แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ - บทที่ 687 ดวงตาที่ซ่อนอยู่
“เมื่อกี้…” หลิงม่อพูดติดๆ ขัดๆ
“ไม่ใช่ภาพลวงตา” ซย่าน่าพูดต่อ
สามสาวซอมบี้พากันพยักหน้า เป็นการแสดงว่าเห็นด้วยกับที่เธอพูด
หลิงม่อทำหน้าเครียด “ถ้าอย่างนั้น…”
“ถูกต้อง ตอนนี้อวี๋ซือหรานกลายเป็นซอมบี้หนึ่งร่างสองดวงวิญญาณไปแล้ว…เอ๊ะ ไม่สิ สถานการณ์อย่างเธอน่าจะเรียกว่า…ดวงจิตสองดวงที่เป็นอิสระจากกันแต่ก็เกี่ยวพันกันด้วย พวกเธออยู่ในร่างกายหนึ่งพร้อมๆ กัน เหมือนกับอาหารบางประเภทของมนุษย์ อย่างเช่นขนมเกลียวหรือปาท่องโก๋ เพียงแต่กรณีของเธอไม่มีขั้วต่อ หรือจุดเชื่อมโยงที่แท้จริงเท่านั้นเอง…ฉันคิดว่าน่าจะเป็นแบบนี้นะ?”
หลังพูดรวดเดียวจบ ซย่าน่าก็มองหลิงม่อด้วยสายตาเชิงขอความเห็น
“ไม่เสียชื่อที่เป็นเด็กเรียน…แต่การเปรียบเทียบของเธอมันแปลกๆ นะ…”
หลิงม่อยังพูดไม่ทันจบ ซย่าน่าก็หันหน้าไปทางอวี๋ซือหราน เธอยกมือจับคางทำท่าครุ่นคิด แล้วถามอย่างสนใจใคร่รู้ “ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า เธอก็สามารถหันมาควบคุมร่างกายของเฮยซือได้ด้วยน่ะสิ?”
“ใครจะไปสนเรื่องนั้นกันเล่า!”
อวี๋ซือหรานทำหน้ารังเกียจ “วิวัฒนาการจนกลายสภาพเป็นตัวประหลาดอย่างนั้น ถึงจะบอกว่าเป็นสัตว์กลายพันธุ์ก็ไม่มีใครเชื่อหรอก! ถามหน่อยตอนนี้มีใครจำรูปร่างตอนแรกของมันได้บ้าง?”
“ฉันจำได้…” หลิงม่อพูด พลางทำหน้าเสียดาย
สุนัขยักษ์สุดเท่ห์ของเขา…
“ฉันจะกัดนาย!” อวี๋ซือหรานโวยลั่น
“ก็แค่อดนึกถึงอดีตอันเจ็บปวดไม่ได้น่า” หลิงม่อบอก
“เรื่องของฉันตอนนี้ต่างหากที่น่าเจ็บปวดกว่า!”
อวี๋ซือหรานดึงชายเสื้อหลิงม่อ แล้วกระชากเขามาข้างหน้า ขณะที่กำลังคิดจะอ้าปากถามเสียงแข็ง เธอก็พบว่าองศามันแปลกๆ…
“นายคุกเข่าสิ!…เหอะ ไม่คุกเข่าก็ช่างปะไร! นายว่ามา ตอนนี้ฉันต้องทำยังไง! จะยังไงก็ช่าง มนุษย์ไส้กรอก ทั้งหมดเป็นความผิดของนายคนเดียว นายต้องรับผิดชอบ!”
“ฉันรับผิดชอบ?”
