอกว่า “ฉันไม่เป็นไร”
เย่เลี่ยนหยุดอยู่ตรงหน้าหลิงม่อ ดวงตากลมโตจ้องใบหน้าชายหนุ่ม เธอค่อยๆ ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากเขาเบาๆ
“ขอบใจมากนะ เด็กโง่”
หลิงม่อจับข้อมือเย็นๆ ของเย่เลี่ยนมาทาบกับแก้มของตัวเอง
เย่เลี่ยนชะงักกึก ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นจ้องตรงมาในดวงตาหลิงม่อ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เมื่อกี้ยิงได้สุดยอดเลยล่ะ ทั้งจังหวะ องศา สมบูรณ์แบบสุดๆ” หลิงม่อหัวเราะพร้อมกับพูดชมเชยไปด้วย
ถ้าหากไม่ใช่ว่าพวกเขาสองคนเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติอย่างนี้ล่ะก็ จะลอบวางเพลิงเผาซอมบี้ราชาตัวหนึ่ง คงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
หากคิดจะวางเพลิงธรรมดา ยังไม่ทันจุดไฟก็โดนจับได้แล้ว…
ครั้งนี้ที่ทำสำเร็จได้ เป็นเพราะความร่วมมือของเขาและเธอ
แต่ถึงแม้อย่างนั้น หลิงม่อก็ยังต้องอาศัยหุ่นซอมบี้เพิ่มอีกสองตัว
เย่เลี่ยนยิ้มบางๆ นิ้วมือเนียนนุ่มลูบไล้เบาๆ อยู่บนแก้มของหลิงม่อ
หลิงม่อปล่อยมือเย่เลี่ยนอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วจากนั้นก็มองไปทางห้างสรรพสินค้า
“เพล้ง โครมม!”
บานกระจกพลันระเบิดออก เปลวเพลิงขนาดใหญ่พุ่งออกมาพร้อมกับควันหนา
“ไม่ได้การ พวกเราต้องไปจากที่นี่ก่อน”
ไม่รู้ว่าไฟจะไหม้ถึงเมื่อไหร่ เพราะเปลวเพลิงและเสียงระเบิดจะเป็นสิ่งดึงดูดซอมบี้จำนวนมากมาที่นี่
สีหน้าของเย่เลี่ยนเองก็ดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย ส่วนหลิงม่อก็ยิ่งอาการหนักเข้าไปใหญ่
“รอให้ไฟดับแล้วพวกเราค่อยกลับมา” หลิงม่อมองไปทางหน้าต่างบานนั้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ว่ามีดวงแสงแห่งจิตหลายดวงกำลังใกล้เข้ามาทางนี้แล้ว
“ไปกันเถอะ!”
เขาดึงมือเน่เลี่ยน แล้ววิ่งไปยังปลายถนน
แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว หลิงม่อกลับหน้ามืด และล้มหน้าคว่ำกะทันหัน
การเผาผลาญพลังจิตระดับสูงต่อเนื่องกัน ทำให้หลิงม่อเข้าสู่สภาวะเหนื่อยล้าสุดขีดแล้ว
เขาหนีสำเร็จ แล้วยังเผาซอมบี้นกได้อีก ความรู้สึกคลายกังวลจึงทำให้ดวงจิตของหลิงม่อผ่อนคลายลงในที่สุด
เย่เลี่ยนพลิกมือดึงร่างหลิงม่อเข้ามา ปรากฏว่าหลังตรวจสอบดูด้วยความกังวล กลับพบว่าถึงแม้หลิงม่อจะหลับตา แต่ลมหายใจของเขาเป็นจังหวะสม่ำเสมอไม่น่าเป็นห่วง
คิดไม่ถึงว่าจะหลับไปในสถานการณ์อย่างนี้…
เย่เลี่ยนประคองหลิงม่อเดิน พร้อมกับสังเกตการณ์ข้างหน้าข้างหลังอย่างระมัดระวัง
บนถนนอันโล่งกว้าง มีแค่เธอและหลิงม่อที่ยืนอยู่ตรงนั้น…
“เดี๋ยวนะ…”
สิบกว่านาทีต่อมา กลับมาที่โรงแรม ทันใดนั้น มู่เฉินที่พูดฝอยจนคอแห้งผากก็ลุกพรวด แล้ววิ่งไปทางหน้าต่าง
ถึงแม้จะเห็นไม่ชัด แต่นั่นต้องใช่ควันไฟแน่ๆ…
“เกิดไฟไหม้หรอ? ฝีมือพวกหลิงม่อ?” มู่เฉินขมวดคิ้ว แล้วถามขึ้น
แน่นอน สวี่ซูหานไม่ตอบเขาอยู่แล้ว ไม่แม้กระทั่งลุกขึ้นมาตรวจดูว่าเกิดอะไรขึ้น
มู่เฉินจ้องควันไฟกลุ่มนั้น แล้วได้แต่ทำหน้าสงสัย
และในตอนนั้นเอง หางตาของเขาก็ชำเลืองผ่านถนนด้านล่าง
“พวกเขากลับมาแล้ว!”
มู่เฉินเผลอทำหน้าลิงโลดออกมา เขาเห็นเงาร่างของเหล่าคนคุ้นเคยกำลังช่วยประคองซึ่งกันและกันเดินเข้ามาทางโรงแรม
เมื่อสวี่ซูหานได้ยิน ก็เริ่มมีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้าง เธอยกเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นทันที
“ดีเหลือเกิน!” มู่เฉินดีใจจนร้องลั่น แล้วก็พบว่าสวี่ซูหานกำลังจ้องตัวเองเขม็ง
เขารีบกระแอมแก้เก้อ แล้วพูดอ้อมแอ้ม “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น…”
—————————————————————————–