ความผิดบาปนี้คงขว้างไม่พ้นตัวแล้วจริงๆ…
“เอาล่ะ เธออยากให้ฉันชดใช้ยังไง?” หลิงม่อถาม พลางถอยหลังชิดกำแพง แล้วเริ่มปัดเศษฝุ่นบนร่างกาย
“แยกความคิดของพวกฉันออกจากกัน!” อวี๋ซือหรานเดินประชิดตามมาติดๆ
“ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะทำทุกวิธีทางเพื่อกินนายซะ!” เธอพูดกำชับส่งท้ายอย่างจริงจัง
เห็นชัดว่าวิวัฒนาการครั้งนี้ทำให้สติปัญญาของอวี๋ซือหรานสูงขึ้น ถึงแม้จะสูงไม่เกินเด็กวัย 12 ขวบ แต่ก็ถือว่าเริ่มมีพฤติกรรมของเด็กหัวรั้นขึ้นมาบ้างแล้ว
หลังจ้องหลิงม่อด้วยสายตาเย็นชาหลายวินาที อวี๋ซือหรานก็แค่นเสียงไม่สบอารมณ์ แล้วสะบัดผม “ฉันจะไปหาเสี่ยวป๋าย ไม่ต้องมาย้ำฉัน…เจ้ามนุษย์ทึ่มนั่นไม่มีทางเห็นฉันหรอก…”
หลังจากมองดูอวี๋ซือหรานเดินไปทางหน้าต่างแล้วดึงบานหน้าต่างออก จากนั้นก็กระโดดลงไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าของหลิงม่อกลับเป็นแววตาครุ่นคิด
“เห็นเธอเป็นแบบนี้แล้ว ฉันควรบอกข่าวร้ายกับเธอทีหลังดีไหมนะ?”
“ข่าวอะไรหรอ?” หลี่ย่าหลินถามอย่างอยากรู้
หลิงม่อลูบจมูกสองสามที แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง “ตอนนี้เธอกลายเป็นหุ่นซอมบี้ของฉันไปแล้ว…”
ถึงแม้สายสัมพันธ์ทางจิตของหลิงม่อจะไม่ได้ส่งผลโดยตรงกับดวงแสงแห่งจิตของอวี๋ซือหราน แต่ในเมื่อเฮยซือยังสามารถควบคุมร่างกายของเธอได้ หลิงม่อก็ย่อมทำได้เหมือนกัน
แต่เห็นชัดว่าอวี๋ซือหรานยังไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นคงสติหลุดไปนานแล้ว
“พอคิดอย่างนี้แล้วก็สงสารเธอขึ้นมาหน่อย ทั้งๆ ที่เป็นกายสังขารของตัวเองแท้ๆ แต่กลับอาจถูกคนอื่นมาสวมรอยแทนได้ทุกเมื่อ…” หลิงม่ออดคิดไม่ได้
ฟึบ!
มู่เฉินที่กำลังวิ่งเหยาะๆ อยู่ในทางเดินเส้นหนึ่งพลันชะงักเท้ากึก แล้วหันไปมองประตูห้องด้านข้างที่เปิดแง้มไว้
เสี้ยววินาทีเมื่อกี้ เขารู้สึกเหมือนหางตาเหลือบไปเห็นเงาดำแวบๆ
หลังประตู มู่เฉินเห็นห้องที่ถือว่าดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่กลับถูกปกคลุมด้วยฝุ่นหนาเตอะทุกซอกทุกมุม
เขาเหลือบไปเห็นมุ้งลวดเก่าผุพังห้อยเฉียงอยู่บนหน้าต่าง พอลมพัดผ่านก็ลอยไหวไปมา
“ตาฝาดล่ะมั้ง…”
มู่เฉินจ้องมุ้งลวดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินจากไปอย่างงงๆ
“ถ้าอย่างนั้น…จะช่วยเธอยังไงล่ะ?”
พอได้ยินคำถามของหลี่ย่าหลิน หลิงม่อก็ละสายตาออกจากหน้าต่าง “เรื่องนี้ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะ…”
“แล้วทำไมต้องเก๊กท่าเหมือนกำลังทอดสายตามองที่ไกลๆ เพื่อใช้ความคิดด้วยล่ะ…” ซย่าน่าค่อนแคะ
“ฉันเองก็มีคำถามอยู่เต็มหัวเหมือนกันนะ…ฉันจำได้ว่าก่อนที่เฮยซือจะกลายพันธุ์หน้าตาของมันดูไสซื่อมาก ทำไมพอกลายพันธุ์แล้วกลายเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่นิสัยแย่และเจ้าเล่ห์ไปได้ล่ะ! เกิดอะไรขึ้นในระหว่างนี้กันแน่?” หลิงม่อยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว แล้วถาม
“ไปถามเชื้อไวรัสสิ…” ซย่าน่าเบนหน้าไปอีกทางเงียบๆ
“พออวี๋ซือหรานปรากฏตัวก็ถูกเธอหมายตาเข้าทันที เดาว่าน่าจะเริ่มตั้งแต่ตอนนั้นสินะ ที่เป้าหมายของเธอไม่ได้หยุดอยู่แค่การหาร่างร่วมที่แข็งแกร่งเท่านั้น…เธอจงใจวางแผนแย่งร่างตั้งแต่แรกแล้ว! อีกอย่าง…ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเธอเลือกอวี๋ซือหรานเป็นพิเศษ เพื่อแก้แค้นป้านเยว่?”
ตอนนี้ไม่ว่าเรื่องใดที่เกี่ยวกับเฮยซือ หลิงม่อก็อดที่จะคิดเชื่อมโยงกับแผนชั่วร้ายไม่ได้
“ไปถามเธอสิ…” ซย่าน่ายังคงเบนหน้าไปอีกทาง
“แต่สิ่งที่น่ายินดีคือ ดูจากสภาพดวงแสงแห่งจิตแล้ว อย่างน้อยเฮยซือก็จะไม่มีทางกลืนกินอวี๋ซือหราน และยึดครองร่างของเธอโดยสมบูรณ์แน่นอน…
หลิงม่อหลับตาช่วงสั้นๆ เพื่อผ่อนคลายประสาทที่ตึงเครียดมาตั้งแต่เมื่อกี้
บอกตามตรง ถึงแม้จะรู้มานานแล้วเฮยซือไม่ใช่สัตว์กลายพันธุ์ธรรมดาอีกต่อไป แต่พอได้พูดคุยกับเธอด้วยตัวเอง ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้
โลกของเชื้อไวรัส ช่างเต็มไปด้วยเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ…
ตุ้บ!
อวี๋ซือหรานทิ้งตัวลงบนพื้นเบาๆ พร้อมเก็บเส้นไหมสีเงินกลับมา
เธอมองซ้ายมองขวา แล้วมองไปทางกลุ่มควันโขมงที่อยู่ห่างออกไป
“เสี่ยวป๋าย?”
อวี๋ซือหรานขานเรียกเสียงเบา พลางเลือกเดินไปยังเส้นทางหนึ่ง
แต่เพิ่งจะเดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว จู่ๆ ซอมบี้โลลิก็ชะงักไป
เธอยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน แต่กลับกลอกลูกตามองไปด้านข้าง
ในครรลองสายตา นอกจากกำแพงสกปรกและถนนวังเวง ก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีก
เธอยืนนิ่งในท่าเดิม ในขณะที่เส้นไหมสีเงินเส้นหนึ่งเลื้อยตามแนวแผ่นหลังของเธอลงไป จากนั้นก็เลื้อยตามพื้นมุ่งหน้าไปข้างหลังราวกับงูพิษ
เส้นไหมสีเงินเส้นนั้นหลบเลี่ยงเศษเสื้อผ้าเก่าขาดๆ บนพื้นอย่างคล่องแคล่ว แล้วมุดเข้าไปใต้ซากรถยนต์อย่างเงียบงัน จากนั้นก็เลื้อยไปยังมุมหนึ่งของกำแพง
อวี๋ซือหรานกำลังใช้หางตาจ้องเงามืดตรงนั้น หากมองด้วยตาเปล่า จะเห็นว่าตรงนั้นมีเพียงถังขยะเก่าๆ สนิมเขรอะอยู่ใบเดียว
แต่เมื่อกี้ อวี๋ซือหรานกำลังรู้สึกชัดเจนว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมาที่ตัวเอง
เส้นไหมสีเงินเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า มันเลื้อยขึ้นบนถังขยะ จากนั้นก็พันรอบตัวถังขยะ…
แกร๊ก!
เมื่อเสียงวัตถุแตกหักดังเบาๆ ถังขยะใบนั้นก็บิดเบี้ยว และเอียงไปเอียงมาเหมือนตุ๊กตาล้มลุกทันที
และแทบจะในเวลาเดียวกัน อวี๋ซือหรานที่กำลังยืนนิ่งอยู่กับที่ก็หันขวับกลับไป แล้วจ้องเขม็งเข้าไปยังในเงามืดนั้น
ถังขยะเอียงไปเอียงมาพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ แต่ด้านหลังนั่น กลับว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย…
อวี๋ซือหรานกระพริบตาปริบๆ “แปลกจัง…”
หลังจากยืนอยู่ที่เดิมอีกสักพัก แล้วเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วจริงๆ อวี๋ซือหรานจึงเม้มปาก แล้วหมุนตัวเดินจากไป
ทว่าในขณะที่เธอหมุนตัว เงามืดตรงนั้นกลับปรากฏระลอกคลื่นเบาๆ
ผิวกำแพงราวกับกำลังบิดเบี้ยว แล้วทันใดนั้นดวงตาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ดวงตาคู่นี้มีม่านตาสีม่วงดูน่าพิศวง มันกำลังจ้องอวี๋ซือหรานอย่างไม่ยอมขยับไปไหนอยู่บนกำแพงอัน “บิดเบี้ยว”
ในมุมมองสายตาลึกลับคู่นี้ แผ่นหลังของอวี๋ซือหรานก็กำลังบิดเบี้ยวเหมือนระลอกคลื่น และเลือนรางไม่ชัดเจนด้วยเช่นกัน เหมือนมันกำลังดำน้ำ เพื่อแอบมองสถานการณ์บนฝั่ง…
“ไม่คิดเลยว่าจะมีแบบนี้ด้วย น่าประหลาดใจสุดๆ เลยนะเนี่ย! ฮ่าๆๆๆๆๆ…คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีของดีที่ไม่ได้อยู่ในแผนด้วย…รีบร้อนไม่ได้ จะรีบร้อนไม่ได้เด็ดขาด…รอให้ย่อยอาหารหมดก่อน แล้วค่อยจัดการดีกว่า…วางใจ ฉันไม่มีทางปล่อยพวกแกไปแน่นอน…ในระหว่างนี้ก็ปล่อยให้พวกแกเติบโตกว่านี้ อร่อยกว่านี้…”
ประกายความชั่วร้ายฉายผ่านดวงตาคู่นี้ ผ่านไปไม่นาน ดวงตาคู่นี้ก็ดำลึกเข้าไปในระลอกคลื่นบนผิวกำแพงอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง…
หลังพักผ่อนหนึ่งคืน อาการของสวี่ซูหานถือว่าคงที่ขึ้นมาก
เธอฟื้นตัวจนเกือบจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อคืนแล้ว แต่อารมณ์กลับสงบลงมาก
ทว่าขณะที่เธอกำลังจะหันไปหยิบปืนไรเฟิลเก็บเสียงตามความเคยชิน ปืนของเธอกลับถูกมู่เฉินแย่งไปก่อน
“ฉันเองๆ” มู่เฉินยิ้มเอาใจ
เขายิ้มแป้น แต่จู่ๆ ก็มีเงาสีดำเงาหนึ่งหล่นวูบตรงหน้า แล้วเขาก็รู้สึกหนักอึ้งที่แขนทันที
ซย่าน่าเดินผ่านเขาไป แล้วพูดโดยไม่หันมามองว่า “ถ้าอย่างนั้นกระเป๋าใบนี้ก็ฝากนายด้วยแล้วกัน ข้างในมีแต่ของมีค่า อย่าทำหล่นล่ะ”
“ในเมื่อมีค่าแล้วยังจะโยนให้ฉัน…โถ่เว้ย! ฉันมาเป็นครูฝึก ไม่ใช่เบ๊นะโว้ย!”
แต่การคัดค้านของเขาจะมีประโยชน์อะไร…มู่เฉินแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ เดินรั้งท้ายขบวนลงไปชั้นล่างอย่างทุลักทุเล
สวี่ซูหานเดินข้างซย่าน่า ในใจแอบคิดไปว่าสัดส่วนของกลุ่มนี้ช่างแปลกจริงๆ
ซอมบี้สาวสามตัว มนุษย์สองคน แล้ว แล้วยังมีคนที่อยู่ระหว่างมนุษย์กับซอมบี้อย่าง…
และในกลุ่มนี้ ก็มีเพียงมู่เฉินคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังคิดว่าสวี่ซูหานคือคนที่อันตรายที่สุด ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าซอมบี้สาวสามตัวที่เดินอยู่ข้างหน้านั่น ล้วนสามารถฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ
“การไม่รู้ถือเป็นโชคดีอย่างหนึ่งเหมือนกัน…” สวี่ซูหานลอบถอนใจ
พอคิดได้ว่าไม่ช้าก็เร็วอย่างไรตัวเธอก็ต้องกลายพันธุ์อยู่ดี เธอก็เริ่มสนใจเรื่องของพวกเย่เลี่ยนขึ้นมา
สังเกตการณ์ไว้ล่วงหน้า ยังไงก็ดีกว่ามืดแปดด้านเมื่อประสบปัญหา…
ทว่าคนที่เธอสนใจอย่างแท้จริง กลับเป็นหลิงม่อ…
ปฏิกิริยาที่มู่เฉินแสดงออกต่อซอมบี้ ถึงจะเรียกว่าเป็นท่าทางของคนปกติทั่วไป
แต่หลิงม่อล่ะ?
สวี่ซูหานมองหลิงม่อด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ ตอนนี้เขากำลังก้มหน้าคุยอะไรบางอย่างกับเย่เลี่ยน รอยยิ้มมุมปากนั่นดูทั้งจริงใจและผ่อนคลาย…
“ในเมื่อพวกนายเคลียร์เส้นทางเสร็จแล้ว ก็แสดงว่าวันนี้เราจะออกจากอำเภอซินหลาน ไปเมืองเฮยสุ่ยแล้วใช่ไหม?”
“ก็ประมาณนั้น…” หลิงม่อเพิ่งจะตอบออกไป แต่จู่ๆ กลับลังเลขึ้นมาชั่วขณะ
ก่อนหน้านี้ตอนที่สู้กับซอมบี้นก เขารู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ…
“ยังไงก็แวะไปดูที่เมืองชุ่ยหูหน่อยแล้วกัน” หลิงม่อเปลี่ยนใจ
“ทำไมเล่า!” มู่เฉินโวย ไม่เคยคาดเดาได้เลยจริงๆ ว่าในสมองของเจ้าบ้านี่คิดอะไรอยู่กันแน่!
“ก็แค่ผ่านทางเลยแวะ…” หลิงม่อตอบส่งๆ
“นั่นมันต้องเดินอ้อมหลายสิบลี้เลยนะโว้ย!” (ลี้ มาตราวัดระยะทางของจีน 1 ลี้ ยาวประมาณครึ่งกิโลเมตร)
—————————————————————————–